บทที่ 33 จักรวาลดาบสะท้านนภา
###
“ฝึกดาบ? เจ้าจะฝึกดาบตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไร!”
หลวงจีนเหนิงเหรินฟังผิดเป็นการฝึกดาบ สีหน้าเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์วิกฤตถึงเพียงนี้ แต่นักพรตน้อยกลับบอกให้รอก่อน ขอฝึกดาบสักหน่อย
“ถ้ารอจนเจ้าฝึกเสร็จ ข้าคงสุกได้ที่พอดี!”
“วันนี้อาตมาคงออกจากวัดผิดฤกษ์ เจอแต่พวกบ้า!”
แม้จะถูกหลวงจีนเหนิงเหรินบ่นว่าอย่างหนัก แต่จางจิ่วหยางยังคงนิ่งสงบ เขากัดปลายนิ้วแล้วใช้เลือดของตนวาดยันต์เจ็ดดาวลงบนดาบไท่เยว่
ลวดลายยันต์อันลึกลับถูกวาดบนตัวดาบ ราวกับมังกรร่ายรำและหงส์โผบิน เส้นสายเหล่านั้นดูมีพลังแห่งเต๋าแฝงอยู่เป็นนัย ๆ และหากมองให้ดี จะเห็นเงาของกลุ่มดาวเจ็ดดาราทิศเหนืออย่างเลือนลาง
ผ่านไปเพียงชั่วอึดใจ ลวดลายเหล่านั้นก็ค่อย ๆ จางหายไปจากตัวดาบ
เคร้ง!
เสียงดาบดังกังวานดุจเสียงมังกรคำรามในนภา และเสียงหงส์ร้องประสานกัน เสียงดาบครั้งนี้แฝงไว้ด้วยความมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด ราวกับดาบกำลังแสดงความยินดี
กระบวนการปลุกดาบด้วยยันต์สำเร็จ!
หลวงจีนเหนิงเหรินถึงกับตกตะลึง ไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
การปลุกดาบให้มีชีวิตได้นั้น ปกติต้องอาศัยพิธีเปิดแสงศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อน และผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับพลังของผู้ประกอบพิธีเป็นสำคัญ
ตามหลักการแล้ว ผู้ที่จะทำเช่นนี้ได้ต้องเป็นผู้บรรลุถึงขั้นสี่ของวิถีเต๋าเป็นอย่างน้อย ทว่าจางจิ่วหยางกลับทำได้โดยใช้เพียงเลือดและยันต์ วาดเพียงพริบตาก็ปลุกดาบสำเร็จ
ยิ่งไปกว่านั้น เสียงดาบที่ดังขึ้นก็แฝงไว้ด้วยพลังชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม
แต่เขา...ยังอยู่แค่ขั้นแรกของวิถีเต๋าเท่านั้น
เมื่อทำขั้นแรกสำเร็จ จางจิ่วหยางแสดงแววตาแน่วแน่ขึ้นอีกขั้น เพราะสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าคือขั้นตอนที่อันตรายที่สุด การใช้เปลวเพลิงบริสุทธิ์แห่งหยางเพื่อหลอมดาบให้กลายเป็นอาวุธสังหารปีศาจ เขาเคยล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่งในขั้นตอนนี้
แต่ครั้งนี้เขามั่นใจในดาบไท่เยว่
“เปลวไฟแห่งจักรพรรดิใต้ อำพันโลหิตแห่งราชันตะวันตก หลอมกล้าจากเหล็กแห่งคุน สร้างดาบศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ณ บัดนี้!”
พร้อมกับการร่ายคาถา จางจิ่วหยางเริ่มก้าวเท้าเดินตามลักษณะของดาวเหนือ ขณะเดียวกันพลังหยางบริสุทธิ์ก็ถูกดึงลงมาจากทิศใต้ของฟากฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟบริสุทธิ์แผดเผาตัวดาบ
เปลวไฟนี้คือเพลิงหยางอันร้อนแรงซึ่งเกิดจากธาตุไฟแห่งฟ้าดิน แฝงไว้ด้วยพลังของดวงอาทิตย์ ทำให้ดาบไท่เยว่ในมือของจางจิ่วหยางส่องแสงเป็นสีทองเจิดจ้า
หลวงจีนเหนิงเหรินถอยห่างโดยไม่รู้ตัวด้วยความตกใจ เพราะเกรงว่าพระพุทธรูปทองคำในมือจะหลอมละลายไปเสียก่อน
เคร้ง!
