ตอนที่ 20 พร้อมลุยอีกครั้ง
ตอนที่ 20 พร้อมลุยอีกครั้ง
ในเวลานี้ โจวหยวนได้เปลี่ยนใบหน้าอีกครั้ง และเดินอยู่บนถนนใหญ่
เขาไม่คาดคิดว่า ในระหว่างการใช้โอสถเพื่อทะลวงขอบเขตหลอมปราณขั้นเก้า แม้แต่วิชาปกปิดพลังก็ไม่สามารถปกปิดพลังของเขาได้ จนกระแสพลังรั่วไหลออกไป
โจวหยวนตัดสินใจทันที ลุกขึ้นและออกจากสถานที่เดิมโดยเร็ว เพราะเขาคาดการณ์ได้ว่าคนของสำนักพยัคฆ์ขาวจะต้องมุ่งหน้ามาที่นั่น
และแน่นอนว่าคาดการณ์ของเขาถูกต้อง ในไม่ช้าเขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังอันแข็งแกร่งสองสายที่มุ่งตรงมาทางนั้น ดวงตาของโจวหยวนหรี่ลงเล็กน้อย หากเขาเดาไม่ผิด สองคนนั้นก็คือฝงเซียงและหงอวิ๋นซาน
เขามองแผงสถานะในระบบด้วยความยินดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีความกังวลเล็กน้อย
[นายท่าน: โจวหยวน]
[ระดับพลัง: ขอบเขตหลอมปราณขั้น 9 245/1800]
[อายุขัย: 21/780]
[พรสวรรค์: สี่ธาตุ]
[ค่าดวงชะตา: 68]
[ทักษะ: เวทลูกไฟขั้นกลาง, เคล็ดค่ายกลรวมวิญญาณขั้นต่ำ]
[ความสามารถพิเศษ: เคล็ดพันหน้า, วิชาปกปิดพลัง]
หลังจากทะลวงถึงขอบเขตหลอมปราณขั้นเก้า อายุขัยของเขาเพิ่มขึ้นถึง 33 ปี และค่าดวงชะตาเพิ่มขึ้นอีก 3
โจวหยวนได้เข้าใจหลักการหนึ่ง อายุขัยจะเพิ่มขึ้นตามระดับพลังที่เติบโต และค่าดวงชะตาก็เช่นกัน
แต่สิ่งที่ทำให้เขากังวลคือ การทะลวงสู่ขอบเขตหลอมปราณขั้นสิบต้องการพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จาก 900 เป็น 1800
เขารู้ดีว่าเขาฝึกวิชาโบราณหลอมปราณหนึ่งร้อยขั้น ซึ่งสำหรับเขาขอบเขตหลอมปราณขั้นสิบเป็นเพียงพื้นฐานเท่านั้น
หากต้องเพิ่มพลังวิญญาณเป็นสองเท่าในทุกขั้นต่อไป เส้นทางนี้ย่อมสร้างปัญหาใหญ่ไม่จบสิ้น ถึงแม้เขาจะมีอายุขัยที่ยาวนาน แต่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด ไม่ว่าจะอย่างไร ตอนนี้เขาทะลวงระดับสำเร็จแล้ว ถึงเวลาที่ต้องสะสางกับสำนักพยัคฆ์ขาว
แต่ก่อนที่จะลงมือ โจวหยวนตัดสินใจแวะหอเพาะพลัง เพื่อแจ้งเรื่องของหวังเฉียงให้หวังหลิงทราบ
โจวหยวนยอมรับในใจว่าเขามีความรู้สึกดีต่อหวังหลิง และไม่ปฏิเสธที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับนาง
ขณะเดินไปตามถนน เขาเห็นภาพเหมือนของตนเองแปะอยู่เต็มถนนจนอดหัวเราะไม่ได้
เคล็ดพันหน้าที่ระบบมอบให้นั้นยอดเยี่ยมเกินกว่าเทคนิคการปลอมตัวธรรมดาจะเทียบได้
ไม่นานนัก หอเพาะพลังก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
โจวหยวนปรับระดับพลังของตนให้ลดลงจนเหลือเพียงขอบเขตหลอมปราณขั้นสอง
ก่อนหน้านั้น เขาใช้พลังจิตตรวจสอบ และพบว่าทั้งเก๋อตันและหวังหลิงอยู่ที่นั่นโดยไม่มีข้อสงสัย
เขาจึงเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล
“สหายเต๋าท่านนี้ ยินดีต้อนรับสู่หอเพาะพลังของเรา” สาวใช้จากหอเพาะพลังเดินเข้ามาต้อนรับโจวหยวน ขณะที่เก๋อตันและหวังหลิงมองเขาเพียงชั่วครู่ก่อนจะละสายตาไป
ในตอนนี้ โจวหยวนดูธรรมดาอย่างที่สุด ใบหน้าธรรมดาเสียจนไม่อาจสะดุดตา
หวังหลิงละสายตาไปแล้ว แต่ไม่นานก็หันกลับมามองโจวหยวนอีกครั้ง นางรู้สึกว่ารูปร่างของเขาดูคุ้นตา ใบหน้าของนางเผยแววสงสัย แต่ไม่นานนัก หวังหลิงก็เลิกสนใจ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล
พี่ชายของนาง หวังเฉียง ตอนนี้ไม่รู้ชะตากรรมเป็นเช่นไร แม้ว่าหอเพาะพลังจะคอยปกป้องนาง แต่สำนักพยัคฆ์ขาวก็ยังไม่ยอมคืนตัวพี่ชายของนาง
แม้เก๋อตันจะพยายามช่วยเหลือหวังหลิง แต่นางเองก็มีข้อจำกัด เพราะหอเพาะพลังในนครซิงอันมีอำนาจไม่มากนัก ระดับพลังที่สูงที่สุดในตอนนี้คือขอบเขตหลอมปราณขั้นแปด
เก๋อตันได้ส่งข่าวไปยังหอเพาะพลังแล้ว และหอเพาะพลังสัญญาว่าจะส่งผู้มีพลังสูงมาช่วยเหลือ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครเดินทางมาถึง
โจวหยวนแสร้งทำเป็นเดินชมไปรอบ ๆ ตามคำแนะนำของสาวใช้ แต่จริง ๆ แล้วเขากำลังแอบฟังบทสนทนาระหว่างเก๋อตันและหวังหลิง
“น้องรักหวังหลิง อีกสามวันผู้อาวุโสผิงอันจากหอเพาะพลังจะมาถึง ท่านเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสร้างรากฐาน ถึงตอนนั้นสำนักพยัคฆ์ขาวจะไม่กล้ารังแกพี่ชายของเจ้าอีกต่อไป”
“พี่เก๋อ ขอบคุณมากแล้ว ข้ากลัวเหลือเกินว่าเขาอาจถูกคนของสำนักพยัคฆ์ขาวสังหารไปแล้ว เขาเป็นญาติคนเดียวของข้าในโลกนี้”
เมื่อได้ยินดังนั้น โจวหยวนก็หยุดฟัง และเปลี่ยนใจที่จะบอกความจริงกับหวังหลิงเกี่ยวกับการตายของพี่ชายนาง จากนั้นเขาก็ออกจากหอเพาะพลัง
สำหรับคนที่เพียงแค่เดินเข้ามาดูรอบ ๆ แล้วจากไปเช่นโจวหยวน เก๋อตันไม่ได้สงสัยอะไร เพราะเคยเจอคนแบบนี้มาบ่อย
ดวงตาของโจวหยวนฉายแววสังหาร เขาไม่ชอบหวังเฉียง แต่เขาชอบหวังหลิง และด้วยเหตุนี้ เขาตัดสินใจจะล้างแค้นแทนพี่ชายของนาง
โจวหยวนตัดสินใจลงมือ และตั้งใจจะกำจัดคนของสำนักพยัคฆ์ขาวในนครซิงอันให้สิ้นซาก
เขาไม่ได้รีบร้อน เขาตัดสินใจวางแผนครั้งใหญ่ ฆ่าทีเดียวหลายคนเพื่อไม่ให้ยุ่งยาก
ด้วยระดับพลังขอบเขตหลอมปราณขั้นเก้าของเขาในตอนนี้ ผู้ฝึกตนระดับขอบเขตหลอมปราณขั้นสาม สี่ หรือห้า ล้วนไม่อยู่ในสายตา
ฆ่าคนหนึ่งก็คือฆ่า ฆ่าหลายคนก็เหมือนกัน สุดท้ายก็จะเผาศพ ทำลายวิญญาณ และโปรยเถ้าถ่านเหมือนกันทั้งหมด
หลังจากสังเกตการณ์ครึ่งวัน โจวหยวนพบว่าคนของสำนักพยัคฆ์ขาวรวมตัวกันมากที่สุดที่ประตูเมือง
ที่นั่นมีคนที่อยู่ในระดับขอบเขตหลอมปราณขั้นหกหนึ่งคน ขั้นห้าหนึ่งคน และขั้นสามอีกสี่คน
เมื่อกำหนดเป้าหมายได้แล้ว โจวหยวนก็ซ่อนตัวอยู่ไม่ไกล รอให้ถึงเวลาค่ำคืน
ค่ำคืนที่ลมแรงและฟ้ามืดมิด เป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการฆ่าฟันและลอบวางเพลิง!
