บทที่ 35 วังหรูแห่งข้า
###
หลังจากนายท่านโจวจากไป จางจิ่วหยางถือโฉนดที่ดินไว้ในมือ ก่อนจะเปิดประตูออกไปมองดูคฤหาสน์หรูหลังใหญ่ตรงหน้า
สวนสวยถูกจัดอย่างพิถีพิถัน ต้นไม้ใหญ่เขียวชอุ่ม ถัดไปไม่ไกลมีน้ำตกจำลองและลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลเอื่อย ข้างน้ำตกเต็มไปด้วยไม้ดอกหลากสี บ่อน้ำข้าง ๆ มีใบบัวเขียวชอุ่มชวนให้เพลิดเพลิน
สายลมอบอุ่นโชยพัดชวนให้เคลิบเคลิ้ม
คฤหาสน์หรูหราขนาดนี้... กลายเป็นของเขาไปเสียแล้วหรือ?
หากในชาติก่อนเขามีบ้านเช่นนี้ คุณปู่คงห้ามเรื่องยี่สิบปีไม่ยุ่งกับผู้หญิงไม่ได้แน่ ๆ
นายท่านโจวช่างเป็นคนกล้าหาญจริง ๆ ที่ใช้สิ่งนี้ทดสอบจิตใจของนักพรต!
หากไม่ใช่ว่าจางจิ่วหยางปฏิเสธอย่างหนักแน่น เกรงว่าคงจะมีสาวใช้หน้าตางดงามหลายคนถูกส่งมาให้ดูแลความอบอุ่นแล้ว
นึกถึงสายตาชื่นชมปานเห็นนักบุญของนายท่านโจว จางจิ่วหยางก็ได้แต่ตั้งสัตย์ปฏิญาณในใจ
ข้าไม่ได้หยางพร่องเสียหน่อย! เพียงแต่ก่อนจะฝ่าด่านร้อยวันสำเร็จ ข้าห้ามมีสัมพันธ์กับสตรี ไม่เช่นนั้นจะส่งผลต่ออนาคตของการบำเพ็ญตน
ด่านร้อยวัน... ต้องเร่งผ่านด่านนี้ให้ได้เร็วที่สุด!
ไม่เช่นนั้นชื่อเสียง “นักพรตหยางพร่อง” ของข้าคงได้กลายเป็นความจริงแน่ ๆ
อาหลี่มองดูสวนกว้างใหญ่ด้วยดวงตาเบิกกว้าง นางสูดหายใจลึกด้วยความตกตะลึง นางผู้ไม่เคยหวาดกลัวต่อภูตผีมาก่อน กลับแสดงความรู้สึกเกรง ๆ ออกมา
“พะ พี่จิ่ว ท่านว่า...สวนใหญ่โตแบบนี้จะเป็น...บ้านของพวกเราแล้วจริง ๆ หรือ?”
“ที่นี่จะต้องใช้เงินซื้อขนมปังได้สักกี่ก้อนกันนะ?”
สมองเล็ก ๆ ของนางไม่อาจคำนวณออกมาได้ ทำเอานางมึนงงไปหมด
จางจิ่วหยางหัวเราะเบา ๆ พลางลูบศีรษะนางเบา ๆ แล้วพูดว่า “จากนี้ไป ที่นี่คือบ้านของเราแล้ว”
ความจริงตั้งแต่ที่เขามาถึงเมืองชิงโจว เขาก็คิดเรื่องปักหลักอยู่ที่นี่แล้ว
เพราะที่นี่เป็นเมืองที่รุ่งเรืองที่สุดในชิงโจว อาจมีทรัพยากรสำหรับการฝึกตนที่หาได้ยาก อีกทั้งที่นี่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น
เมืองชิงโจวใหญ่กว่าอำเภออวิ๋นเหอถึงสิบเท่า ประชากรมีมากกว่าหนึ่งแสนคน ในเมืองใหญ่เช่นนี้ ย่อมมีคนอย่างนายท่านโจวที่ต้องพบเจอภูตผีร้ายและต้องการความช่วยเหลือ
แม้น้ำจะดูนิ่งสงบ แต่เบื้องล่างย่อมมีคลื่นใต้น้ำซ่อนอยู่เสมอ
จางจิ่วหยางมีความสามารถในการกลืนกินภูตผี หากต้องการเพิ่มพลังของตนอย่างรวดเร็ว ย่อมต้องออกตามล่าภูตผีด้วยตนเอง แม้แต่ดาบปราบมารของเขาก็ต้องผ่านการฟาดฟันภูตผีมากมายถึงจะเพิ่มความแกร่งกล้าได้
อำเภออวิ๋นเหอยังเล็กเกินไปสำหรับเขา
อีกเหตุผลสำคัญคือการเผยแพร่ความเชื่อในเทพจงขุย
ในอำเภออวิ๋นเหอที่มีบ้านเรือนราวหนึ่งพันห้าร้อยหลังคาเรือน บัดนี้เกือบทุกบ้านล้วนบูชาเทพจงขุยแล้ว ซึ่งช่วยสร้างพลังศรัทธาให้แก่แผ่นภาพฝึกจิตได้ แต่จางจิ่วหยางสังเกตเห็นว่า หลังจากที่แผ่นภาพได้มอบพลังแก่เขาไปครั้งหนึ่ง การจะได้รับพลังอีกครั้งจำเป็นต้องใช้พลังศรัทธาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