ดาบไท่เยว่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ตัวดาบสั่นสะท้านรุนแรงจนเกือบหลุดจากมือ หากจางจิ่วหยางไม่มีพลังแขนที่เหนือมนุษย์ ป่านนี้ดาบคงหลุดจากมือไปแล้ว
ต้องทนให้ได้!
จางจิ่วหยางจ้องมองดาบไท่เยว่ในเปลวไฟด้วยแววตาเปี่ยมความหวัง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด พระพุทธรูปทองคำในมือของหลวงจีนเหนิงเหรินเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน และหยดทองเหลวไหลราวกับน้ำมันจากตะเกียง มือทั้งสองข้างของเขาแดงเถือกด้วยความร้อนจัด แต่เขาก็ยังคงกัดฟันอดทนไว้
“เสร็จหรือยัง?”
“อาตมาจะทนไม่ไหวแล้ว!”
ทันทีที่สิ้นคำพูด ดาบไท่เยว่ในมือของจางจิ่วหยางก็ค่อย ๆ หยุดสั่น เสียงร้องของดาบค่อย ๆ เบาลงจนกระทั่งเงียบหายไป
เปลวไฟค่อย ๆ มอดดับ เหลือไว้เพียงดาบที่ดูคล้ายดาบโลหะสีดำสนิทมอดไหม้ มันส่งกลิ่นเหม็นไหม้ชวนสะอิดสะเอียน
ดาบที่เคยคมกริบและส่องแสงเจิดจ้ากลับกลายเป็นเพียงเศษเหล็กสีดำสนิท ดูคล้ายดาบที่ล้มเหลวในการหลอม
“นี่มัน...ล้มเหลวหรือ?”
หลวงจีนเหนิงเหรินสีหน้าซีดเซียว เขารู้สึกผิดหวังอย่างหนัก นั่นไงล่ะ ข้าก็ว่าแล้วว่าเจ้าเด็กนี่ไว้ใจไม่ได้...
แต่เดี๋ยวก่อน!
เขาเห็นจางจิ่วหยางไม่ได้แสดงสีหน้าผิดหวังแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขากลับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“โอม ปาลี รา...”
จางจิ่วหยางเริ่มสวดมนตร์ด้วยภาษาที่เข้าใจยาก มือข้างหนึ่งถือดาบ ส่วนอีกข้างยกขึ้นเป็นท่าดาบนิ้ว เขาค่อย ๆ ลูบไปตามดาบสีดำสนิทที่ดูคล้ายถ่าน
ขั้นตอนที่สาม เรียกวิญญาณดาบ!
ทันใดนั้น ดาบสีดำสนิทเริ่มแตกร้าวเป็นเส้นเล็ก ๆ และจากรอยแตกร้าวนั้นก็มีแสงสว่างเจิดจ้าสาดออกมา
ดาบที่เคยถูกฝังด้วยฝุ่นแห่งกาลเวลาเหมือนถูกปัดฝุ่นออก เผยให้เห็นความงดงามและความคมกริบที่ซ่อนเร้นมานับพันปี
“ดาบแห่งเหล็กคุน ลุกโชนด้วยเปลวเพลิง ม่านหมอกแห่งจักรวาลเบื้องหน้าถูกฉีกกระชาก!”
