ตอนที่ 50 เพิ่มจำนวนให้ครบ
พิธีกรจัดเสื้อผ้าของตัวเอง “พวกเราเป็นโรงเรียนสอนศิลปะสำหรับเด็กที่ใหญ่ที่สุดในปักกิ่ง โรงเรียนสอนศิลปะเผ่ยหย่า เดี๋ยวโรงเรียนของพวกเราจะมีกิจกรรม ของเล่นบนเวทีเป็นของรางวัลทั้งหมด”พอได้ยินคำว่าของรางวัล ดวงตาของหมางกั่วก็เป็นประกาย
ตอนนี้เธอไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรจะแสดงให้ดูแล้ว
อย่างไรก็ตาม เธอก็เคยออกซิงเกิ้ลมาแล้ว ถึงแม้ว่าเพลงจะดังแต่คนไม่ดังก็ตาม…
หมางกั่วดึงแขนเสื้อของพ่อ มองพ่อด้วยดวงตาที่ใสปิ๊ง
หลินอวี้เข้าใจความหมายของลูกสาว “แล้วจะได้ของรางวัลได้ยังไงเหรอครับ?”
พิธีกรอึ้งไปเล็กน้อย แล้วก็ยิ้ม “แน่นอนว่าต้องเข้าร่วมการแข่งขันสิครับ”
“พวกเราลงทะเบียนคะ” หมางกั่วชูมือขึ้น กระโดดโลดเต้น
สามารถชนะในการแข่งขันและชนะเจ้ากระต่ายใหญ่กลับมาได้ โดยไม่ต้องใช้เงิน เด็กน้อยพอคิดว่าตัวเองจะชนะและได้เจ้ากระต่ายใหญ่ก็มีความสุขแล้ว
พิธีกรหัวเราะเบาๆ สองสามครั้ง “นี่เป็นการแข่งขันภายในโรงเรียนเผ่ยหย่า ถ้าคุณพ่ออยากให้ลูกเรียนอะไร สามารถลงทะเบียนได้ที่นี่เลยครับ”
“คนที่ไม่ใช่คนในโรงเรียน เข้าร่วมการแข่งขันไม่ได้เหรอครับ?” หลินอวี้ถาม
“ก็ไม่เชิงนะครับ” พิธีกรมองหลินอวี้ แล้วก็มองหมางกั่วน้อย
“หนูกับพ่อลงทะเบียนครับ ลงทะเบียนค่ะ” หมางกั่วน้อยชูมือขึ้นอีกครั้ง กระโดดโลดเต้นเหมือนกระต่ายน้อย
พิธีกรทำหน้าลำบากใจ “ถึงแม้ว่าคุณจะเข้าร่วม ก็คงจะไม่ได้ของรางวัลหรอกครับ”
“กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้นสำหรับครูและนักเรียนของโรงเรียนเผ่ยหย่า นักเรียนของโรงเรียนเผ่ยหย่าเป็นผู้เข้าแข่งขันตัวเก็งของการแข่งขันต่างๆ ในปักกิ่ง และกรรมการในครั้งนี้ เป็นอาจารย์จากวิทยาลัยดนตรีปักกิ่งที่ท่านผู้อำนวยการเชิญมาโดยเฉพาะ”
ความหมายของพิธีกรที่อธิบายยาวเหยียด ก็คือ เข้าร่วมก็แค่เป็นตัวประกอบ ไม่มีความหมาย
หลินอวี้คุกเข่าลง ถามลูกสาวเสียงเบาๆ “หมางกั่วน้อยยังอยากเข้าร่วมการแข่งขันอยู่ไหมครับ?”
หมางกั่วน้อยพยักหน้าแรงๆ
ในหัวเล็กๆ ของหมางกั่วน้อย สิ่งที่พิธีกรพูดมาทั้งหมดไม่สำคัญเลย
เธอไม่เคยได้ยินชื่อโรงเรียนเผ่ยหย่ามาก่อน
ส่วนการแข่งขันต่างๆ ในปักกิ่ง ก็เหมือนกับว่าทุกคนเคยเข้าร่วม หมางกั่วน้อยก็เคยเข้าร่วมการแข่งขันมาแล้ว
วิทยาลัยดนตรีปักกิ่ง? นั่นคือที่ไหน?
