บทที่ 348: งั้นฉันบอกพวกนายไว้ก่อนแล้วกัน
เฉียวซางถึงกับกระตุกมุมปากแรงกว่าเดิม
ให้ตายเถอะ... ที่แท้เธอไม่ได้ไปฟังผิดจริงๆ
เพิ่งผ่านศึกความเป็นความตายมาแท้ๆแล้วในช่วงเวลานี้ยังจะไปฝึกอีกเนี่ยนะ? จริงจังไปไหม?
ขณะที่เฉียวซางกำลังครุ่นคิดว่าจะเตือนลู่เป่าอย่างไรให้เข้าใจว่าการพักผ่อนและการฝึกต้องสมดุลกันถึงจะถูกต้องนั้น... อีกด้านหนึ่งสวี่อี้เสวียนที่อยู่ข้างๆกลับยืนนิ่งเป็นใบ้ไปแล้ว เธอเริ่มสงสัยอย่างหนักว่าหูของตัวเองพังหรือเปล่า
แม้เธอจะฟังสิ่งที่พรายเกล็ดน้ำค้างพูดไม่ออก แต่คำพูดของเฉียวซางน่ะเธอฟังออก!
พรายเกล็ดน้ำค้างเสนอขอไปฝึกซ้อมเองเหรอ?!
ในชั่วพริบตาเดียว สวี่อี้เสวียนถึงกับอิจฉาจนสีหน้าแทบจะบิดเบี้ยว
ต้องเข้าใจก่อนว่า ตอนเธออยู่ปีหนึ่งเคยพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้สัตว์อสูรของเธอยอมฝึกซ้อม ไม่ว่าจะใช้ไม้อ่อน ไม้แข็งก็ทำมาแล้วหมด แถมยังไปซื้อหนังสืออย่าง “การดื้อไม่ใช่ความผิดของสัตว์อสูร”, “สอนให้สัตว์อสูรรักการฝึกซ้อม”, “อ่านใจสัตว์อสูรผ่านพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน” และ “ทำอย่างไรให้สัตว์อสูรสนุกกับการฝึก” มาอ่านอีกต่างหาก ใช้เวลาอยู่ตั้งนานกว่าจะทำให้เจ้าสุนัขเขี้ยวเพลิงที่ตอนนั้นเพิ่งเริ่มโตยอมฝึกซ้อมได้
แต่ตอนนี้ เธอเห็นอะไรอยู่?
พรายเกล็ดน้ำค้างเป็นฝ่ายลากเฉียวซางไปฝึกซ้อมเอง!
ไม่ใช่เฉียวซางลากพรายเกล็ดน้ำค้างนะ!
แต่เป็นพรายเกล็ดน้ำค้างลากเฉียวซาง!
"ฉันไปด้วย!" สวี่อี้เสวียนตะโกนออกมาเสียงดังลั่น มีคนบ้าระดับนี้อยู่ข้างๆเธอไม่อาจนอนเฉยๆได้อีกต่อไป
เดี๋ยวก่อน! นี่มันกี่โมงแล้ว เธอจะเอาอะไรมาแจมด้วยเนี่ย!
เฉียวซางมองสวี่อี้เสวียนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "พรุ่งนี้ยังมีแข่งอยู่นะ แน่ใจเหรอว่าไม่อยากพักผ่อนดีๆสักหน่อย?"
พูดออกมาว่าเธออยากพักเถอะ!
สวี่อี้เสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบอย่างจริงจัง "เธอพูดถูก งั้นฉันฝึกแค่ชั่วโมงเดียวก็พอ!"
เฉียวซาง: "..."
