ตอนที่ 49 รางวัล
ราคาบ้านในปักกิ่งแพงมาก ทำไมยังมีคนมากมายอยากอาศัยอยู่ที่นี่กันล่ะ?เพราะโอกาสในปักกิ่งก็มีมากเช่นกัน
อาจจะเป็นในเมืองเล็กๆ ระดับสามหรือสี่ ไม่ว่าคุณจะหน้าตาดีแค่ไหน เดินบนถนนก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง
แต่ในปักกิ่ง อาจจะมีแมวมองมาเห็นคุณ แล้วคุณก็ได้ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง
อันนี้เป็นแค่ส่วนน้อย สำหรับคนหนุ่มสาวที่ใฝ่ฝันอยากเป็นดารา
ยังมีผู้สมัครงานจำนวนมาก ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแล้ว ก็กลายเป็น 'จิงเปียว'[1] เพื่อโอกาสในการหางานที่มากขึ้น
หลินอวี่ไม่เคยมองตัวเองเป็นศิลปิน เขาเป็นแค่คนทำงาน
คนทำงานก็ต้องมีหน้าตาแบบคนทำงาน
ทำงาน 9 โมงถึง 5 โมง นี่คือมาตรฐานของคนทำงานในใจเขา
การหาเงินง่ายขนาดนี้ ก็ต้องใช้ชีวิตให้สนุกสิ
เงินหาได้ไม่หมด แต่เด็กน้อยก็โตเร็วขึ้นจริงๆ
ดังนั้นระหว่างการหาเงินกับการอยู่กับลูกน้อย หลินอวี้จะเลือกอยู่กับลูกโดยไม่ลังเล
เว้นแต่จะมีเรื่องใหญ่ โดยปกติวันหยุดสุดสัปดาห์เขาจะไม่ไปที่บริษัทแน่นอน
โอวเสี่ยวเจวียนก็รู้เรื่องนี้ ตั้งแต่ครั้งที่เธอแนะนำให้หลินอวี้ขยันมากขึ้น แล้วหลินอวี้ก็เอาเพลง "หมากรุก" มาตอกหน้าเธอ โอวเสี่ยวเจวียนก็ไม่กล้าไปยุ่งกับเขาอีกเลย
หมางกั่วน้อยจับมือพ่อแน่นๆ เดินไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน
หลินอวี้ไม่รู้ว่าลูกจะไปสถานีรถไฟใต้ดิน ทั้งสองคนเลยดึงกันไปคนละทาง
"พ่อค่ะ พ่อเดินผิดทางแล้ว"
หลินอวี้อึ้งไป "แล้วลูกจะไปไหนล่ะ"
ลูกสาวทำหน้าเหมือนว่า "พ่อไม่รู้เรื่องนี้เหรอ" แล้วพูดว่า "แน่นอนว่าสถานีรถไฟใต้ดินสิค่ะ พ่อไม่ได้บอกว่าจะพาหมางกั่วไปเที่ยวเหรอค่ะ?"
"พ่อค่ะ พ่อไม่รู้ด้วยเหรอว่าสถานีรถไฟใต้ดินอยู่ตรงไหน?"
หมางกั่วทำหน้าเหมือนไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ดูภูมิใจเล็กน้อยด้วย
ที่จริงแล้ว หลินอวี้ไม่ได้ลืมว่าสถานีรถไฟใต้ดินอยู่ตรงไหน แต่เขาไม่ได้อยากจะนั่งรถไฟใต้ดินต่างหาก
เขาจึงลูบหัวลูกสาวเบาๆ แล้วพูดว่า "วันนี้เราไม่นั่งรถไฟใต้ดินนะ เราไปนั่งแท็กซี่กันเถอะ"
ลูกสาวทำปากยื่น "พ่อค่ะ ทำไมพ่อถึงสิ้นเปลืองอย่างนี้ล่ะค่ะ นั่งรถไฟใต้ดินสะดวกและถูกกว่านะค่ะ"
"แต่คนบนรถไฟใต้ดินเยอะมาก พ่อกลัวว่าหมางกั่วจะเบียดนะครับ"
หมางกั่วทำปากยื่นมากขึ้น "หมางกั่วขึ้นรถไฟใต้ดินมาตั้งแต่เด็กแล้วคะ ไม่กลัวเบียดหรอกคะ"
หลินอวี้จึงบีบแก้มลูกสาวเบาๆ "ก็ได้ครับ ฟังลูก"
ลูกสาวพูดถูก ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งคู่ต้องนั่งรถไฟใต้ดินจริงๆ เพราะพวกเขาไม่มีเงินพอที่จะนั่งแท็กซี่ในปักกิ่ง