ในสายตาของหมางกั่วน้อย มีแค่เจ้ากระต่ายใหญ่เท่านั้น ที่ต้องการก็แค่เจ้ากระต่ายใหญ่
นี่แหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมวัวน้อยที่เพิ่งเกิดมาจึงไม่กลัวเสือ
พิธีกรยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ มองไปที่หลินอวี้ เขารู้ว่าเด็กๆ ชอบเข้าร่วมกิจกรรม แต่ผู้ใหญ่มีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล
“พวกเราลงทะเบียนครับ”
สีหน้าของพิธีกรแข็งทื่อ
เขาพูดทุกอย่างที่ควรพูดแล้ว ทำไมผู้ใหญ่ถึงไม่ใช้เหตุผลด้วยล่ะ
คนอื่นๆ ที่เข้าร่วมการแสดง ต่างก็เตรียมตัวมานาน อย่างน้อยก็สิบวันครึ่งเดือน มากที่สุดก็หนึ่งถึงสองเดือน แต่คุณแค่เดินผ่านไป ก็บอกว่าจะเข้าร่วมได้เลยเหรอ?
พิธีกรส่ายหัว
กิจกรรมนี้เป็นการลงทะเบียนแบบเปิด แต่พวกเขารู้ว่าไม่มีทางที่คนทั่วไปจะลงทะเบียนจริงๆ จึงให้เด็กนักเรียนเตรียมตัวล่วงหน้า
ไม่ใช่แค่การแสดงเดี่ยวของนักเรียน แต่ยังมีการแสดงร่วมกันระหว่างครูและนักเรียนด้วย
“พวกคุณจะแสดงอะไรครับ?” พิธีกรต้องลงทะเบียนการแสดง เพื่อที่จะได้พูดเชื่อมโยงได้
“ร้องเพลงครับ” หลินอวี้กล่าว
ร้องเพลง? พิธีกรยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
ทุกคนร้องเพลงได้ ดังนั้นการร้องเพลงจึงเป็นการแสดงที่ไม่มีเทคนิคอะไรเลย
“ชื่อเพลงล่ะครับ?” พิธีกรถามต่อ
“เพลงฟังฉันพูดขอบคุณ” หมางกั่วน้อยพูดเสียงดัง นี่คือเพลงประจำตัวของเธอ แน่นอนว่าต้องพูดเสียงดัง
“มีคนร้องเพลงนี้แล้ว พวกคุณควรเปลี่ยนเพลงนะครับ” พิธีกรกล่าว
เพลงนี้กำลังดังมาก อยู่ในหนังสือเพลงสำหรับเด็กประถมแล้ว ทุกคนร้องได้ ไม่มีอะไรพิเศษเลย
พิธีกรรู้สึกเซ็งเล็กน้อย ชอบตุ๊กตากระต่ายตัวนั้น ก็ซื้อให้ลูกสิครับ ทำไมต้องเข้าร่วมการแข่งขันด้วยล่ะครับ อายเขาเปล่าๆ พ่อแม่คนนี้ก็ไม่รู้เรื่อง
ถ้าเป็นการแสดงอื่นๆ ขึ้นเวทีเล่นๆ ก็ไม่เป็นไร แต่พวกเขาจัดการแข่งขันนะครับ คิดอะไรกันอยู่ คนธรรมดาที่เดินผ่านไป อยากได้รางวัล
ถึงแม้ว่าตุ๊กตากระต่ายจะเป็นของรางวัลลำดับที่สอง
ของรางวัลลำดับที่หนึ่ง คือบัตรเรียนมูลค่าสองหมื่นหยวน หมายความว่าสามารถเรียนฟรีที่โรงเรียนเผ่ยหย่าได้ เป็นเวลาหนึ่งปี
นักเรียนทุกคนต่างก็หวังที่จะได้รางวัลลำดับที่หนึ่ง
โดยปกติแล้ว ก็ต้องเสียค่าเล่าเรียน แต่ถ้าได้รางวัลนี้ ก็สามารถหักค่าเล่าเรียนได้ จึงมีความน่าสนใจมาก
เรื่องเพลงซ้ำกัน หลินอวี้ไม่แปลกใจเลย เพราะเพลง “ฟังฉันพูดขอบคุณ” กำลังดังมากจริงๆ
เขามองไปที่หมางกั่วน้อย “เปลี่ยนเพลงดีไหม?”