โจวหยวนเดินตรวจสอบบริเวณรอบ ๆ โดยใช้พลังจิตตรวจจับ และไม่พบร่องรอยของผู้ฝึกตนระดับขอบเขตหลอมปราณขั้นเก้าของสำนักพยัคฆ์ขาว ทำให้เขารู้สึกโล่งใจ แม้โจวหยวนจะมั่นใจในตัวเอง แต่เขาไม่ได้หลงตัวเองจนเกินไป
เวลาที่เขาฝึกฝนเพื่อบรรลุขอบเขตหลอมปราณมีเพียงไม่กี่ปี ในขณะที่ผู้ที่สามารถบรรลุถึงขอบเขตหลอมปราณขั้นเก้าได้ ล้วนผ่านการฝึกฝนมาหลายสิบปี ประสบการณ์ของพวกเขาย่อมเหนือกว่าโจวหยวน
อีกประเด็นสำคัญที่สุดคือ ตอนนี้เขามีทักษะการต่อสู้น้อยเกินไป มีเพียงเคล็ดกระบวนดาบวายุพิสุทธิ์และกระบวนดาบเงาลอบเร้นเท่านั้น
เคล็ดกระบวนดาบวายุพิสุทธิ์นั้นได้มาจากสำนักพยัคฆ์ขาว หากเขาใช้ทักษะนี้จัดการศัตรูย่อมเป็นข้อเสีย
แน่นอนว่าหากโจวหยวนสามารถทะลวงถึงขอบเขตหลอมปราณขั้นสิบได้ เขาก็จะไม่หวาดกลัวอีกต่อไป
ดั่งคำกล่าวที่ว่า "พลังที่เหนือชั้นสามารถปราบทุกสิ่ง" เมื่อพลังแข็งแกร่งถึงขีดสุด ทุกกระบวนท่าล้วนเป็นเพียงตัวเสริมเท่านั้น
เมื่อค่ำคืนค่อย ๆ ปกคลุม นครซิงอันก็ดูเงียบเหงาลง ถนนแทบไม่มีผู้คนสัญจร โจวหยวนรู้ว่าเวลาที่เหมาะสมมาถึงแล้ว ถึงเวลาส่งพวกมันไปยังนรก
เขาไม่ได้ปิดบังตัวตน เดินตรงไปยังประตูเมืองที่กำลังจะปิดลงอย่างช้า ๆ
นครซิงอันได้กลับมาเปิดให้ผู้คนเข้าออกได้ตามปกติแล้ว แต่การตรวจสอบยังคงเข้มงวดมาก
“รอด้วย! ข้าต้องออกจากเมือง” โจวหยวนร้องเรียกคนที่ประตูเมือง คนของสำนักพยัคฆ์ขาวที่เฝ้าอยู่หันมามอง
เขายิ้มอย่างเป็นมิตรในขณะที่เดินเข้าใกล้เรื่อย ๆ แต่ในร่างกายของเขา พลังวิญญาณเริ่มไหลเวียนอย่างรวดเร็ว
“หยุดก่อน รอให้เราตรวจสอบเสร็จก่อนถึงจะออกจากเมืองได้” ชายผู้ฝึกตนระดับขอบเขตหลอมปราณขั้นสามเดินออกมาขวางทางเขา
แต่ในขณะนั้นเอง โจวหยวนก็ลงมือทันที ดาบยาวในมือถูกชักออกมา แสงดาบเปล่งประกายสว่างวาบทั่วบริเวณประตูเมือง
ร่างกายของเขาเคลื่อนที่ราวกับสายลมหมุนวนไปทั่วประตูเมือง แต่ใช้เวลาเพียงครู่เดียว เขาก็หยุดนิ่ง ใบหน้าสงบนิ่ง
คนของสำนักพยัคฆ์ขาวทั้งหกที่อยู่ประตูเมืองต่างมองไปที่โจวหยวน ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เจ้า… โจวหยวน! เจ้า… ไม่รอดแน่ ผู้อาวุโสลำดับสาม… จะล้างแค้นให้พวกเราแน่นอน!”
ชายผู้ฝึกตนระดับขอบเขตหลอมปราณขั้นหกเอ่ยขึ้น พลางเผยรอยยิ้มแปลก ๆ ที่มุมปาก ก่อนร่างของเขาจะล้มลงกับพื้น