หากต้องการค้นพบความลับเพิ่มเติมในแผ่นภาพ และได้รับพลังจากเทพจงขุยเพิ่มขึ้น เขาย่อมต้องคิดหาวิธีเผยแพร่ความเชื่อออกไปให้ไกลกว่าเดิม
เมืองชิงโจวคือพื้นที่ที่ยังไม่เคยมีใครเข้าไปเผยแพร่มาก่อน เขาจึงรู้สึกสนใจอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ลืมคำเตือนของเกาเหริน ดังนั้นเขาจึงยังไม่ลงมือทำอะไรโดยพลการ แต่ตัดสินใจพักอาศัยที่นี่เพื่อสังเกตการณ์และหาทางออกที่เหมาะสมก่อน
“พี่จิ่ว ข้าอยากเลี้ยงปลากะพงในบ่อปลา แล้วทำเมนูปลากะพงราดซอสต้นหอมให้ท่านกิน!”
“ตรงนี้ข้าจะปลูกผักกาดขาวและผักใบเขียว!”
“ตรงนั้นข้าจะปลูกต้นทับทิม พอถึงหน้าร้อนจะได้นำไปแช่น้ำเย็นไว้กิน มันอร่อยมากเลยล่ะ”
“ส่วนตรงนั้น ข้าจะขึงเชือกไว้สำหรับตากผ้าให้ท่าน เสื้อคลุมของท่านเปื้อนอีกแล้ว...”
หลังจากแน่ใจว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นบ้านของพวกเขาจริง ๆ อาหลี่ก็ยืนเท้าสะเอว พลางชี้นิ้วไปมาพร้อมออกคำสั่งราวกับแม่บ้านคนหนึ่ง กำหนดแผนการใช้พื้นที่ในคฤหาสน์อย่างขะมักเขม้น
จางจิ่วหยางหัวเราะลั่นก่อนจะกล่าวว่า “ต้องสร้างชิงช้าเพิ่มอีกสักอัน เผื่อเวลาเจ้าว่างจะได้แกว่งเล่นแก้เบื่อ”
อาหลี่พยักหน้ารับแรง ๆ ดวงตาของนางโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว เปียคู่เล็ก ๆ ของนางส่ายไปมาด้วยความดีใจราวกับชิงช้าขนาดจิ๋ว
......
สามวันต่อมา นายท่านโจวก็ส่งยาเม็ดจื่อจือหยู่เซินว่านมาให้
นอกจากโสมอายุสามร้อยปีของจางจิ่วหยางแล้ว ยังมีสมุนไพรล้ำค่าอื่น ๆ เช่น เห็ดหลินจืออายุเกือบร้อยปี ยิปซัม เขากวางอ่อน หวงฉี และชะมดเชียง ซึ่งนายท่านโจวกล่าวว่าสูตรนี้เป็นสูตรลับที่สืบทอดกันมาในตระกูล และเชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากวังหลวง
ยาเม็ดจื่อจือหยู่เซินว่าน มีสรรพคุณบำรุงหยาง เพิ่มพลังชีวิต และเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง นายท่านโจวบอกว่า ในอดีตพวกนักพรตในสำนักไท่ผิงกวนที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์จักรพรรดิชอบกินยานี้มาก เพราะเชื่อว่าช่วยเพิ่มพูนพลังบำเพ็ญเพียร
ในคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวง สายน้ำใสเย็นไหลริน
จางจิ่วหยางนั่งขัดสมาธิอยู่ในศาลากลางสวนของตน ดาบปราบมารวางอยู่ข้างกาย เพียงแค่นึกถึงก็สามารถใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวได้ทันที
ขณะที่อาหลี่กำลังซึมซับพลังจันทร์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณ นางนั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์อันสว่างไสว ใบหน้าเล็ก ๆ แสดงออกถึงความมุ่งมั่นและความสุขใจ
จางจิ่วหยางมองยาเม็ดสีม่วงในมือ กลิ่นหอมแปลกประหลาดลอยแตะจมูก
เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย ก่อนจะโยนยาเม็ดนั้นเข้าปาก
