บทที่ 125 การต่อแถว (ฟรี)
บทที่ 125 การต่อแถว (ฟรี)
"คุณผู้ชายไม่ต้องร้อนใจนะครับ เรามีผักกับเนื้อเตรียมไว้เยอะมาก จะหั่นเดี๋ยวนี้เลย หั่นเดี๋ยวนี้เลย"
คนที่อยู่ด้านหลังลูกบอลสำลีก็เริ่มโวยวายตามกัน เฉาหย่งรีบเข้าไปปลอบว่า
"ตอนนี้ค่อยมาหั่น จะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน พอหั่นทีผัดที มีหวังช้ากว่าเดิมเป็นเท่าตัวแน่ๆ" ลูกบอลสำลียังดีหน่อย เพราะตอนนี้เขาเป็นคนแรกแล้ว แต่คนที่อยู่ด้านหลังกลับไม่พอใจ
แต่พอพวกเขาเห็นโจวชิงหยุนเริ่มหั่นผักบนเขียง ก็เปล่งเสียงอุทานออกมาทันที
"นั่นมีดอะไร ทำไมเป็นสีทองล่ะ"
"นั่นแสงไฟสะท้อนต่างหาก มีดทำครัวบ้านไหนจะเป็นสีทองกัน แต่เขากำลังหั่นผักจริงๆ เหรอ ทำไมดูเหมือนไม่ได้ขยับเลย"
"โง่จริง ตาดูไม่ชัดก็ใช้หูฟังสิ ถ้ามีดไม่ขยับ ผักพวกนั้นจะแยกออกมาเองได้ยังไง"
"ฝีมือการใช้มีดนี่ เทพมาก"
"จิ๊ จิ๊ แค่ฝีมือการใช้มีดนี่ รอสักหน่อยก็คุ้มแล้ว"
ลูกบอลสำลีที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดเบิกตาโต ชั่วขณะหนึ่งเขาถึงกับงงงวย สงสัยว่าตัวเองเล่นเกมมากเกินไปจนเอาเกมกับความเป็นจริงมาปนกันหรือเปล่า
ต้องใช้เทคนิคระดับไหนถึงจะทำให้คนหั่นผักได้แบบนี้ เสียงมีดกระทบเขียงต่อเนื่องเป็นเส้นเดียว ไม่มีช่องว่างเลย หน่อไม้หนึ่งอันราวกับถูกดันจากด้านหลังมีดมาด้านหน้า แล้วก็กลายเป็นแผ่น กลายเป็นเส้น
ลงกระทะ เปลวไฟลุกขึ้น กระโดดโลดเต้น แล้วจางหาย...
"คุณผู้ชายครับ ผัดหน่อไม้หมูของคุณหนึ่งที่ พร้อมข้าวสวยหนึ่งกล่อง รวมสิบหยวนครับ เชิญมาอุดหนุนใหม่นะครับ"
เสียงของเฉาหย่งปลุกลูกบอลสำลีที่กำลังเหม่อให้ตื่นขึ้น เขาร้อง "อ๋อ" แล้วรีบล้วงเงินมาจ่าย ไม่คิดจะกลับร้านเน็ต รีบหาที่นั่งริมถนนแล้วกินทันที
"หอมจัง รสชาติเยี่ยมมาก" แค่ชิมคำเดียว ลูกบอลสำลีก็อดไม่ได้ที่จะหลับตาลง ทำหน้าเคลิบเคลิ้ม
ในตอนที่ทุกคนคิดว่าเขาจะค่อยๆ ชิมให้ละเอียด ในวินาถัดมาเขาก็เริ่มตะกละตะกลามกินอย่างรวดเร็ว ดูท่าทางเหมือนจะกินทั้งกล่องกระดาษเข้าไปด้วย
ต้องบอกว่าคนจีนชอบตามกระแส เห็นหน้าร้านจื่อเว่ยคึกคักแบบนี้ แม้แต่คนเดินผ่านไปมาก็มีบางคนทนต่อกลิ่นหอมไม่ไหว เข้าร่วมกองทัพคนต่อแถวด้วย
เผชิญกับสถานการณ์คึกคักเช่นนี้ โจวชิงหยุนยังคงรักษาฝีมือที่มั่นคงของเขาไว้ได้ แต่เฉาหย่งที่อยู่ข้างๆ กลับมีความทุกข์ที่พูดไม่ออก
พูดถึงตอนที่เขามาอยู่ร้านจื่อเว่ย แม้ว่าธุรกิจจะแย่ แต่ก็ทำให้เขาได้ใช้ชีวิตทั้งวันอย่างสบายๆ ไม่เคยมีงานหนักแบบวันนี้มาก่อน
