บทที่ 34 ยาฟื้นพลังจื่อจือหยู่เซิน
###
เมื่อจางจิ่วหยางลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง คนแรกที่เขาเห็นก็คืออาหลี่
นางกำลังเม้มริมฝีปากด้วยท่าทางกังวล ดวงตาก้มต่ำ มือเล็ก ๆ กำชายเสื้อของเขาไว้แน่นจนยับยู่ยี่ เปียคู่เล็ก ๆ ของนางตกลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง ราวกับลูกสัตว์หลงทาง
“ดูท่าทางเจ้าแล้ว ถ้าใครมาเห็นเข้า คงคิดว่าข้าป่วยหนักใกล้ตายเป็นแน่”
จางจิ่วหยางกล่าวเย้าแหย่
เพียงพริบตา ดวงตาคลอแสงอันหม่นหมองของอาหลี่ก็เปล่งประกายสดใสขึ้นอีกครั้ง นางเงยหน้าขึ้นด้วยความดีใจ ดวงตาสุกใสเหมือนแสงสะท้อนบนผิวน้ำในคืนพระจันทร์เต็มดวง
“พี่จิ่ว ข้าเสียใจจริง ๆ ที่ท่านฟื้นขึ้นมาได้~”
จางจิ่วหยางถึงกับหัวเราะไม่ออก
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามใช้สำนวนผิด ๆ ต้องอ่านหนังสือให้มาก ๆ เข้าใจไหม?”
เขาเพียงแค่หมดสติไปเพราะพลังหมดเท่านั้น พักผ่อนอีกสักสองสามวันก็จะกลับมาสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิม
เมื่อคิดเช่นนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่ง จึงเงยหน้ามองไปยังผนังห้อง
บนผนังนั้นแขวนดาบยาวเล่มหนึ่ง ตัวดาบและฝักยาวประมาณสามชุ่น ด้ามดาบประดับด้วยหยกขาวเนื้อเนียนละเอียด พู่ดาบสีทองปลิวไสว งดงามและดูทรงพลัง
ยากจะเชื่อว่าดาบเล่มนี้ เมื่อชักออกจากฝักแล้ว จะสามารถสังหารภูตผีได้ราวกับฟันไก่หรือหมู เป็นอาวุธที่ไม่อาจต้านทานได้
ราวกับว่าดาบรู้สึกถึงสายตาของเจ้าของ มันส่งเสียงร้องเบา ๆ จากในฝัก คล้ายกำลังทักทายเขา
แต่จางจิ่วหยางไม่เรียกดาบให้บินมา เพราะแม้ดาบเล่มนี้จะเป็นดาบที่เขาหลอมขึ้นเอง มีจิตเชื่อมโยงกัน แต่การบังคับดาบให้ลอยมาหาต้องใช้พลังอย่างมาก ซึ่งเกินกำลังของเขาในตอนนี้
แม้ดาบปราบมารจะสำเร็จขึ้นมาแล้วและมีพลังน่าประทับใจ แต่ระดับพลังของเขากลับยังไม่เพียงพอที่จะควบคุมมันได้อย่างเต็มที่
ดูเหมือนเขาจะต้องรีบฝึกจนบรรลุขั้นที่สองของวิถีเต๋าให้เร็วที่สุด เกาเหรินเคยบอกไว้ว่า หากผ่านด่านร้อยวันสำเร็จ พลังของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งน่าจะช่วยแก้ปัญหาสำคัญของเขาได้
จางจิ่วหยางนึกถึงเหล่าภูตผีที่ถูกดาบของเขาสังหารแล้วอดเสียดายไม่ได้ ครั้งนี้สถานการณ์คับขันจนไม่มีโอกาสได้กลืนกินภูตผีเหล่านั้น และด้วยจำนวนที่มากขนาดนี้ เขาอาจไม่สามารถต้านทานพลังความเคียดแค้นของพวกมันได้
อย่างไรก็ดี ดาบปราบมารสามารถดูดกลืนพลังงานแห่งความมืดของภูตผีที่ถูกสังหารมาเสริมพลังได้ จึงไม่ถือว่าเสียเปล่าไปทั้งหมด
จางจิ่วหยางเคยเห็นดาบปราบมารที่แท้จริงในจิตใต้สำนึกของตน มันทรงพลังราวกับคลื่นยักษ์ที่สามารถกวาดล้างทุกสิ่ง แม้แต่อวิ๋นเหนียงซึ่งเกือบจะกลายเป็นปีศาจร้ายก็ยังถูกมันสังหารได้ในดาบเดียว
ดาบปราบมารที่เขาหลอมขึ้นนี้ แม้จะมีพลังไม่ธรรมดา แต่ก็ยังห่างไกลจากดาบปราบมารที่แท้จริงอยู่มาก
ดาบปราบมาร หากไม่สามารถสังหารภูตผีจำนวนมากจนเป็นที่หวาดเกรงของโลกวิญญาณ ก็ย่อมไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นดาบเทพเจ้าปราบมาร
แต่จางจิ่วหยางก็พอใจแล้ว เพราะแม้ว่าเทพเจ้าจงขุยจะประทานดาบปราบมารที่แท้จริงให้ในตอนนี้ เขาก็ยังไม่สามารถควบคุมมันได้
“พี่จิ่วไม่ต้องห่วงนะ ตอนที่ท่านหมดสติไปสองวันนี้ ไม่มีใครกล้าแตะต้องของของเราเลย!”