หมางกั่วส่ายหัวเหมือนกับลูกตุ้ม
“พวกเราไม่เปลี่ยนครับ ยังคงเป็นเพลงนี้” หลินอวี้กล่าว
พิธีกรยิ้ม “รอหน่อยนะ รายการสุดท้ายคือของพวกคุณ”
สำหรับพิธีกรแล้ว นี่เป็นพ่อลูกที่เข้าร่วมเพื่อเป็นตัวประกอบ
แต่ก็ดีเหมือนกัน อาจจะพอแสดงจบ แล้วพบว่านักเรียนของโรงเรียนเก่งมาก เด็กๆ อาจจะร้องไห้ขอให้พ่อแม่ลงทะเบียนเรียนก็ได้
พิธีกรเดินไปด้านหลังเวที ยิ้ม แล้วพูดกับเพื่อนร่วมงานที่รับผิดชอบการรับสมัครนักเรียนว่า “ดูสิครับ มีคนทั่วไปมาลงทะเบียนจริงๆ ด้วย”
“พ่อแม่สมัยนี้ อยากให้ลูกได้ขึ้นเวที ผมเข้าใจความรู้สึกของพวกเขานะครับ” พนักงานรับสมัครกล่าว
“พวกเขามาลงทะเบียนเพื่อของรางวัล ตุ๊กตากระตายตัวนั้น” พิธีกรกล่าวพร้อมกับยิ้ม
“นั่นก็เพื่อเป็นแรงจูงใจให้กับลูกๆ ผมก็เข้าใจความรู้สึกแบบนี้ เชื่อหรือไม่ว่า ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้คะแนนน้อยที่สุด พ่อแม่ก็จะซื้อของเล่นแบบเดียวกันให้กับลูกอยู่ดี”
พิธีกรไม่มีลูก จึงไม่เข้าใจความรู้สึกของพ่อแม่ เขาคิดว่าพ่อแม่คนนั้นไม่ใช้เหตุผล ขึ้นเวทีก็อาย ทำไมต้องทำด้วยล่ะ
นักเรียนและผู้ปกครองที่เข้าร่วมการแข่งขัน ได้นั่งอยู่ด้านล่างเวทีแล้ว เด็กหนึ่งคน ผู้ปกครองหลายคน บางคนมีผู้ปกครองถึงหกคน ล้อมรอบอยู่
ไม่นาน บริเวณรอบเวทีก็เต็มไปด้วยผู้คน
ผู้อำนวยการโรงเรียนเผ่ยหย่าเป็นผู้หญิงวัยกลางคน ถึงแม้ว่าจะอายุมากแล้ว แต่ก็แต่งตัวทันสมัย
ดูดีมาก
“ศาสตราจารย์โอว คุณมาแล้ว เชิญนั่งตรงนี้เลยครับ ทำไมไม่ให้คนขับรถไปรับคุณล่ะครับ” หลิวเมิ่งกล่าว
โอวเจี้ยนกั๋วนั่งลงที่กลางเวที ยิ้ม แล้วโบกมือ “ฉันชินกับการนั่งรถไฟใต้ดินแล้ว การเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”
หลิวเมิ่งยิ้ม “การที่ได้เชิญคุณมา เป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับโรงเรียนเผ่ยหย่าของพวกเราครับ”
“โรงเรียนเผ่ยหย่าส่งคนมาที่วิทยาลัยดนตรีไม่น้อยเลยนะ” คนอื่นๆ พูดดี โอวเจี้ยนกั๋วก็พูดชมคนอื่นบ้าง เพราะทุกคนชอบฟังคำชม
โรงเรียนเผ่ยหย่าเป็นโรงเรียนสอนศิลปะที่ดีในปักกิ่ง
แต่พวกเขาจะรับสมัครเด็กอายุ 4-12 ปี พอขึ้นมัธยมต้น ก็จะเลือกโรงเรียนสอนศิลปะที่เชี่ยวชาญมากกว่า
ส่วนการสอบเข้าวิทยาลัยดนตรีปักกิ่ง ตั้งแต่มัธยมต้นถึงมัธยมปลาย หกปี ต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน
ดังนั้น โรงเรียนเผ่ยหย่าจึงไม่ได้ส่งคนไปที่วิทยาลัยดนตรีโดยตรง
แต่หลิวเมิ่งดีใจมาก มองไปที่เวที “วันนี้ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดเป็นนักเรียนของโรงเรียนเผ่ยหย่า ศาสตราจารย์ช่วยดู และให้คำแนะนำด้วยนะครับ”
ศาสตราจารย์โอวยิ้ม พยักหน้า “แน่นอน”
เพราะมีเพียงโอวเจี้ยนกั๋วเท่านั้นที่เป็นกรรมการ คนอื่นๆ เป็นครูของโรงเรียนเผ่ยหย่า ดังนั้น พอเขามาถึง ที่นั่งกรรมการก็เต็มแล้ว
การแข่งขันเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