(อ่านฟรีชั่วคราว) บทที่ 1329 แข็งแกร่งเพียงนี้ เหตุใดจึงต้องหลบซ่อน?
แสงสีเขียวเจิดจ้าพุ่งตรงมาจากฟากฟ้า มันคือมังกรไม้!
“ยังไม่จำบทเรียนหรือไร”
เสียงของมังกรไม้ดังก้องฟ้าก่อนที่จะพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นร่างของมันก็แปรเปลี่ยนเป็นมังกรเขียวอันดุดัน พลังอสูรที่มหาศาลพร้อมกับเสียงคำรามแห่งมังกรก้องกังวานเข้าถล่มเหล่าอสูรพาหนะที่มู่ฉีเฉียงและพวกทิ้งไว้ เพียงแค่การปะทะครั้งเดียว มังกรไม้ก็อ้าปากกลืนกินอสูรตัวหนึ่งลงไป
หลังจากกลืนกินอสูร มังกรไม้ก็โถมลงมาอีกครั้ง ซัดร่างของอู๋จิ้นเทียนเสวียนที่ยังไม่ทันตั้งตัวให้จมหายไป
เหล่าระดับสวรรค์ไร้ขอบเขตของหอปกฟ้าที่หันกลับมาเห็นเหตุการณ์นี้ต่างแสดงสีหน้าหวาดหวั่นจากสายตาอันดุดันของมังกรไม้
“ท่านเจ้าหอ!”
“ท่านเจ้าหอ!”
“ท่านเจ้าหอ!”
ในขณะที่พวกเขาตะโกนด้วยความตกใจ ซือไห่เสียนและเหล่าระดับสวรรค์ไร้ขอบเขตของอาณาจักรเกิ้นก็กรูเข้าโจมตีทันที จักรพรรดิหลงหยางเองก็ไม่ยอมแพ้ เขาข้ามผ่านกองทัพอาณาจักรเกิ้นขึ้นไปอยู่แถวหน้าสุด
เมื่อไม่มีเหล่ายอดฝีมือจากนอกช่องเขาเฉาเทียนคอยสนับสนุน ความมั่นใจของกองกำลังหอปกฟ้าที่เพิ่งสร้างขึ้นมาก็พังทลายลงในพริบตา
“ถอย!”
“ถอยเร็ว!”
พลังของค่ายกลเคล็ดวิชาชีพจรลมปราณที่ประกอบด้วยกองกำลังหอปกฟ้าสิบล้านคนค่อย ๆ ดับแสงลง สองกระบวนก็ล้มเหลวลงทันที ส่วนกระบวนที่เหลือก็ใกล้แตกพ่าย
...
...
...
ณ สำนักอมตะ
ทันทีที่วงเวทย์เคลื่อนย้ายมิติเริ่มทำงาน เหวินผิงส่งเสียงสั่งการไปยังทั้งสำนัก จากนั้นก็เรียกซิงเทียนออกมาจากศาลาทิงอี่
“เจ้าก็มาด้วย” เขากล่าว
ที่บันไดพันขั้น น่าหลานมู่หงก็ได้รับเสียงสั่งการเช่นกัน
ในพริบตา มู่ฉีเฉียงและพรรคพวกอีกสามคนปรากฏตัวในวงเวทย์เคลื่อนย้ายมิติ
เมื่อภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น ทั้งเก้าคนก็เปิดประตูชีพจรวิญญาณของตนทันที
เสียงปังดังสะท้อนไปทั่วทั้งสำนักอมตะ ทำให้เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์ทั้งหมดในสำนักต่างหยุดมองไปยังต้นเสียง
เมื่อพวกเขาสัมผัสถึงกลิ่นอายอันมหาศาลและน่าหวาดกลัวของเก้าคนนั้น สีหน้าของทุกคนในสำนักก็เปลี่ยนไป ไม่มีใครในสำนักที่ไม่ตกตะลึง
“ทั้งหมดเก้าคน!”
“พวกเขาคือผู้ที่เพิ่งปรากฏในรายนามสวรรค์ และหกในนั้นแข็งแกร่งกว่าน่าหลานมู่หงเสียอีก”
“ช่างแข็งแกร่งนัก เพียงแค่กลิ่นอายที่หลุดออกมาก็ทำให้ข้าหายใจแทบไม่ออกแล้ว สำนักของเราจะรับมือไหวหรือไม่?”
