ตอนที่แล้วบทที่ 52 พ่อมด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 54 การจากไป

บทที่ 53 ฝากฝัง


ภายในห้องอันเงียบสงบ โบเรียยืนพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางอ่อนแรง แต่ยังคงเล่าเรื่องราวต่อไปพลางจ้องมองอาเดียร์ที่อยู่ตรงหน้า

“บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาจากทวีปที่ห่างไกล เป็นพ่อมดผู้ทรงพลัง”

“เมื่อกว่าร้อยปีก่อน เขาเคยมาเยือนแดนเหนือ และนอกจากการทิ้งสายเลือดไว้ เขายังมอบบางสิ่งบางอย่างให้กับเรา”

มองดูอาเดียร์ โบเรียกล่าวพร้อมหยิบเครื่องรางในกล่องไม้สีม่วงขึ้นมา ดวงตาเปี่ยมด้วยความซับซ้อน “นี่คือสิ่งที่พ่อมดมอบไว้ มันเป็นของวิเศษที่ถูกเรียกว่า ‘วัตถุเวทมนตร์’ และยังทำหน้าที่เป็นใบเบิกทาง”

“ในบรรดาทายาทของตระกูลฟาคัสของเรา หากมีผู้ใดที่ถือกำเนิดมาพร้อมคุณสมบัติการเป็นพ่อมด พวกเขาจะสามารถใช้ใบเบิกทางนี้เดินทางไปยังอาณาจักรทางใต้ เพื่อลงเรือมุ่งหน้าสู่ทวีปที่พ่อมดสถิตอยู่”

“อาเดียร์ เจ้าคงทราบดี ว่านอกจากเเอลฮวาแล้ว ข้ายังมีบุตรชายคนโตอีกคนหนึ่ง ซึ่งถูกส่งไปยังอาณาจักรทางใต้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยกลับมา”

อาเดียร์พลันรู้สึกบางอย่าง “หรือว่า...”

“ใช่แล้ว”หลังจากตอบรับ โบเรียเผยยิ้มขื่นขม “บุตรชายคนโตของข้าเกิดมาพร้อมคุณสมบัติการเป็นพ่อมด ดังนั้นเขาจึงถูกส่งตัวออกไปตั้งแต่ยังเด็ก และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ กลับมา”

“นี่คือสาเหตุที่คนพวกนั้นกล้าลงมือกับเรา”

เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเศร้าสร้อย “ในสายเลือดของตระกูลฟาคัสของเรานั้นมีสายเลือดของพ่อมดไหลเวียนอยู่ ดังนั้นบางครั้งจึงปรากฏผู้ที่มีคุณสมบัติการเป็นพ่อมดในหมู่ทายาทของเรา”

“ในความจริงแล้ว ไม่เพียงแค่ตระกูลของเราเท่านั้น ในบรรดาอาณาจักรต่างๆ ที่อยู่โดยรอบ เหล่าราชวงศ์และขุนนางใหญ่ส่วนมากต่างก็มีสายเลือดพ่อมดในตระกูลเช่นกัน และนั่นคือเหตุผลที่พวกเขาสามารถครองอำนาจปกครองอาณาจักรมาได้อย่างยาวนาน”

“ในช่วงเกือบร้อยปีที่ผ่านมา ตระกูลของเรามักมีผู้ที่มีคุณสมบัติการเป็นพ่อมดปรากฏตัวขึ้นในทุกช่วงเวลา แม้พวกเขาจะไม่ได้กลายเป็นพ่อมดอย่างแท้จริง แต่ก็แข็งแกร่งในตัวเอง และยังมีความสัมพันธ์กับพ่อมดคนอื่นๆ ทำให้บรรดาอาณาจักรโดยรอบไม่กล้าลงมือกับเรา สถานการณ์นี้จึงคงอยู่มาจนถึงตอนนี้”

“ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา จำนวนคนในตระกูลของเราที่มีคุณสมบัติการเป็นพ่อมดกลับลดน้อยลงเรื่อยๆ คนเดียวที่ปรากฏตัวในช่วงนั้นคือบุตรชายคนโตของข้า อย่างไรกฌตาม แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไร้ข่าวคราว ทำให้ผู้คนรอบข้างเริ่มไม่อดทนและลงมือกับเราในที่สุด”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ โบเรียก็ไอออกมาเล็กน้อย เสียงของเขาฟังดูอ่อนล้ายิ่งกว่าเดิม “อาเดียร์ เจ้าเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมข้ากับพ่อของเจ้าจึงให้ความสำคัญกับเจ้ามากถึงเพียงนี้?”

“ลูกหลานที่เกิดจากมนุษย์และเอลฟ์ จะได้รับสืบทอดข้อดีของทั้งสองสายเลือด เมื่อเทียบกับมนุษย์ธรรมดาแล้ว โอกาสที่จะมีคุณสมบัติการเป็นพ่อมดย่อมสูงกว่า”

“อาเดียร์ เจ้าไม่ได้มีเพียงพรสวรรค์ในฐานะอัศวินที่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่เจ้ายังมีคุณสมบัติการเป็นพ่อมดอีกด้วย”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ร่างกายของอาเดียร์ถึงกับนิ่งไปเล็กน้อย แววตาของเขาฉายแววตกตะลึง

โบเรียที่อยู่ตรงหน้ามองอาเดียร์ด้วยสายตาสงบนิ่งก่อนจะส่ายหัว “อย่าสงสัยเลย เจ้ามีคุณสมบัติการเป็นพ่อมดอย่างแน่นอน ข้ากับพ่อของเจ้าได้ยืนยันเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่เจ้าลืมตาดูโลกแล้ว”

แขนขวาที่สั่นเทาของโบเรียค่อยๆ ยกขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมส่งมอบเครื่องรางสีดำในมือให้กับอาเดียร์ที่อยู่ตรงหน้า “สิ่งนี้เป็นใบเบิกทาง ที่จริงมันควรจะถูกส่งมอบให้เจ้าเมื่อครึ่งปีก่อนแล้ว แต่ในตอนนั้นเกิดการจลาจลของพวกออร์คขึ้น สถานการณ์รอบข้างไม่ค่อยดีนัก ข้าจึงไม่มีทางเลือกที่จะส่งเจ้าออกไป”

“แต่ตอนนี้ แม้ข้าต้องการจะส่งเจ้าออกไป ข้าก็ไม่อาจทำได้แล้ว”

โบเรียเผยยิ้มขื่นขม “ทุกๆ หนึ่งปี เรือของพ่อมดจากแดนไกลจะเทียบท่าที่ชายฝั่งทางใต้ เพื่อรับศิษย์พ่อมดใหม่ๆ”

“หลังจากที่เจ้าออกจากแดนเหนือแล้ว จงพาแอลฮวาและคนอื่นๆ ไปยังอาณาจักรทางตอนใต้แห่งหนึ่ง ที่นั่นยังมีคนของตระกูลเราตั้งถิ่นฐานอยู่ พวกเขาจะสามารถดูแลพวกเจ้าให้มีชีวิตที่มั่นคงได้”

“เมื่อไปถึงแล้ว ให้เจ้ามอบจดหมายฉบับนี้แก่ผู้ดูแลประจำที่นั่น เขาจะรู้ว่าควรทำอย่างไร”

โบเรียพูดพร้อมกับหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อด้วยมือที่สั่นเทา และส่งมอบให้แก่อาเดียร์

จดหมายนั้นเขียนลงบนกระดาษชนิดพิเศษที่พบได้น้อยมากในแดนเหนือ มันถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย แต่ลายมือบนจดหมายกลับดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย ราวกับว่าผู้เขียนไม่ได้จับปากกาให้มั่นคงนัก

อาเดียร์รับจดหมายมาด้วยความเงียบงัน ก่อนจะเก็บมันไว้ในอกเสื้ออย่างระมัดระวังและให้ความสำคัญ