แต่ตอนนั้นเป็นหลินอวี้คนเดิม ต่างจากหลินอวี้ในตอนนี้
ตอนนี้หลินอวี้มีเงินแล้ว เขาจึงไม่สนใจค่าแท็กซี่
ถึงแม้ว่าเขาอยากจะซื้อบ้านในเขตโรงเรียน แต่เขาก็ซื้อเพื่อให้ลูกสาวได้เรียน เขาทำงานหาเงินเพื่อหมางกั่ว
การให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกสาว เป็นสิ่งที่หลินอวี้อยากทำที่สุด
แน่นอนว่า รวมถึงการเดินทางที่สะดวกสบายกว่าด้วย
หลินอวี้อยากจะซื้อรถ แต่เจ้าของร่างกายเดิมดันไม่มีใบขับขี่
การสอบใบขับขี่ต้องใช้เวลามาก ตอนนี้หลินอวี้กำลังพยายามหาซื้อบ้านในเขตโรงเรียนให้หมางกั่วก่อนที่เธอจะเข้าเรียนประถม จึงไม่มีเวลาไปสอบใบขับขี่
เขาจึงต้องรอให้เรื่องโรงเรียนของลูกสาวเรียบร้อยก่อน
ถึงแม้ว่าวันหยุดสุดสัปดาห์คนบนรถไฟใต้ดินจะไม่เยอะเท่าช่วงเวลาเร่งด่วน แต่ก็ยังมีคนอยู่ไม่น้อย
ลูกสาวและหลินอวี้จึงต้องยืนตลอดทาง
ข้อดีอย่างหนึ่งของการทำงานหาเงินอย่างเงียบๆ ก็คือ ยังคงใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาได้
อาจจะมีหลายคนที่กำลังฟังเพลงที่หลินอวี้แต่งอยู่บนรถไฟใต้ดิน แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าหลินอวี้เป็นใคร
บ้านที่หลินอวี้และลูกสาวเช่าอยู่ค่อนข้างไกลจากใจกลางเมือง พวกเขาจึงต้องนั่งรถไฟใต้ดินนานมากจึงจะถึงที่หมาย
ลูกสาวไม่ค่อยขอไปเที่ยวที่ไหน ถ้าจะไปก็จะเป็นที่ที่ไม่ต้องเสียเงิน เพราะแค่ได้ออกไปเที่ยวกับพ่อ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีความสุขแล้ว
ใกล้ๆ กับลานกว้างคุนต้า มีถนนคนเดินที่ขึ้นชื่อ สองข้างทางมีทั้งเสื้อผ้าเครื่องประดับ และสถานที่สำหรับเด็กๆ มากมาย
ดังนั้น ทุกๆ วันหยุดสุดสัปดาห์ สถานที่เหล่านี้จะจัดกิจกรรมที่ลานกว้างและถนนคนเดิน
เพื่อเพิ่มความนิยมให้กับแบรนด์ของตัวเอง และเพื่อดึงดูดสมาชิกคุณภาพเข้าร่วม
“พ่อค่ะ ดูสิค่ะ” ลูกสาวชูแขนท้วมๆ ขึ้นมา ชี้ไปที่อะไรบางอย่าง
หลินอวี้มองไปตามที่ลูกสาวชี้ ไม่ไกลนักมีเวทีที่สร้างขึ้นชั่วคราว
“เวที?” หลินอวี้ถามด้วยความสงสัย
ที่นี่มักจะมีร้านค้ามาจัดกิจกรรม บางครั้งก็จะมีเวทีชั่วคราวสำหรับการแสดง และมีการจับฉลากเป็นระยะ
นักร้องนักเต้นที่แสดงก็เป็นคนของร้านค้า เพื่อดึงดูดความสนใจ
ลูกสาวส่ายหัว “กระต่ายคะ กระต่ายตัวใหญ่มากเลยคะ”
หลินอวี้มองไปตามที่ลูกสาวชี้ จึงเห็นว่าบนเวทีใกล้กับป้ายโฆษณา มีของเล่นวางอยู่หลายชิ้น ชิ้นที่ใหญ่ที่สุดคือตุ๊กกระต่ายตัวใหญ่สีขาวใส่ชุดสีชมพู เพราะรูปร่างน่ารัก และตัวใหญ่มาก จึงโดดเด่นบนเวที
รอบๆ ตัวตุ๊กตาตัวนั้นก็มีของเล่นอื่นๆ อีกมากมาย แต่ตัวเล็กกว่ามาก จึงไม่ค่อยได้รับความสนใจ
หลินอวี้ลูบหัวลูกสาวเบาๆ "ชอบเหรอ?"