ตั้งแต่ทุ่มกว่าๆ ออกไปส่งอาหารทดลองชิม จนถึง2ทุ่มกลับมายืนห่อของรับเงิน ต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้ใกล้สี่ทุ่มแล้ว เขายังไม่ได้ดื่มน้ำสักอึก ไม่ได้พักหายใจสักครั้ง
ตักข้าว ห่อ รับเงิน ซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่รอบ สองมือเริ่มสั่นแล้ว ราวกับกำลังจะชา
โชคดีที่เขายังหนุ่ม กำลังอยู่ในวัยที่เรี่ยวแรงเต็มเปี่ยม บวกกับจิตใจที่ตื่นเต้น จึงยังพอทนได้
ตอนนี้เขากลับเป็นห่วงโจวชิงหยุน หั่นผักผัดอาหารมาตลอด กระทะก็ไม่ได้เบา ต้องโยกไปโยกมา มือคงจะชาไปหมดแล้ว
แต่พอเขาแอบมองไปทางโจวชิงหยุน กลับพบว่าการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายไม่ได้ช้าลงเลย ภายใต้แสงไฟยังมองไม่เห็นเหงื่อสักหยดบนหน้าผากด้วย
พี่ใหญ่โจวคงเป็นนักกีฬาเก่งๆ ตอนเรียนมหาวิทยาลัยสินะ
พอเปรียบเทียบแบบนี้ เฉาหย่งยิ่งไม่กล้าบ่นว่าเหนื่อย ได้แต่กัดฟันสู้ต่อไป
พอสุดท้าย โจวชิงหยุนผัดหน่อไม้และหมูชิ้นสุดท้ายเสร็จ ให้เฉาหย่งห่อส่งให้ลูกค้าที่ต่อแถวคนหนึ่งแล้ว ก็หยุดการเคลื่อนไหวในมือ
เฉาหย่งถึงได้ถอนหายใจโล่งอก รีบขึ้นไปยืนบนม้านั่งตัวหนึ่งข้างๆ ตะโกนบอกคนที่ยังต่อแถวอยู่ว่า "ท่านผู้ชายผู้หญิง พี่น้องทุกท่านครับ ขอโทษด้วยนะครับ วันนี้ทางร้านผัดผักและเนื้อหมดแล้ว ถ้าใครอยากอุดหนุนร้านเรา เชิญมาใหม่พรุ่งนี้นะครับ จำเวลาเปิดร้านไว้ด้วย คือตั้งแต่ห้าโมงเย็นถึงตีสองของวันถัดไป"
พอพูดจบ ก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันที
พวกที่แค่มาตามกระแสก็ยังพอว่า แต่คนที่ท้องหิวมาต่อแถวโดยเฉพาะกลับไม่ยอม อุตส่าห์เหนื่อยยากต่อแถวมานาน ท้องร้องประท้วงมานับครั้งไม่ถ้วน เห็นว่าใกล้จะถึงคิว อีกฝ่ายดันจะเก็บร้านซะแล้ว
"ยังไม่ถึงสี่ทุ่มเลย พวกคุณไม่ได้บอกหรือว่าเก็บร้านตีสองไง"
"ทำธุรกิจยังไงกัน มีลูกค้ามาถึงที่แล้วยังจะไล่กลับอีก"
"ฉันไม่สน พวกแกจะต้องหาทางทำอาหารให้ฉันกินให้ได้ ไม่งั้นฉันจะหิวตายอยู่แล้ว"
ทุกคนต่างโวยวายกันเป็นการใหญ่ พากันรุมล้อมเข้ามา เรียกร้องให้โจวชิงหยุนกับพวกคิดหาทางผัดอาหารต่อ ไม่งั้นอย่าหวังจะได้เก็บร้าน
เฉาหย่งไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ตกใจจนกระโดดลงจากม้านั่ง วิ่งไปหลบอยู่หลังโจวชิงหยุนทันที
โจวชิงหยุนจ้องเฉาหย่งด้วยสายตาดุดัน ไอ้หมอนี่ไม่มีความรับผิดชอบเลย พอเจอเรื่องก็ถอยหนีทันที
แต่สถานการณ์ตรงหน้าต้องจัดการ เขาจึงต้องก้าวออกมาพูดเสียงดังว่า "ทุกคนใจเย็นๆ ก่อน ฟังผมพูดสักหน่อย"