ศิษย์บางคนที่เพิ่งเข้าสำนักได้ไม่นานเริ่มหวั่นวิตก แต่เมื่อพวกเขาหันไปมองศิษย์อาวุโสที่อยู่ข้าง ๆ เช่น หยางเล่อเล่อ และหวายเยี่ย พวกเขาก็พบว่าทั้งสองไม่มีสีหน้าหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกัน เก้าคนนั้นก็ปล่อยพลังรับรู้เพื่อสำรวจรอบด้าน หวังจะค้นหาเบาะแสของยอดฝีมือในพื้นที่
เหวินผิงยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าวิหารศิลปะวังวน เขาใช้พลังจิตวิญญาณป้องกันการตรวจจับจากเก้าคนนั้น แม้รู้ดีว่านี่อาจเป็นเพียงการปกปิดชั่วคราว
พลังรับรู้ของมู่ฉีเฉียงและพวกจับตำแหน่งของเหวินผิงได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงซิงเทียนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
เมื่อทั้งเก้าคนกำลังจะบุกเข้ามา น่าหลานมู่หงก็ปรากฏตัวขึ้น เมื่อเห็นทั้งเก้าคน นางก็เหมือนนกที่ถูกธนูยิง นางหันหลังทันที เพราะรู้ดีว่าตนไม่อาจสู้พวกเขาได้
“จับตัวนางไว้!” มู่ฉีเฉียงออกคำสั่ง
แปดคนเคลื่อนไหวพร้อมกัน พุ่งตรงไปยังน่าหลานมู่หง แต่ในชั่วพริบตา นางก็ถอยกลับมายังข้างกายเหวินผิง ยืนอยู่เงียบ ๆ เช่นเดียวกับซิงเทียน
เหวินผิงยังคงนิ่ง เขามองมู่ฉีเฉียงและพรรคพวกที่ใกล้เข้ามา พร้อมปลดปล่อยกลิ่นอายของตนออกมาอย่างไม่ปิดบัง
พลังของเหวินผิง
ครึ่งก้าวหยวนหยาง!
เมื่อเห็นดังนั้น จิตสังหารของเก้าผู้บุกรุกรุนแรงดั่งเกลียวคลื่นซัดเข้าหาเหวินผิง ซิงเทียน และน่าหลานมู่หง ราวกับคลื่นทะเลที่โหมกระหน่ำ
“ส่งมอบเคล็ดวิชาระดับหยวนหยางมา แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า” หัวหน้ากลุ่ม มู่ฉีเฉียง เอ่ยขึ้นพลางจ้องเหวินผิงอย่างเย็นชา
เหวินผิงยังคงยืนนิ่งตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เคล็ดวิชาอยู่กับข้า ลองมาชิงดูสิ แต่เกรงว่าพวกเจ้าคงไม่มีปัญญาพอ”
เทียนเหอที่อยู่ข้าง ๆ แย่งตอบก่อนจะส่งสัญญาณให้คนอื่นในกลุ่ม
“ข้าจะดูเองว่าเจ้ามีอะไรเป็นเครื่องหนุนหลัง”
ทันใดนั้น เทียนเหอและอีกห้าคนก็พุ่งโจมตีเหวินผิงพร้อมกัน ด้วยชีพจรวิญญาณทั้งห้าผสานเคล็ดวิชาลมปราณประจำสายระดับสวรรค์ที่ถาโถมมาดั่งทะเลคลั่ง
ขณะนั้นเอง เหวินผิงถอยหลังไปสิบกว่าก้าว เผยให้เห็นจ้าวแห่งการพิทักษ์ทั้งสองที่ยืนอยู่เบื้องหลัง
เมื่อการโจมตีของศัตรูใกล้จะถึงตัว เหวินผิงยังคงนิ่ง ไม่เปิดชีพจรวิญญาณหรือถอยหนีอีก
“ทำไมไม่โจมตีพร้อมกันล่ะ?” เขากล่าวอย่างผ่อนคลาย
“นี่ไม่ให้โอกาสข้าขี้เกียจเลยหรือไร”
ทันใดนั้นเอง จ้าวแห่งการพิทักษ์ทั้งสองตะโกนพร้อมกันอย่างกราดเกรี้ยว
“บังอาจโจมตีวิหารศิลปะวังวน ช่างรนหาที่ตาย!” พลางปล่อยหมัดออกไปคนละหนึ่งหมัด
เสียงระเบิดดังก้องไปทั่ว ทันใดนั้นคลื่นพลังจากหมัดได้กวาดล้างพลังปราณระดับสวรรค์ทั้งหมดของศัตรู และทะลวงเข้าหาเทียนเหอและพวกโดยที่พวกเขาไม่มีโอกาสตั้งตัว
“ถอย!”
“ถอย!”