ยาเม็ดละลายทันทีเมื่อเข้าสู่ลำคอ ในช่วงแรกไม่มีความรู้สึกอะไร แต่เมื่อกระเพาะเริ่มย่อย ยาก็เริ่มปล่อยพลังออกมาเป็นกระแสความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
พลังงานอันอบอุ่นเหล่านี้ไหลเวียนไปทั่วทั้งสี่แขนขาและร่างกาย หากเป็นคนธรรมดา ยานี้จะมีผลในการบำรุงร่างกายและเพิ่มพลังหยาง แต่สำหรับจางจิ่วหยางที่ใช้เคล็ดวิชาเตาหยกและภาพวาดมังกรไฟพยัคฆ์วารี พลังงานเหล่านี้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณบริสุทธิ์ราวกับฝนที่ตกลงสู่ทุ่งนา
เขาเข้าสู่ภวังค์แห่งการฝึกตนอย่างลึกซึ้ง รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในบั้นเอวทั้งสองข้างอย่างชัดเจน
เสียงน้ำไหลเบา ๆ ดังขึ้นในหู ไม่ทราบเวลาผ่านไปนานเท่าใด ท่ามกลางเสียงนั้น เขาก็ได้ยินเสียงแปลกประหลาดที่คล้ายกับเสียงของสัตว์ขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้กระแสน้ำลึก
จางจิ่วหยางเพ่งสมาธิและพยายามมองหาต้นกำเนิดของเสียงนั้น ในที่สุดหลังจากความพยายามหลายครั้ง เขาก็มองเห็นทะเลสีดำกว้างใหญ่
ใต้เกลียวคลื่นที่ซัดสาด มีเต่าศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่ยักษ์กำลังว่ายน้ำอย่างช้า ๆ
ร่างของมันใหญ่โตดั่งภูเขา เคลื่อนตัวผลักดันคลื่นน้ำให้ซัดกระหน่ำไปทั่วทุกสารทิศ
ทันใดนั้น จางจิ่วหยางก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เบื้องบนคือดวงจันทร์ส่องแสงสุกสกาว รอบด้านเงียบสงบ ราวกับว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนาน
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ยาเม็ดจื่อจือหยู่เซินว่านได้ถูกเขาดูดซับและกลั่นพลังจนหมดสิ้น
“เมื่อครู่นั้น...คือเทพเจ้าแห่งไตหรือไม่?”
จางจิ่วหยางนึกถึงคำสอนของเกาเหริน
ลัทธิเต๋าเชื่อว่าร่างกายมนุษย์มีเทพเจ้าประจำอวัยวะสำคัญทั้งห้า ได้แก่ เทพแห่งหัวใจเรียกว่าตานหยวน เทพแห่งปอดเรียกว่าห่าวฮว๋า เทพแห่งตับเรียกว่าชิงหลง เทพแห่งม้ามเรียกว่าหวงถิง และเทพแห่งไตเรียกว่าซวนหมิง
เทพประจำอวัยวะทั้งห้าถือว่ามีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ ดังนั้นลัทธิเต๋าจึงมีวิธีการฝึกตนที่เรียกว่าการสำรวมจิต เพื่อขอพรและเสริมพลังจากเทพประจำอวัยวะภายใน
การจะฝ่าด่านร้อยวันไปยังขั้นที่สองของการบำเพ็ญเพียรนั้น จำเป็นต้องสามารถมองเห็นเทพประจำอวัยวะได้ และเทพแห่งไตซวนหมิงก็คือด่านแรกของการบำเพ็ญเพียรขั้นนี้
เมื่อสามารถมองเห็นเทพซวนหมิงได้ ก็จะสามารถเชื่อมต่อกับเทพเจ้าแห่งไต เปิดประตูพลังชีวิตภายในไต และได้รับพลังชีวิตอันมหาศาลเพื่อใช้ในการกลั่นพลังปราณ
การที่เขาสามารถมองเห็นเทพซวนหมิงได้ในครั้งนี้ เป็นสัญญาณว่าเขาเริ่มเข้าใกล้ด่านร้อยวันแล้ว หากพยายามต่อไปอีกไม่นาน คงจะสามารถฝ่าด่านสำเร็จ
ยาเม็ดจื่อจือหยู่เซินว่านให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม!