ดาบไท่เยว่ราวกับได้เกิดใหม่ในเปลวเพลิง เสมือนฟีนิกซ์ฟื้นคืนจากความตาย ตัวดาบเป็นสีแดงเจิดจ้าราวกับหยก สามารถมองเห็นลวดลายเจ็ดดาราทิศเหนือและเส้นสายลึกลับแห่งเต๋าที่เรืองแสงเบา ๆ ซึ่งดูคล้ายกับอักขระสองตัวที่เขียนว่า “จงขุย”
เมื่อดาบเทพจุติ พลังอันยิ่งใหญ่พุ่งทะลุฟ้า คลื่นพลังจากดาบทำให้เสื้อคลุมของจางจิ่วหยางปลิวไสว เส้นผมของเขาลอยขึ้นตามแรงลม แม้แต่ทะเลเพลิงรอบข้างยังต้องถูกพลังของดาบผลักดันจนไม่กล้าก้าวล้ำเข้ามาใกล้
ในขณะนั้นเอง จางจิ่วหยางมองดาบไท่เยว่ด้วยแววตาตื่นเต้น ราวกับมองสหายร่วมรบในอนาคต ในที่สุด เขาก็ได้ครอบครองดาบปราบมารที่แท้จริง
ความฮึกเหิมพลุ่งพล่านในหัวใจ
“ต้องครอบครองดาบแห่งฟากฟ้า ข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อพิฆาตวาฬยักษ์!”
จากนี้ไป เขาจะใช้ดาบเล่มนี้ฟาดฟันภูตผีและกำจัดปีศาจจนสิ้น!
เคร้ง!
เสียงเหมือนกระจกแตกดังขึ้นรอบด้าน ภายใต้พลังของดาบที่พุ่งทะลักออกมา ภาพมายาแห่งภูตผีก็พังทลายลง ทะเลเพลิงพลันหายวับไป
กรร!
ภูตผีที่มีสามสิบหัวส่งเสียงคำรามดังก้อง สามสิบคู่ดวงตาแดงก่ำจ้องมองมาทางจางจิ่วหยาง หรืออาจจะพูดได้ว่ามองดาบปราบมารในมือของเขาด้วยความหวาดกลัว
ในที่สุด ภายใต้แรงกดดันจากความกลัว พวกมันก็พากันหันหลังวิ่งหนี
แต่จางจิ่วหยางย่อมไม่ปล่อยพวกมันไปง่าย ๆ ดาบเทพเพิ่งสำเร็จ ย่อมต้องอาบเลือดภูตผีเพื่อเปิดศักราชใหม่ จะให้ศัตรูหลุดรอดไปได้อย่างไร?
เขาร่ายคาถา พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ดาบ “ฟัน!”
เคร้ง!
ดาบปราบมารพุ่งไปข้างหน้าเป็นแสงสีแดงสดดุจสายฟ้า พุ่งทะยานรวดเร็วดั่งดาวตก
ภูตผีรับรู้ถึงอันตรายมหาศาล สามสิบหัวพร้อมกันพ่นเปลวไฟออกมา สร้างม่านเพลิงขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อสกัดดาบ
แต่ดาบที่ผ่านการหลอมด้วยเปลวไฟบริสุทธิ์แห่งหยางย่อมไม่หวาดหวั่นต่อเปลวเพลิงของภูตผี
แสงดาบพุ่งทะลุม่านเพลิงอย่างง่ายดาย ลวดลายเจ็ดดาราบนตัวดาบเปล่งประกายเจิดจ้า
“ไม่นะ!”
ภูตผีต่างร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว พยายามแยกร่างหนีออกไปคนละทิศละทาง แต่แสงดาบนั้นเร็วเกินกว่าที่พวกมันจะหลบพ้น แสงสีแดงพุ่งวาบผ่าน ตัดร่างของภูตผีขนาดมหึมาออกเป็นสองส่วนอย่างแม่นยำ
รอยตัดนั้นเรียบลื่นราวกับกระจกเงา และแดงฉานราวกับถูกเผาไหม้ด้วยเปลวเพลิง
แสงดาบพุ่งวาบซ้ำอีกครั้ง ศีรษะของภูตผีหลายตนปลิวกระเด็นร่วงหล่นลงบนพื้นเย็นเฉียบ
พลังแห่งความมืดค่อย ๆ จางหาย ร่างของภูตผีแห้งเหี่ยวและหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว
“เจ้าพวกนักพรต หากข้าต้องตาย เจ้าก็ต้องตายไปพร้อมกัน!”