ตอนนั้นเอง ลู่เป่าก็ใช้กรงเล็บดึงขากางเกงของเขาเบาๆอีกครั้ง
เฉียวซางก้มมองลงไป สบตาเข้ากับสายตาจริงจังของลู่เป่า
"ลูลู่" ลู่เป่าส่งเสียงร้องอย่างหนักแน่น
เฉียวซางถอนหายใจในใจหนึ่งที พลางยอมแพ้ "งั้นก็ไปเถอะ"
ที่ศูนย์รับรองผู้ฝึกสัตว์อสูรหงเหรา
เนื่องจากเป็นช่วงใกล้เที่ยงคืน พื้นที่ฝึกซ้อมสาธารณะจึงแทบไม่มีใครอยู่
สวี่อี้เสวียนกำลังฝึกกับสัตว์อสูรของเธอวิญญาณนำฝัน ส่วนเฉียวซางก็กำลังพูดคุยกับลู่เป่า
"ตอนฝึกวันนี้ทำไมตอนแกใช้สายน้ำโรมรันถึงต้องเอาหัวกระแทกพื้นล่ะ?" เฉียวซางถาม
"ลูลู่" ลู่เป่าใช้กรงเล็บชี้ไปที่อัญมณีตรงหน้าผากของตัวเองเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร เพราะมันสามารถรักษาตัวเองได้
เฉียวซางส่ายหน้าอย่างหมดคำพูด "นี่มันไม่ใช่เรื่องของการรักษา การปล่อยใช้สายน้ำโรมรันแค่ครั้งเดียว ต่อให้หัวไม่ชนพื้นก็ได้ผลเหมือนกันหมดนั่นแหละ"
เพราะทุกครั้งที่ปล่อยทักษะออกไป ระดับความชำนาญของทักษะก็เพิ่มขึ้นแค่ 1 เท่าเดิม จะชนพื้นหรือไม่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง
"ลู่..."
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้ฝึกสัตว์อสูรตัวเอง ลู่เป่าก็แสดงสีหน้าห่อเหี่ยว
มันรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอสุดๆแม้แต่ทักษะโจมตีที่รุนแรงที่สุดของมันยังไม่อาจเทียบกับทักษะที่หยาเป่าปล่อยออกมาแบบส่งเดชได้เลย!
ตอนนี้หยาเป่าเองก็วิวัฒนาการไปแล้ว ลู่เป่าเริ่มสงสัยแล้วว่าต่อให้ฝึกหนักแค่ไหนก็คงไม่มีวันตามเจ้าตัวนั้นทัน
เมื่อเห็นลู่เป่ามีท่าทางเช่นนั้น เฉียวซางก็สังเกตได้ทันทีว่ามันกำลังอารมณ์ไม่ดี
ปกติแล้วลู่เป่ามักจะรักษาภาพลักษณ์ที่เย็นชาอยู่เสมอ ไม่มีทางแสดงออกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่ ทั้งที่ในตอนแข่งวันนี้ยังดูดีอยู่เลย
เฉียวซางลองนึกย้อนดูเหตุการณ์ในวันนี้ แล้วก็พอเดาสาเหตุได้
"แกกำลังรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งเลยใช่ไหม?" เฉียวซางถาม
"ลูลู่!" ลู่เป่าส่งเสียงร้องอย่างขุ่นเคืองทันทีเมื่อถูกจับได้ พร้อมแสดงออกชัดเจนว่ามันไม่ได้อ่อนแอ
"ฉันก็คิดว่าแกเก่งมากแล้วนะ" เฉียวซางพยักหน้าเห็นด้วย "ลองคิดดูสิ แกมีทักษะแสงแห่งการรักษาที่เป็นทักษะเหนือระดับ ส่วนทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของหยาเป่ายังเป็นแค่ระดับสูงอยู่เลย แถมตอนแกบอกว่าอยากเรียนทักษะระดับสูงอย่างเรียกฝน แกก็เรียนรู้มันได้แบบง่ายๆ แล้วแบบนี้แกจะนับว่าอ่อนแอได้ยังไงกัน?"
"ลู่..."
ลู่เป่าจ้องผู้ฝึกของมันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแสดงสีหน้าจริงจังแล้วพูดความคิดของตัวเองออกมา
"ลูลู่!"
มันอยากแข็งแกร่งขึ้น! แข็งแกร่งยิ่งกว่านี้!