เสียงตะโกนดังขึ้นเมื่อมู่ฉีเฉียงและพรรคพวกพยายามเปิดชีพจรวิญญาณทั้งห้าเพื่อต้านคลื่นพลัง แต่ถึงกระนั้น พลังที่เหลือยังแรงพอจะซัดมู่ฉีเฉียงและอีกสามคนกระเด็นไปไกลนับพันจั้ง
ส่วนเทียนเหอและอีกสามคนที่พลังวิญญาณอ่อนแอกว่าถูกซัดร่างจนแหลกสลาย เหลือเพียงสองคนที่บาดเจ็บสาหัส ร่วงลงบนขุนเขาของสำนักอมตะ
หลังจากปล่อยหมัด จ้าวแห่งการพิทักษ์ทั้งสองเดินกลับไปยังวิหารศิลปะวังวนอย่างสงบ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
น่าหลานมู่หงที่มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด รู้สึกตกตะลึงไม่หาย
“แค่หมัดเดียว… หมัดเดียวเท่านั้น…” นางพึมพำ ไม่มีการใช้พลังปราณหรือพลังหยวนหยางใด ๆ แต่กลับสามารถสยบศัตรูได้อย่างหมดจด นี่คือพลังของฐานขอบเขตหยวนหยางหรือ?
“มองอะไรอยู่ รีบเข้าไปสิ” เหวินผิงกล่าวขึ้นขณะสบตากับน่าหลานมู่หง
“รับทราบ!” นางตอบก่อนพุ่งเข้าโจมตีมู่ฉีเฉียงและพวกทันที พร้อมเปิดชีพจรวิญญาณด้วยเสียงดังก้อง
ซิงเทียนตามไปอย่างกระชั้นชิด
เหวินผิงเก็บพลังหยวนหยางที่หลงเหลือจากเทียนเหอและพรรคพวก ก่อนจะพุ่งไปหาสองคนที่ร่วงอยู่บนขุนเขา
“แค่พลังระดับนี้ก็กล้าบุกสำนักอมตะ?” เขากล่าวเยาะเย้ย พลางเรียกกระบี่ชิงเหลียนจากแหวนเก็บของ
เสียงกระบี่เฉือนแหวกอากาศดังขึ้น
ฉัวะ!
กระบี่หนึ่งเล่มพุ่งทะยานลงมาด้วยความรวดเร็ว แทงทะลุหน้าอกของชายผู้หนึ่งในภูเขาจนเป็นรูใหญ่
ชายอีกคนหนึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้นถึงกับตกตะลึง พยายามดิ้นรนลุกขึ้นยืน แต่เพียงครู่เดียว ศีรษะของเขาก็ถูกกระบี่ชิงเหลียนฟาดจนแตกละเอียด
เพียงสามลมหายใจ คนก็ตายเพิ่มอีกสองคน
“ฐานขอบเขตหยวนหยาง! เป็นไปไม่ได้!”
ช่องเขาเฉาเทียนไม่ใช่สถานที่ที่แม้แต่จ้าวปกครองยังไม่มีหรือ? เหตุใดจึงปรากฏผู้มีฐานขอบเขตหยวนหยางขึ้นมาได้?
เมื่อทราบผลลัพธ์นี้ มู่ฉีเฉียงไม่สนใจน่าหลานมู่หงและซิงเทียนที่กำลังรุกเข้ามาเลยแม้แต่น้อย เขากลับแปรเปลี่ยนเป็นแสงเจิดจ้าสายหนึ่งและพุ่งหลบหนีออกไป
ลั่วเฟิงซานเชียนและอีกคนซึ่งมีพลังด้อยกว่ามู่ฉีเฉียง เมื่อเห็นซิงเทียนไล่ตามไป ทั้งสองจึงแยกย้ายกันบินหนีไปคนละทิศ
น่าหลานมู่หงเห็นดังนั้นจึงต้องเลือกไล่ตามเพียงผู้หนึ่ง
อย่างไรก็ตาม มู่ฉีเฉียงและพรรคพวกทั้งสามคนเมื่อเห็นว่าสองผู้มีฐานขอบเขตหยวนหยางมิได้ไล่ตามมา ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
บางทีอาจคิดมากเกินไป พวกเขาอาจมิใช่ผู้มีฐานขอบเขตหยวนหยางจริง ๆ เพียงแต่สามารถกระตุ้นพลังอันใกล้เคียงกับฐานขอบเขตหยวนหยางได้ในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
หากเป็นผู้มีฐานขอบเขตหยวนหยางจริง พวกเขาคงถูกฆ่าจนหมดในพริบตา
“รีบถอยก่อน!” มู่ฉีเฉียงตะโกนลั่น โดยไม่สนใจว่าลั่วเฟิงซานเชียนและอีกคนจะได้ยินหรือไม่
“เพียงถ่วงเวลาพวกเขาไว้” เหวินผิงส่งเสียงผ่านกระแสจิตบอกซิงเทียนและน่าหลานมู่หง จากนั้นยกกระบี่ในมือมุ่งสังหารอีกคนหนึ่ง
ไม่มีคำพูดใดให้เปลืองเวลา เมื่อไล่ตามลั่วเฟิงซานเชียนทัน เขาก็ปล่อยเพลงกระบี่ชิงเหลียนออกมาเต็มกำลังทันที พร้อมทั้งใช้งานกายาบัวเขียวสวรรค์ ขับเคลื่อนพลังและนำทางด้วยกระบี่ชิงเหลียนในมือ
ฉัวะ!