แต่ปัญหาของจางจิ่วหยางตอนนี้ก็คือ เขายังไม่มีเคล็ดวิชาสำหรับการฝึกตนในขั้นที่สอง
ภาพวาดมังกรไฟพยัคฆ์วารีเหมาะสำหรับการบำเพ็ญเพียรในขั้นแรกเท่านั้น ไม่ได้บอกวิธีการเชื่อมต่อกับเทพประจำอวัยวะและการเปิดประตูพลังชีวิตในขั้นต่อไป ทำให้เขาต้องขบคิดหนัก
เคล็ดวิชาเตาหยกนับเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนชั้นยอดในยุคนี้ แค่ภาพแรกของวิชามังกรไฟพยัคฆ์วารีก็ทำให้เขาได้รับประโยชน์อย่างมาก จนสามารถเอาชนะแม่หมอหลี่ที่อยู่ในระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย
จางจิ่วหยางเชื่อว่าภาพวาดในลำดับถัดไปของเคล็ดวิชานี้ย่อมต้องมีความลี้ลับและพลังที่ไม่ธรรมดา เขาจึงต้องการฝึกวิชานี้ต่อไป
เกาเหรินเคยบอกว่าจะพยายามหาภาพวาดลำดับที่สองมาให้เขา หวังว่าตอนนี้เหล่าเกาจะได้ข่าวดีแล้ว
.....
“ฮัดเช้ย!”
ที่เชิงเขาแห่งหนึ่ง ชายร่างกำยำคนหนึ่งจามออกมาเสียงดัง เขานั่งอยู่ข้างกองไฟกับชายร่างผอมอีกคน แต่ละคนมีเนื้อกระต่ายป่าคนละตัวเสียบไม้ย่างไฟอยู่
ทั้งสองคนล้วนดูอ่อนล้า และตามร่างกายก็มีบาดแผลอยู่หลายแห่ง
“คดีครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย พวกเราได้ส่งรายงานขึ้นไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทางเบื้องบนจะส่งใครมาจัดการ จะรับมือไหวไหม...” ชายร่างผอมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล
ชายร่างกำยำก็ถอนหายใจยาวก่อนจะกล่าวว่า “แล้วยังเรื่องคดีอวิ๋นเหนียงที่ข้ารายงานไปก่อนหน้านี้ ข้าก็วางแผนว่าจะไปสืบต่อที่เมืองชิงโจวอยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าจะถูกเรียกตัวด่วนให้มาที่นี่เสียก่อน ตอนนี้ทั้งสองคดีเกิดขึ้นในชิงโจวพอดี กลายเป็นเรื่องยุ่งยากเข้าไปอีก!”
บรรยากาศรอบตัวพลันเงียบลงทันที
หน่วยฉินเทียนเจี้ยนมีจำนวนเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพออยู่แล้ว อีกทั้งยังมีผู้เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก ทุกครั้งที่ออกไปทำคดี พวกเขาต้องเตรียมใจกับความเป็นความตาย พร้อมกับทิ้งสิ่งของส่วนตัวไว้เผื่อกรณีที่ต้องทำสุสานเสื้อผ้าแทนร่าง
ขณะนั้นเอง นกกระเรียนกระดาษส่งสารตัวหนึ่งบินตรงเข้ามา
ชายร่างผอมรับกระดาษส่งสารมาเปิดอ่าน ดวงตาเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจ จากนั้นอาการซึมเศร้าของเขาก็พลันหายไป กลายเป็นความตื่นเต้นดีใจอย่างที่สุด
“ดีมาก! ดีมากเลย!”
เขาเอ่ยอย่างตื่นเต้น “พี่เกา ท่านเดาสิว่าคราวนี้เบื้องบนส่งใครมา?”
เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของอีกฝ่าย ชายร่างกำยำก็ดูเหมือนจะนึกอะไรออก ใบหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย แม้แต่การหายใจก็เริ่มถี่ขึ้น
“หรือว่า...จะเป็น…ยอดนักสู้เยว่?”
ชายร่างผอมระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ดวงตาเต็มไปด้วยความเคารพและตื่นเต้น
“ใช่แล้ว ยอดนักสู้ผู้นั้นกำลังจะมา ฮ่า ๆ งานนี้เราไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว!”
“เหล่าปีศาจภูตผีในชิงโจวจงเตรียมตัวหนีเอาชีวิตรอดได้เลย!”