อาหลี่กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “ทั้งโสมของท่าน ทั้งเงินของเรา ข้าดูแลอย่างดี ใครเข้าใกล้ ข้าก็ไล่เขาหนีไปหมด!”
จางจิ่วหยางบีบแก้มป่อง ๆ ของนางเบา ๆ พร้อมกล่าวชม “อาหลี่เก่งมาก”
เมื่อได้รับคำชม นางก็ยิ้มอย่างปลาบปลื้ม เปียคู่น้อย ๆ ของนางสะบัดไปมาเหมือนกิ่งหลิวที่ล้อเล่นกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
“พี่จิ่ว ท่านรู้ไหม นายท่านแห่งตระกูลโจวก็ดีนะ เขาเชิญหมอมาดูอาการท่านด้วย และยังนำยาต้มมาให้ท่านด้วยตนเองเลย”
“แต่เขาขี้กลัวไปหน่อย ตอนที่ข้าโผล่ออกไป เขาตกใจจนเกือบเป็นลมเลยล่ะ”
จางจิ่วหยางไอเบา ๆ “พูดแบบนั้นใครจะไม่ตกใจล่ะ โดยเฉพาะคนที่เพิ่งโดนภูตผีเล่นงานจนจิตใจบอบช้ำ”
“พี่จิ่ว หมอบอกว่าท่านดูเหมือนจะ...อ่อนเพลีย เขาบอกว่า...หยางพร่อง ให้ท่านงดสีผู้หญิง”
อาหลี่หยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะถามด้วยความสงสัย “สีผู้หญิงคืออะไรหรือ ข้าเคยได้ยินแต่สีแดง สีชมพู สีเขียว แต่ไม่เคยได้ยินว่าสีผู้หญิงคือสีอะไรเลยนะ”
จางจิ่วหยางถึงกับหน้ามืด เขาลุกขึ้นหยิบดาบปราบมารขึ้นมาในมือทันที
“หมอเถื่อนดีนัก ข้าจะไปฟันหมอให้รู้แล้วรู้รอด!”
เจ้าบอกว่าข้าหยางพร่องงั้นรึ? ครอบครัวเจ้านั่นแหละที่พร่องกันหมด!
จางจิ่วหยางเพียงแค่หมดพลังชั่วคราวจากการใช้เวทมนตร์มากเกินไปเท่านั้น ที่น่าเศร้าคือทั้งชีวิตในชาติก่อนและชาตินี้ เขายังไม่เคยมีความรักจริงจังเลยสักครั้ง แล้วมาบอกว่าเขาหยางพร่องเนี่ยนะ?
ในชาติก่อน เขาเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด ปู่บอกว่าเขามีหยินมากเกินไป ทำให้มีโอกาสดึงดูดสิ่งชั่วร้ายเข้ามาในชีวิต จึงตั้งชื่อให้ว่า “จิ่วหยาง” (เก้าหยาง)เพื่อเพิ่มพลังหยาง และย้ำว่าเขาห้ามยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงจนกว่าจะอายุยี่สิบปี
พอเรียนจบมหาวิทยาลัย เขาหวังว่าจะได้มีความรักหวาน ๆ สักครั้ง แต่แล้วก็ต้องมาเจอเหตุการณ์ทะลุมิติเสียก่อน
แล้วเจ้ากล้ามาพูดว่าข้าหยางพร่องอีก?
ในขณะที่เขากำลังเดือดดาล ประตูห้องก็ถูกเปิดออก นายท่านแห่งตระกูลโจวเดินเข้ามาพร้อมถาดยาในมือ เมื่อเห็นจางจิ่วหยางลืมตาตื่น เขาก็ยิ้มด้วยความดีใจและพูดขึ้นทันที “ท่านผู้มีพระคุณ ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว!”
“ดูเหมือนยาของหมอจ้าวจะได้ผลจริง ๆ!”
จางจิ่วหยาง “...”
“ท่านผู้มีพระคุณ ทำไมท่านถึงชักดาบขึ้นมาเล่า?”
...