เมื่อบัวเขียวมากมายลอยผ่านท้องฟ้า พุ่งโอบล้อมลั่วเฟิงซานเชียน พลังป้องกันที่ลั่วเฟิงซานเชียนปลดปล่อยออกมาด้วยเคล็ดวิชาลมปราณประจำสาย รวมถึงอาวุธในมือ ล้วนแตกสลายไปในทันที สิ่งเดียวที่ไม่แตกสลายคือร่างไร้วิญญาณของเขา
เมื่อมู่ฉีเฉียงหันกลับมาเห็นฉากนี้ เขาถึงกับตื่นตระหนกสุดขีด ความคิดหนึ่งพลันแล่นเข้ามาในสมอง
“ทำไมถึงแข็งแกร่งเช่นนี้?”
พลังของเขาเหนือกว่ารองหัวหน้ากลุ่มปล้นที่ไร้เทียมทานภายใต้ฐานขอบเขตหยวนหยางถึงสามคนรวมกันเสียอีก!
ช่องเขาเฉาเทียนเล็ก ๆ เช่นนี้ ไม่มีแม้แต่จ้าวปกครอง เหตุใดจึงปรากฏยอดฝีมือผู้มีพลังเช่นนี้ได้?
ครึ่งก้าวหยวนหยางกลับมีพลังอันน่าหวั่นเกรงถึงเพียงนี้ ทั้งที่หากเพียงเผยตัว ยอดฝีมือที่อยู่เหนือฐานขอบเขตหยวนหยางคงต้องจับตามอง และอาจรับไว้เป็นศิษย์โดยตรง แต่สำนักอมตะเจ้าสำนักนี้กลับไม่เพียงแต่ไม่เผยตัว ยังปกปิดช่องเขาเฉาเทียนไว้อย่างมิดชิด
“แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ทำไมยังต้องหลบซ่อนอีกเล่า!”
มู่ฉีเฉียงกล่าวอย่างไม่ยอมรับชะตากรรม หากรู้เช่นนี้ เขาคงรอให้หัวหน้ากลุ่มมาถึงก่อนแล้วค่อยลงมือ
ในช่วงเวลาต่อมา เหวินผิงปรากฏตัวขึ้นตรงหน้ามู่ฉีเฉียงอย่างกะทันหัน
“ในเมื่อมาถึงแล้ว จะรีบร้อนไปทำไมเล่า”
เมื่อกล่าวจบ เหวินผิงก็เริ่มร่ายเพลงกระบี่อีกครั้ง กระบี่ชิงเหลียนพัดพากลุ่มบัวเขียวอันเกรี้ยวกราดเข้าปะทะกับมู่ฉีเฉียงที่ไร้ทางหนี
มู่ฉีเฉียงซึ่งสัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวจนแทบหยุดหายใจ รีดเร้นพลังหยวนหยางออกมาทั้งหมด ก่อขึ้นเป็นโล่พลังที่อยู่เบื้องหน้าเขา จากนั้นเขาก็หยิบผลึกที่เต็มไปด้วยอักขระมังกรสีทองจากแหวนเก็บของ และบีบมันจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ
แกรก!