แกอยากแข็งแกร่งกว่าหยาเป่าสินะ เฉียวซางคิดในใจ
จริงๆแล้วลู่เป่าไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด ด้วยทักษะแสงแห่งการรักษาผสานกับเรียกฝนและลักษณะเฉพาะตัวอย่างว่ายน้ำเร็วที่ทำให้มันเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ บวกกับความชำนาญในทักษะสายน้ำโรมรันที่มาถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว แม้จะยังขาดประสบการณ์การต่อสู้ในสนามจริง แต่หากคู่แข่งอยู่ในระดับเดียวกันลู่เป่าก็มีโอกาสชนะสูงมาก
ปัญหาเดียวก็คือเพื่อนร่วมทีมของมันคือหยาเป่าและซุนเป่า
หยาเป่านั้นมีทักษะแยกเงาซึ่งถึงระดับไร้ที่ติแล้ว ความชำนาญของทักษะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแทบทุกวัน แถมยังเป็นทักษะโจมตีซะส่วนใหญ่
ส่วนซุนเป่าเองก็มีทักษะควบคุมเงา โดยมันนั้นสามารถโจมตีและควบคุมได้ในคราวเดียวกัน ทำให้มันแทบไร้เทียมทานในระดับเดียวกัน
การต้องอยู่ในทีมที่มีคู่เปรียบเทียบแบบนี้ ไม่แปลกเลยที่ลู่เป่าจะรู้สึกกดดัน
สำหรับลู่เป่าทักษะที่ทรงพลังที่สุดสองอย่างของมันคือแสงแห่งการรักษาซึ่งเป็นทักษะฟื้นฟูและทักษะประเภทสนับสนุนที่เน้นความหลากหลายทางการใช้งาน ดังนั้นในด้านการโจมตีโดยตรง มันย่อมเทียบหยาเป่าหรือซุนเป่า
ทั้งที่เป็นสายสนับสนุนแท้ๆแต่กลับมีใจอยากเป็นสายโจมตีหนักหน่วง เฉียวซางได้แต่ถอนหายใจในใจก่อนจะเอ่ยขึ้น "งั้นเรามาเรียนทักษะใหม่กันเถอะ"
"ลูลู่!"
การเรียนทักษะใหม่ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้ทันที จำเป็นต้องเลือกอย่างรอบคอบ
เฉียวซางตั้งเป้าว่าจะเลือกทักษะโจมตีระดับสูงที่เป็นประเภทน้ำหรือไม่ก็ประเภทน้ำแข็งให้กับลู่เป่า แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น ยังมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำเสียก่อน นั่นคือการแข่งขัน
วันถัดมา
เฉียวซางและสวี่อี้เสวียนมาถึงโรงเรียนฝึกอสูรฮุ่ยเฉิงตั้งแต่เช้าตรู่
ด้วยพลังของแสงแห่งการรักษาแม้ว่าคืนก่อนจะนอนดึกจนแทบเทียบเท่ากับสุนัขเฝ้ายาม แต่ใบหน้าของเฉียวซางกลับไม่มีทีท่าว่าเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย
ตอนนี้ที่นั่งของผู้ชมเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทุกคนต่างมีท่าทีตื่นเต้นพลางพูดคุยกันเสียงดัง
ด้วยการวิวัฒนาการของหยาเป่า เฉียวซางรู้สึกว่าความสามารถในการได้ยินของตัวเองดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้รอบข้างจะเสียงดังโหวกเหวก แต่ถ้าตั้งใจฟังดีๆเธอยังได้ยินบทสนทนาจากคนที่อยู่ไกลออกไปถึงเจ็ดแปดแถวชัดเจน
"ฉันเพิ่งได้รับข่าวเมื่อเช้านี้เอง!"
"ฉันก็เหมือนกัน!"
"ฉันรู้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เมียปลุกฉันกลางดึกให้ดูวิดีโอ เธอตื่นเต้นจนฉันไม่ได้นอนต่อเลย!"
"ที่นี่ไม่ธรรมดานะ ฉันว่ามันต้องพัฒนาได้อีกแน่ๆ ผ่านไปแค่เก้าปีเอง ก็มีรอยแยกมิติอีกครั้งแล้ว"
"หลังแข่งเสร็จวันนี้ ไปเช็กอินกันสักรอบไหม?"