แม้เสียงของเขาจะไม่ได้ดังมาก แต่แปลกที่ทุกคนล้วนได้ยินทุกคำที่เขาพูดอย่างชัดเจน เหมือนเสียงดังอยู่ข้างหู ทำให้ทุกคนชะงักไป
อาศัยช่วงเงียบชั่วครู่นี้ โจวชิงหยุนรีบพูดต่อ "พวกเราไม่ได้ตั้งใจไม่ขายอาหารให้ทุกคนหรอก แต่วัตถุดิบที่มีหมดแล้ว จะไปซื้อเพิ่มก็ไม่รู้จะไปซื้อที่ไหน พวกเราเปิดร้านทำธุรกิจ จะมีเหตุผลอะไรไม่อยากได้เงินล่ะครับ"
"แล้วตอนนี้พวกเราหิวท้อง คุณจะให้ไปร้านอื่น ที่ต่อแถวมาก็เสียเวลาเปล่าน่ะสิ" มีคนในกลุ่มตะโกนประท้วง
โจวชิงหยุนไม่ให้โอกาสคนอื่นฮือฮา รีบพูดว่า "ทุกคนก็รู้ว่า ร้านเราเพิ่งเปิดกลางคืนเป็นวันแรก ไม่รู้ว่าทุกคนจะชอบอาหารที่ผมทำขนาดนี้ เลยเตรียมไว้ไม่พอ แต่ไม่เป็นไร เมื่อทุกคนอุตส่าห์มาอุดหนุนร้านเรา เราจะทำอาหารว่างให้ อย่างน้อยก็ไม่ให้ทุกคนหิวท้อง"
พูดจบ โจวชิงหยุนหันไปบอกเฉาหย่ง "นายไปร้านสะดวกซื้อหน้าโน้น ซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งลังกับไส้กรอกมาสักสองสามถุง"
ตอนนี้เฉาหย่งไม่มีความคิดเห็นอะไรแล้ว ไม่สนว่าโจวชิงหยุนจะวางแผนทำอะไร รีบรับคำแล้ววิ่งออกไปทันที
จากนั้นโจวชิงหยุนก็หันกลับมาพูดว่า "ทุกคนก็เห็นแล้วว่า บนเขียงยังมีเครื่องปรุงเหลืออยู่บ้าง พวกเราจะปรุงเพิ่มอีกหน่อย ทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่ไส้กรอก อาจจะทำได้ไม่ดีนัก แต่อย่างน้อยก็ทำให้ทุกคนกินได้อิ่มสบาย สถานการณ์วันนี้เป็นความผิดพลาดของทางร้าน ดังนั้นลูกค้าที่กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่ไส้กรอกไม่ต้องจ่ายเงินครับ"
โจวชิงหยุนอธิบายทุกอย่างชัดเจนแล้ว ทั้งยังวางตัวต่ำลงขนาดนี้ แถมยังไม่คิดเงินค่าบะหมี่ด้วย แม้บางคนจะยังไม่พอใจอยู่บ้าง ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ยกเว้นคนที่หิวจริงๆ คนอื่นๆ ค่อยๆ แยกย้ายไป เหลือคนที่รออยู่หน้าร้านเพื่อกินบะหมี่แค่สิบกว่าคน โจวชิงหยุนจึงเชิญพวกเขาเข้าไปนั่งในร้าน รอให้เขาทำเสร็จแล้วจะยกเข้าไปให้
พอเป็นแบบนี้ ทุกคนยิ่งไม่มีอะไรจะพูด
ไม่นาน เฉาหย่งก็ซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและไส้กรอกกลับมา
แต่โจวชิงหยุนไม่ได้ใช้ซองเครื่องปรุงที่มากับบะหมี่ แต่ลงมือผัดเครื่องปรุงสดเอง แล้วใส่ไส้กรอกที่หั่นเป็นเส้นเล็กๆ ลงไป ใช้น้ำร้อนราดบะหมี่ กลิ่นหอมจัดโชยมา ทำให้คนได้กลิ่นอยากกินขึ้นมาทันที
พอเฉาหย่งยกบะหมี่ใส่ไส้กรอกที่ทำเสร็จเข้าไปในร้าน ได้ยินเสียงประหลาดใจและชื่นชมจากลูกค้าเหล่านั้น โจวชิงหยุนถอนหายใจ รู้ว่าการเปิดร้านวันแรกถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์