ภูตผีตนหนึ่งอาศัยจังหวะลอบหนีไปอยู่ข้าง ๆ นายท่านแห่งตระกูลโจว มันไม่ลังเลแม้แต่น้อย คว้าชิ้นกระจกที่แตกแล้วพุ่งเข้าไปหวังจะปาดคอเขา
ในช่วงเวลาอันตราย จางจิ่วหยางเพ่งสมาธิทันที พร้อมกับชี้นิ้วร่ายคาถา
เคร้ง!
แสงดาบพุ่งวาบตัดมือของภูตผีขาดในทันที แขนของมันแตกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
ยังไม่ทันที่มันจะร้องโหยหวน ดาบปราบมารก็พุ่งกลับมาอีกครั้ง ทิ่มทะลุร่างของมันตรึงไว้กับผนังห้อง ร่างของมันสลายไปในพริบตา
เมื่อสิ้นเสียงคำราม ดาบปราบมารก็ค่อย ๆ กลับมาปักอยู่ตรงหน้าจางจิ่วหยาง
ตัวดาบสีแดงปักลึกลงไปในพื้นดินถึงสามชุ่น ด้ามดาบสั่นเบา ๆ ส่งเสียงร้องคล้ายเสียงมังกรคำรามราวกับกำลังเริงร่าในชัยชนะ
ภูตผีที่ถูกสังหารแตกสลายกลายเป็นพลังงานแห่งความมืด ไหลเข้าสู่ดาบปราบมารซึ่งดูดกลืนพลังงานเหล่านั้นเข้าไป ลวดลายเจ็ดดาราบนตัวดาบยิ่งเปล่งประกายสว่างไสวขึ้นกว่าเดิม
จางจิ่วหยางรู้สึกได้ถึงพลังของดาบที่เพิ่มขึ้นหลังจากสังหารภูตผี เขาพึมพำเบา ๆ “ดาบเล่มนี้สามารถดูดซับพลังงานแห่งความมืดเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเองได้”
“ดาบ...ดาบเซียน...”
พ่อบ้านโจวอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง มองภาพตรงหน้าราวกับอยู่ในความฝัน
หลวงจีนเหนิงเหรินเองก็ถึงกับกลั้นหายใจไปชั่วขณะ พลังของดาบเล่มนี้ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นในใจ
ดาบเดียวออกศึก ผีสางต้องยอมศิโรราบ พลังอันยิ่งใหญ่ไม่อาจมีสิ่งใดต้านทานได้!
หลวงจีนเหนิงเหรินจ้องมองจางจิ่วหยางผู้ยืนตัวตรงอยู่ในชุดนักพรตสีเขียวด้วยความเคารพ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงสั่น ๆ “ขออภัย ท่านนักพรต ท่านเป็นศิษย์ของสำนักใดหรือ?”
จางจิ่วหยางไม่ตอบอะไร เพียงแค่ปรายตามองเขาเล็กน้อย
เพียงแค่นั้น หลวงจีนเหนิงเหรินก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว รู้สึกถึงพลังที่แฝงมากับสายตานั้น เขาหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะรีบกล่าวลา
“วันนี้ข้ามีธุระ ขอลาไปก่อน!”
จากนั้นเขาก็จากไปโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยถึงค่าตอบแทน
จางจิ่วหยางยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“พี่จิ่ว ท่านเก่งมากเลย!”
“แต่ทำไมท่านถึงยังยืนท่านี้อยู่ล่ะ?”
อาหลี่ลอยออกมาด้วยแววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม นางเอียงคอถามด้วยความสงสัย
จางจิ่วหยางยิ้มขื่นเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ช่วยพยุงข้าด้วย...อย่าให้หน้าข้ากระแทกพื้น”
พูดจบ ร่างของเขาก็ล้มพับหมดสติไปทันที
เขาใช้พลังจนหมดสิ้น ไม่เหลืออะไรแม้แต่น้อย