ทันทีที่ผลึกแตก มู่ฉีเฉียงจ้องเหวินผิงด้วยความเกลียดชัง
“เหวินผิง เจ้ารอข้าอยู่เถิด ข้าจะกลับมา”
ปัง!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว โล่พลังหยวนหยางของมู่ฉีเฉียงแตกกระจาย พลังมหาศาลพุ่งเข้าโจมตีร่างวิญญาณของเขาอย่างรุนแรง
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” มู่ฉีเฉียงคิดอยากมองผลึกในมือ แต่ในตอนนั้น กลุ่มบัวเขียวและกระบี่ของเหวินผิงก็พุ่งเข้าใส่เขาแล้ว
ในช่วงเวลาอันคับขัน มู่ฉีเฉียงจำต้องกระตุ้นชีพจรวิญญาณทั้งห้าอย่างรวดเร็วเพื่อถอยหนี
ในขณะที่ถอย ร่างของเขาก็ดูดซับพลังหยวนหยางเข้าไป ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีส้มเหลือง ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์ที่มีเขาเดี่ยวขนาดมหึมา กลิ่นอายของเขาพุ่งสูงขึ้นจนถึงขีดสุด ดุจดังเทพเจ้ามาเยือน
เหวินผิงที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ ทำให้มู่ฉีเฉียงคำรามและปล่อยหมัดออกไป หมัดนั้นสร้างระลอกพลังหยวนหยางขนาดมหึมาราวกับฟองอากาศที่ระเบิดเสียงดังสนั่นประหนึ่งสายฟ้าฟาดอยู่ข้างหู
ปัง!
พลังอันรุนแรงกวาดผ่านสำนักอมตะไปในพริบตา จากภูเขาอวิ๋นหลานจนถึงสุดเขตสำนักอมตะ ไม่ว่าจะเป็นน่าหลานมู่หงหรือซิงเทียน ต่างก็ต้องหยุดการเคลื่อนไหวและทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อป้องกันตนเอง ทว่าก็ยังถูกแรงกระแทกจนกระเด็นไปไกลพันจั้ง ร่างกายถึงกับไม่อาจทรงตัวได้
น่าหลานมู่หงยิ่งถูกแรงกระแทกจนเวียนศีรษะ มองเห็นฟ้าดินบิดเบี้ยว
“เป็นไปได้อย่างไร…ป้องกันยังไม่ได้เลย…” น่าหลานมู่หงกัดฟันพยายามตั้งตัว พลางมองไปยังจุดศูนย์กลางของการต่อสู้อย่างไม่วางตา
แม้กลุ่มบัวเขียวจะถูกพลังหมัดของมู่ฉีเฉียงทำลายไปบางส่วน แต่ส่วนที่เหลือยังคงกลืนกินมู่ฉีเฉียง
ในวินาทีถัดมา มู่ฉีเฉียงถูกซัดจนลอยละลิ่วออกจากกลุ่มบัวเขียว ร่างของเขาพุ่งไปตกกระแทกภูเขาภายในเขตสำนักอมตะ ดุจดังดาวตก น่าหลานมู่หงมองเห็นเลือดที่พุ่งออกมาจากหน้าอกของมู่ฉีเฉียงราวกับน้ำพุ ชวนให้หวาดกลัวยิ่งนัก
“นี่มัน…” น่าหลานมู่หงถึงกับพูดไม่ออก ใจเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
มู่ฉีเฉียงแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งจนทำให้นางแทบขาดอากาศหายใจ แต่เจ้าสำนักเหวินแข็งแกร่งยิ่งกว่า มู่ฉีเฉียงถึงกับไม่อาจรับกระบี่เดียวของเขาได้
ตูม!
เสียงสนั่นหวั่นไหวอีกครั้ง มู่ฉีเฉียงตกลงไปในหุบเขา เหวินผิงพุ่งตามไปด้วยความเร็วและฟันกระบี่อีกครั้ง!
กระบี่เล่มนี้ มู่ฉีเฉียงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะตอบโต้ เพราะกระบี่ก่อนหน้านี้ไม่เพียงแค่เจาะผ่านกระดูกและผิวหนัง แต่ยังทำลายกายาวิญญาณของเขา และเมื่อกระบี่ที่สองฟาดลง ก็เป็นการตัดลมหายใจของมู่ฉีเฉียงจนสิ้น
ฉัวะ!
หน้าอกของมู่ฉีเฉียงถูกฟันเป็นรอยกากบาท เลือดพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่องจนย้อมหุบเขาเป็นสีแดงฉาน กลายเป็นลำธารสายหนึ่ง
“ถึงกับต้องใช้ถึงกระบี่ที่สอง…” เหวินผิงพึมพำกับตนเอง รู้สึกถึงความเข้าใจในพลังของตนเองที่กระจ่างขึ้น
นั่นคือ…เขาจำต้องบำเพ็ญเพลงกระบี่ขั้นที่ห้าให้สำเร็จโดยเร็ว
หากต้องใช้ถึงสองกระบี่ในการสังหารมู่ฉีเฉียง แปลว่าเขายังไม่อาจจัดการทุกอย่างได้ในกระบี่เดียว ซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสแห่งความล้มเหลวยังคงมีอยู่