"เลิกคิดเถอะ เมื่อคืนเพิ่งมีรอยแยกมิติปรากฏขึ้น จะไปได้ก็ต่อเมื่อสัญญาณเตือนภัยถูกยกเลิกก่อนสิ"
"ฉันได้ยินข่าวลือมาว่าหางพฤกษาของติงเหยียนจิ่งวิวัฒนาการเป็นดอกหางดวงตะวันแล้ว นี่เรื่องจริงเหรอ?"
"รอยแยกมิติแบบนี้ ฉันกลัวว่าจะมีสัตว์อสูรป่าหลุดออกมารบกวนการแข่งขันจังเลย"
เฉียวซางชะงักไปทันที เดี๋ยวก่อน! เมื่อกี้ได้ยินว่าอะไรนะ?
ติงเหยียนจิ่ง?
นี่หมายถึงติงเหยียนจิ่งจากโรงเรียนมัธยมปลายผู้ฝึกสัตว์อสูรหลี่ตันรึเปล่า?
หางพฤกษาของเขาวิวัฒนาการแล้วเหรอ?
เธอหันไปมองรอบๆพยายามหาเจ้าของเสียงที่พูดเรื่องนี้ แต่ด้วยจำนวนคนที่มากเกินไป เธอหาจนเหนื่อยและต้องล้มเลิกในที่สุด
เฉียวซางถอนหายใจ หันกลับมาแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเปิดฟอรั่มตรวจสอบข่าวสาร แต่กลับไม่พบโพสต์ใดที่พูดถึงหางพฤกษาของติงเหยียนจิ่งที่วิวัฒนาการเป็นดอกหางดวงตะวัน
หรือว่าจะเป็นแค่ชื่อเหมือนกัน? แต่ก็ไม่น่าจะใช่ จะบังเอิญขนาดนั้นได้ยังไง? ยิ่งถ้าได้ยินเรื่องนี้ที่นี่ ก็น่าจะหมายถึงคนจากโรงเรียนผู้ฝึกสัตว์อสูรหลี่ตันมากกว่า
"หางพฤกษาของติงเหยียนจิ่งวิวัฒนาการแล้วเหรอ?" เฉียวซางหันไปถาม
"เป็นไปได้ไง" เห่อต้าเถาที่อยู่ข้างๆส่ายหน้าด้วยความไม่เชื่อ "เธอไปได้ยินข่าวนี้มาจากไหน?"
เฉียวซางยังไม่ทันตอบ สวี่อี้เสวียนก็พูดขึ้นมาแทน "ถ้าวิวัฒนาการจริง โรงเรียนมัธยมปลายผู้ฝึกสัตว์อสูรหลี่ตันต้องประกาศข่าวใหญ่ไปแล้วสิ"
"ถึงโรงเรียนหลี่ตันจะไม่ประกาศ แต่ด้วยนิสัยชอบอวดของติงเหยียนจิ่ง เขาคงเอาดอกหางดวงตะวันไปเดินอวดรอบเมืองตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะ"
เหอ่ต้าเถาพูดเสริมขึ้นมา "แถมถ้าช่วงเวลาสำคัญแบบนี้มีสัตว์อสูรวิวัฒนาการเป็นสัตว์อสูรระดับสูง ต่อให้เป็นใครในกลุ่มผู้เข้าแข่งขัน ทุกคนก็ต้องได้รับข่าวสารในทันทีอยู่แล้ว"
เฉียวซางชะงักไปเล็กน้อย "สัตว์อสูรวิวัฒนาการแล้ว แต่ไม่ได้เรียกออกมาแข่ง คนอื่นจะรู้ได้ยังไง?"
สวี่อี้เสวียนหัวเราะ "ก็อาจารย์ที่โรงเรียนกับเพื่อนร่วมทีมที่แข่งด้วยกันต้องรู้อยู่แล้วสิ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ใครจะเก็บเงียบกันล่ะ? นอกจากช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้ทีม ยังได้หน้าเวลาออกไปข้างนอกด้วย"
เฉียวซางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "งั้นฉันบอกพวกนายไว้ก่อนแล้วกัน สุนัขเพลิงเร้นลับของฉันวิวัฒนาการแล้วนะ"
สวี่อี้เสวียน: "???"
เห่อต้าเถา: "???"