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จางจิ่วหยางก็นั่งลงบนเก้าอี้พร้อมถอนหายใจเบา ๆ
ช่างเถอะ ในสายตานายท่านโจว ภาพลักษณ์เซียนดาบของเขาคงพังทลายลงไปแล้ว เซียนดาบที่ถูกกล่าวหาว่าหยางพร่อง ฟังดูเหมือนจะกลายเป็นคุณชายผู้ว่างเปล่าเสียมากกว่า
นายท่านโจวลุกขึ้นคำนับจางจิ่วหยางด้วยความเคารพ สายตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
“หากไม่ได้ท่านผู้มีพระคุณช่วยชีวิตไว้ ข้าคงต้องตายไปแล้ว”
เขาถอนหายใจยาว เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ถูกภูตผีครอบงำ มันเป็นประสบการณ์ที่ทั้งน่าสะพรึงกลัวและเลวร้ายจนมิอาจลืมได้
“รับทรัพย์สินจากผู้อื่น ย่อมต้องช่วยแก้ไขปัญหาให้ลุล่วง”
จางจิ่วหยางโบกมือ “ท่านเจ้าบ้านไม่ต้องขอบคุณข้าอีกแล้ว รบกวนจ่ายค่าตอบแทนเป็นทองหนึ่งร้อยชั่งตามที่ตกลงไว้เถิด จากนั้นข้าก็จะเก็บข้าวของและออกเดินทางต่อ”
“ส่วนค่ายาให้หักจากเงินมัดจำก็แล้วกัน”
เขามักยึดหลักตอบแทนบุญคุณและแก้แค้นศัตรูเสมอ เหตุผลที่เขายอมช่วยท่านเจ้าบ้านโจวในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความใจบุญใด ๆ แต่เพราะต้องการได้ดาบไท่เยว่มาไว้ในครอบครอง และหารายได้เพิ่มเติม
โสมอายุสามร้อยปีที่เขาได้มา หากกินเข้าไปเลยคงเป็นการสิ้นเปลือง เขาจึงอยากหาคนช่วยปรุงเป็นยาเม็ด ซึ่งจำเป็นต้องใช้สมุนไพรล้ำค่าอื่น ๆ ประกอบ และสิ่งเหล่านั้นก็ต้องใช้เงิน
การฝึกตนในโลกมนุษย์ แม้เงินจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่ก็ขาดไม่ได้เช่นกัน
แต่ใครจะคิดว่านายท่านโจวกลับส่ายหัวเบา ๆ “นั่นเป็นเพียงสิ่งที่พ่อบ้านของข้าตกลงไว้กับท่าน แต่ชีวิตของข้าโจวหยวนเต๋อนั้นไม่ได้มีราคาถูกเช่นนั้น”
จางจิ่วหยางถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
นายท่านโจวหยิบโฉนดที่ดินออกมาจากอกเสื้อก่อนจะวางลงบนโต๊ะ
“แม้ท่านจะสามารถปราบภูตผีเหล่านั้นได้ แต่ข้าก็ไม่กล้าอาศัยอยู่ที่นี่อีกต่อไป ข้ามักฝันร้ายอยู่บ่อย ๆ จึงได้มองหาบ้านหลังใหม่เรียบร้อยแล้ว บ้านหลังนี้ขอมอบให้ท่านเป็นการตอบแทน!”
จางจิ่วหยางเลิกคิ้วเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ช่างใจกว้างเสียจริง!
ถนนตงหลีในเมืองชิงโจวนั้นขึ้นชื่อว่ามีราคาที่ดินแพงลิบลิ่ว บ้านสวนสไตล์จวนเจ้าเมืองเช่นนี้ย่อมมีมูลค่ามหาศาล
แน่นอนว่านายท่านโจวเองก็มีเหตุผลในการกระทำเช่นนี้ หลังจากผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้มา เขาเข้าใจดีถึงความสำคัญของการมีมิตรภาพกับผู้มีวิชา หากไม่มีเหล่าผู้วิเศษคอยช่วยเหลือ ต่อให้ร่ำรวยปานใด เมื่อพบเจอภูตผีก็ไม่ต่างอะไรจากลูกแกะที่รอวันถูกเชือด
การยกบ้านสวนที่ขายไม่ได้ให้กับนักพรตเช่นจางจิ่วหยางเพื่อผูกมิตร ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
“อีกอย่าง ข้าได้ยินว่าท่านมีโสมอายุหลายร้อยปีอยู่ด้วย”
นายท่านโจวยิ้มเล็กน้อย “ข้าเคยทำธุรกิจขายยาสมุนไพรมาก่อน จึงมีความรู้ด้านนี้พอสมควร หากท่านไว้ใจ ข้าสามารถให้หมอในเรือนช่วยปรุงเป็นยาเม็ดตามตำรับโบราณที่เรียกว่า ‘จื่อจือหยู่เซินว่าน’ เพื่อช่วยเสริมการฝึกตนของท่านได้”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงเบาลง
“ตำรับนี้ยังช่วยบำรุงหยางด้วยนะขอรับ”
จางจิ่วหยาง “...”