หมางกั่วพยักหน้าแรงๆ สายตาไม่ละจากตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เลย
"เดี๋ยวพ่อซื้อให้ลูกนะ" หลินอวี้เพิ่งเคยเห็นลูกสาวแสดงความชอบของเล่นมากขนาดนี้เป็นครั้งแรก
ลูกสาวส่ายหัว "ต้องแพงแน่ๆ เลย หนูไม่เอาหรอกคะ"
"ตราบใดที่ลูกชอบ เงินไม่ใช่ปัญหาหรอก" หลินอวี้พูดไปอย่างนั้น
สำหรับหลินอวี้ในตอนนี้ ไม่ว่าจะซื้อตุ๊กตาตัวเดียวหรือร้อยตัว ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ขอแค่ลูกสาวชอบก็พอ
ลูกสาวเชิดหน้าขึ้น ขมวดคิ้วเล็กน้อย "พ่อพูดอย่างนั้นได้ยังไงล่ะค่ะ ก่อนหน้านี้พ่อไม่เคยสิ้นเปลืองขนาดนี้เลย เงินไม่ใช่ปัญหาได้ยังไงล่ะค่ะ? ค่าเรียนก็ต้องใช้เงิน ค่าเช่าบ้านก็ต้องใช้เงินนะค่ะ"
หลินอวี้หัวเราะออกมา
หมางกั่ว "ดุ" พ่อ ดูเหมือนเด็กผู้ใหญ่ที่น่ารัก
"แล้วอย่างนี้จะทำยังไงดีล่ะ? หมางกั่วก็อยากได้นี่นา แล้วหมางกั่วก็ไม่ค่อยขอของขวัญด้วย งั้นถือว่าเป็นของขวัญที่พ่อให้หมางกั่วล่วงหน้าก่อนก็แล้วกันนะครับ" หลินอวี้พูดอย่างอ่อนโยน
หมางกั่วจับมือพ่อ "หมางกั่วไม่ขอของขวัญหรอกคะ ขอแค่ให้พ่อกลับบ้านเร็วๆ ในวันเกิดของหมางกั่วก็พอแล้วคะ"
หลินอวี้คุกเข่าลง บีบจมูกเล็กๆ ของลูกสาวเบาๆ
"พ่อสัญญา ต่อไปนี้ วันเกิดของหมางกั่วทุกปี พ่อจะอยู่บ้านกับหมางกั่วเอง"
ลูกสาวพยักหน้าอย่างมีความสุข
“งั้นเราไปดูกระต่ายกันเถอะ แล้วค่อยบอกลากระต่าย แล้วเรากลับบ้านกันนะค่ะ” หมางกั่วพูดอย่างมีความสุข
หลินอวี้รู้สึกไม่ค่อยดี แต่บุคลิกของลูกสาวก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เขาเปลี่ยนอะไรไม่ได้ และเขาก็ไม่ควรจะไปบังคับลูกสาว
ยิ่งลูกสาวบอกว่าไม่เอา เขาก็ยิ่งอยากซื้อให้
ตอนแรกเขาคิดว่าจะซื้อตัวที่คล้ายๆ กันให้ทีหลัง แต่ตอนนี้หลินอวี้คิดแค่เรื่องเดียว คือต้องซื้อตัวนี้ให้ได้ตอนนี้เลย
หลินอวี้เดินไปที่เวที แล้วถามชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเหมือนพนักงานว่า “ตุ๊กตากระต่ายตัวนั้นราคาเท่าไหร่ครับ?”
ชายหนุ่มคนนั้นใส่สูท ดูเหมือนจะเป็นพิธีกรของงาน เขามองหลินอวี้จากหัวจรดเท้า
“คุณพ่อครับ ขออภัยนะครับ ตุ๊กตากระต่ายตัวนั้นเราขายไม่ได้นะครับ เพราะมันเป็นของรางวัลจากการประกวดนะครับ”
[1]京飘 (jīng piāo): คำนี้หมายถึง "ผู้ที่ย้ายไปทำงานในกรุงปักกิ่ง" โดย "京" หมายถึง "ปักกิ่ง" และ "飘" หมายถึง "ลอย" หรือ "ย้าย" ใช้เปรียบเทียบคนที่ย้ายไปหางานในเมืองใหญ่