บรรยากาศเงียบสงัดชั่วครู่ ก่อนที่เสียงของโบเรียจะทำลายความเงียบนั้นลงอีกครั้ง

“เรื่องของแอลฮวา เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลมากไปกว่านี้”

โบเรียพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “จนถึงตอนนี้ แดนเหนือก็ไม่อาจรักษาไว้ได้อีกแล้ว พวกของอาคาดิลาเป็นเพียงการเริ่มต้นทดลองโจมตีเท่านั้น กองกำลังที่แท้จริงของบรรดาอาณาจักรใหญ่ยังไม่ได้ลงมือ หากแอลฮวายังคงอยู่ที่นี่ คงจะต้องพบจุดจบที่เลวร้าย”

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลของเราได้สร้างอิทธิพลในอาณาจักรทางใต้ไว้มากมาย แม้ว่าอาจจะเทียบกับเเดนเหนือไม่ได้ ไม่ได้เหมือนเคย แต่การดำรงชีวิตอย่างมีเกียรติก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ อาเดียร์ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ ด้วยความเงียบ

มันเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด

จากสิ่งที่อาเดียร์รู้เเละเข้าใจเกี่ยวกับแอลฮวา นิสัยของอีกฝ่ายหากยังอยู่ในแดนเหนือต่อไป จะต้องถูกกลืนกินโดยฝูงหมาป่าจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันอย่างแน่นอน

เข้าใจได้ว่า โบเรียเองก็รู้จัก นิสัยเเละความสามารถของลูกชายของเขาเป็นอย่างดี และมองเห็นสถานการณ์รอบตัวได้อย่างชัดเจน เขาจึงไม่ได้มีความหวังลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป

เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ

เหมือนกับว่าโบเรียรู้ตัวว่าชีวิตของเขาใกล้จะถึงจุดสิ้นสุด เขาจึงพูดออกมามากมายกว่าปกติ เล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ในอดีตอย่างละเอียด

เมื่อรู้สึกถึงอารมณ์ของคนตรงหน้า อาเดียร์เองก็รับฟังอย่างตั้งใจ โดยไม่คิดขัดจังหวะใดๆ เพียงแค่ตั้งคำถามบางข้อในบางช่วงเท่านั้น

“...ตามบันทึกของตระกูลเรา ดินแดนที่เราอาศัยอยู่นี้ เมื่อเทียบกับดินแดนอื่นๆ แล้ว ถือว่าเป็นดินแดนที่แร้นแค้นมาก ไม่เพียงแต่ทรัพยากรจะขาดแคลน สภาพแวดล้อมก็ยังไม่เอื้ออำนวยอีกด้วย นี่คือดินแดนที่พ่อมดทอดทิ้งไว้”

“ส่วนที่เหล่าพ่อมดอาศัยอยู่นั้น เป็นดินแดนอีกฟากหนึ่งที่เต็มไปด้วยอันตราย น่ากลัวกว่าที่นี่มากนัก”

“และแม่ของเจ้าเอง ที่แท้จริงแล้วก็มาจากดินแดนอีกฟากหนึ่งเช่นกัน นางเป็นชาวเอลฟ์ที่ลี้ภัยหนีภัยพิบัติมา ถูกพ่อค้าทาสพาตัวมาขายบนแผ่นดินนี้ สุดท้ายเราจึงซื้อนางมา นั่นเป็นเหตุผลที่เจ้าถือกำเนิดขึ้นมา”

โบเรียเริ่มพูดถึงแม่ของอาเดียร์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ราวกับกำลังรำลึกถึงอดีต

“ลี้ภัย?” อาเดียร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ใช่แล้ว ลี้ภัย” โบเรียพยักหน้าเบาๆ เหมือนกำลังรวบรวมสติให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เมื่อหลายสิบปีก่อน ที่ดินแดนซึ่งเหล่าเอลฟ์อาศัยอยู่นั้น เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้นมา ภายในเวลาไม่กี่ปี อาณาจักรเอลฟ์หลายแห่งล่มสลายลง ชาวเอลฟ์จำนวนมากต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัย และถูกพ่อค้าทาสพาตัวไปขายตามดินแดนต่างๆ แม่ของเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น”

“เมื่อเราซื้อนางกลับมาแล้ว ด้วยความที่นางพูดภาษาของเราไม่ได้ จึงไม่สามารถสื่อสารกับเราได้อย่างชัดเจน”

“แต่สิ่งเดียวที่เรารู้เกี่ยวกับนาง คือ นางเกิดมาในตระกูลขุนนางเล็กๆ แห่งอาณาจักรเอลฟ์เเห่งใดเเห่งหนึ่ง”

โบเรียพูดพร้อมหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนหยิบตราสัญลักษณ์จากมุมหนึ่งขึ้นมา

ตรานั้นเป็นสีม่วง มีนกตัวหนึ่งปักอยู่บนมัน โดยในปากของนกมีพระจันทร์สีเงินคาบอยู่

"นี่คือสัญลักษณ์ที่เคยอยู่บนร่างของแม่เจ้าในตอนนั้น เป็นสิ่งที่แสดงถึงสถานะขุนนางของนาง หากในอนาคตเจ้าต้องการตามหาแม่ของเจ้า เจ้าสามารถใช้สิ่งนี้เป็นเบาะแสได้"

เมื่อได้ฟังคำพูดเหล่านั้น อาเดียร์รับเอาสัญลักษณ์ขนาดเล็กที่ดูประณีตไว้ในมือ โดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา

เบื้องหน้า โบเรียยังคงพึมพำเสียงเบา ทว่าคำพูดเหล่านั้นค่อยๆ แผ่วลงเรื่อยๆ ราวกับใกล้ดับสลาย

อาเดียร์ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ รอจนกระทั่งเสียงของโบเรียเงียบลงอย่างสมบูรณ์ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

ในขณะนั้นเอง มือที่ทรงพลังมือหนึ่งยื่นออกมาและวางลงบนไหล่ของอาเดียร์

อาเดียร์สะดุ้ง ใจหนึ่งอยากจะผลักมือนั้นออกไป แต่สุดท้ายก็ระงับเอาไว้

"อาเดียร์!!"

เสียงอันแหบแห้งแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นดังขึ้น โบเรียเบื้องหน้าใช้แรงเฮือกสุดท้ายจับไหล่อาเดียร์แน่น

"ข้าขอร้อง!! สัญญากับข้า ช่วยดูแลเเอลฮวาแทนข้าด้วย!!"

โบเรียเอ่ยด้วยเสียงอันหนักแน่น มือที่จับไหล่อาเดียร์แน่นสั่นเล็กน้อย ใบหน้าที่เคยสง่างามกลับบิดเบี้ยวจนดูน่ากลัว

สายตาเปี่ยมความเว้าวอนจ้องตรงไปยังอาเดียร์ เสมือนพยายามถ่ายทอดคำขอร้องครั้งสุดท้าย

บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในความเงียบงัน

อาเดียร์มองโบเรียที่กำลังจะจากไป พลันรู้สึกได้ถึงความหนักแน่นในคำขอร้องนั้น เขานิ่งงันและครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ชีวิตของโบเรียก็ค่อยๆ ร่วงโรยลงอย่างรวดเร็ว มือที่เคยจับไหล่อาเดียร์ไว้อย่างมั่นคงกลับค่อยๆ อ่อนแรงลงทุกขณะ จนกระทั่งใกล้ถึงวาระสุดท้าย

อาเดียร์มองดูแววตาเศร้าสร้อยของอีกฝ่าย แสงชีวิตที่เคยเปล่งประกายกลับค่อยๆ มืดลงเรื่อยๆ เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

"ข้าจะพยายาม..."

คำพูดของเขาดังก้องในความเงียบงัน มองดูโบเรียที่ค่อยๆ คลายมือออก มือที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังพลันตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะหยุดนิ่งสนิทไปในที่สุด

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด