ตอนที่ 28 เป็นทั้งพ่อและแม่
เจียงเฉิงให้ความสำคัญกับงานใหม่มาก หลังจากกลับบ้านเขาก็อดหลับอดนอนเพื่อทำข้อมูลอ้างอิง แน่นอนว่าไม่ได้เขียนยืดยาวเหมือนวิทยานิพนธ์ แต่ได้สรุปวิเคราะห์สำนักพิมพ์ของสามยักษ์ใหญ่และสำนักพิมพ์ขนาดกลางที่มีอิทธิพลพอสมควร แล้วส่งให้หลินจือไป๋
หลินจือไป๋ตื่นตอนหกโมงเช้า
นี่เป็นเวลาตื่นนอนประจำทุกเช้าของเขา
หลังตื่นนอน หลินจือไป๋ก็เห็นข้อมูลที่เจียงเฉิงส่งมา
ข้อมูลถูกส่งมาตอนตีสาม ดูท่าว่าเจียงเฉิงคงอดหลับอดนอนเพื่อค้นคว้า ข้อมูลถูกนำเสนออย่างกระชับและมีระเบียบ หลินจือไป๋พอใจมาก เห็นได้ชัดว่าเงินเดือนหลักแสนที่จ่ายไปคุ้มค่า หลายครั้งเพียงแค่เรื่องเล็ก ๆ ก็สามารถบอกได้ถึงความสามารถและทัศนคติในการทำงานของคนคนนั้น
หลินจือไป๋ดูข้อมูลไปพลางเดินลงบันไดไปพลาง
ป้าหลิว แม่บ้านก็ตื่นพอดี เมื่อเห็นหลินจือไป๋ เธอก็รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย “ไม่คิดเลยว่าคุณจะตื่นเช้าขนาดนี้ ฉันยังไม่ได้ทำอาหารเช้าเลย...”
"ไม่เป็นไร"
หลินจือไป๋คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "หลังจากนี้ทำอาหารเช้าให้เสร็จก่อนหกโมงครึ่งก็พอ ไม่ต้องเรียกผม ผมจะลงมากินเองเมื่อถึงเวลา"
“ได้ค่ะ!”
หลิวอี๋รีบพูด "งั้นเดี๋ยวฉันจะรีบทำ อาหารเช้าอยากทานอะไรดีคะ?"
หลินจือไป๋ตอบง่าย ๆ ว่า "อาหารเช้าปกติครับ ผมไม่ได้เรื่องมากอะไร แค่เปลี่ยนเมนูบ้างเป็นครั้งคราวก็พอ"
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ!”
หลิวอี๋เข้าไปในครัวและเริ่มทำงาน
ยี่สิบนาทีต่อมา หลินจือไป๋นั่งที่โต๊ะอาหาร ทานขนมปังปิ้งกับไข่ดาวและนมหนึ่งแก้ว ขณะดูข้อมูลที่เจียงเฉิงทำไว้จนจบ
“เลือกน่าเซินบุ๊คเฮ้าส์ก็แล้วกัน”
สุดท้ายหลินจือไป๋ก็เลือกน่าเซินบุ๊คเฮ้าส์
เพราะ “เก้าอี้มนุษย์” ของหลินจือไป๋เป็นนิยายขนาดสั้นที่มีองค์ประกอบของการสืบสวนและความลึกลับ
ภายใต้การดูแลของน่าเซินบุ๊คเฮ้าส์ มีนิตยสารชื่อดังชื่อว่า “จื๋อเจี้ยนสือ” ซึ่งเน้นเผยแพร่นิยายประเภทนี้โดยเฉพาะ
อะไรนะ? หักหลังเฉินฮวา?
หลินจือไป๋หาตัวแทนเพราะต้องการแยกตัวออกจากเฉินฮวาและสร้างสถาบันการลงทุนของตัวเองขึ้นมา
สถาบันการลงทุนที่เขากำลังจะสร้างนี้ สามารถร่วมงานกับน่าเซิน เทียนกวง หรือแม้แต่เฉินฮวาก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าอะไรจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาของหลินจือไป๋มากที่สุด
แน่นอนว่า
ในตอนนี้พลังส่วนตัวของหลินจือไป๋ยังเล็กเกินไป
ถึงแม้จะอยากหักหลังเฉินฮวาจริง ๆ แต่เขาก็ยังไม่มีความสามารถพอที่จะทำได้
ส่วนเรื่องที่ว่า “เก้าอี้มนุษย์” จะผ่านการพิจารณาของกองบรรณาธิการหรือไม่ หลินจือไป๋ไม่เคยกังวลเลย
ต้องรู้ว่า “เก้าอี้มนุษย์” เป็นผลงานของ “เอโดงาวะ รัมโป” บรรณาธิการของน่าเซินบุ๊คเฮ้าส์คงไม่ถึงกับไม่มีสายตาแหลมคมพอที่จะมองไม่ออก
ในชาติก่อนมีมังงะเรื่องดังเรื่องหนึ่งชื่อ “นักสืบตายแล้ว”
อ้อ ดูเหมือนจะจำผิดไป มังงะเรื่องนั้นน่าจะชื่อ “ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน”
ชื่อเต็มของตัวเอกคือ “เอโดงาวะ โคนัน” ซึ่งคำว่า “โคนัน” มาจากการยกย่องผู้เขียน “เชอร์ล็อก โฮมส์” ซึ่งก็คือ เซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์
ส่วนคำว่า “เอโดงาวะ” มาจากการยกย่อง “เอโดงาวะ รัมโป”
ในญี่ปุ่นยังมีรางวัลการสืบสวนอันทรงเกียรติที่เรียกว่า “รางวัลรัมโป” ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงเอโดงาวะ รัมโปะ ผู้เป็นตำนานแห่งวงการนิยายสืบสวน
ด้วยอิทธิพลของเอโดงาวะ รัมโปจึงไม่ต้องสงสัยเลย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้
หลินจือไป๋ก็ส่งต้นฉบับ “เก้าอี้มนุษย์” ให้เจียงเฉิง พร้อมกับบอกถึงการตัดสินใจของเขาว่า “ส่งต้นฉบับไปให้นิตยสารสืบสวนของน่าเซินเฮ้าส์ ดูเนื้อหาก่อนได้”
จากนั้น
หลินจือไป๋ก็ตรวจสอบอันดับชาร์ตประจำฤดูกาล
หลังจากที่ “เพลงที่เขียนให้ตัวเอง” ขึ้นอันดับหนึ่ง มันก็อยู่ในตำแหน่งนี้อย่างมั่นคง และยังทิ้งห่างอันดับสองไปเรื่อย ๆ
หลินจือไป๋จึงวางใจ
แต่สิ่งที่หลินจือไป๋ไม่รู้คือ ตอนนี้เขาได้กลายเป็นที่จับตามองของเทียนกวงแล้ว
หัวหน้าคนหนึ่งในแผนกดนตรีของเทียนกวงกำลังมองชาร์ตประจำฤดูกาลอย่างเคร่งเครียดและกล่าวว่า “พวกเราแพ้ให้เขาสองเดือนติดต่อกันแล้ว อย่าประมาทไป๋ตี้คนนี้ ต้องจับตาดูเขาไว้!”
“เดือนที่แล้วพวกเรายังพอไหว”
หัวหน้าอีกคนหนึ่งกล่าว “เพราะเดือนที่แล้วอันดับหนึ่งยังเป็นของเทียนกวง เขาแค่เบียดเอาเพลงของเฉียนออกจากท็อปเท็นเท่านั้น”
“แต่มันก็ยังเป็นการเสียตำแหน่งหนึ่งในท็อปเท็นอยู่ดี”
“แต่เมื่อเทียบกับความเสียหายของเดือนนี้ เดือนที่แล้วถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย”
เพราะเดือนนี้เทียนกวงเสียอันดับหนึ่งไปแล้ว
มีคนถามเบา ๆ ว่า “ยังมีโอกาสเอาอันดับหนึ่งกลับมาได้ไหม?”
หัวหน้าที่อยู่ข้าง ๆ ส่ายหัว “จางซีหยางกลับมาอย่างยิ่งใหญ่แล้ว เดือนนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปสู้กับเฉินฮวาอีก พวกเราเอาไว้ล้างตาในอนาคตดีกว่า และไม่ต้องกังวลเรื่องไป๋ตี้มากนัก ชาร์ตประจำฤดูกาลเป็นอะไรที่คาดเดาไม่ได้ และเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นบ่อยครั้ง คนนี้ต่อให้ไม่ใช่แค่สายลมวูบเดียว แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นคู่แข่งที่แท้จริงของเทียนกวง”
“ก็ได้”
เทียนกวงจึงล้มเลิกการแย่งชิงอันดับ
และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่เทียนกวงที่กำลังจับตาดูไป๋ตี้อยู่
เมื่อ "เพลงที่เขียนให่ตัวเอง" ขึ้นสู่จุดสูงสุดในชาร์ตประจำฤดูกาลและยังคงตำแหน่งไว้อย่างแน่นหนา ไป๋ตี้ก็กลายเป็นนักแต่งเพลงหน้าใหม่ที่ทั้งวงการเพลงของฉินโจวต้องจับตามองในทันที และในเวลาเดียวกันก็มีสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมาที่เขา
“ไม่ใช่แค่สายลมวูบเดียวอีกต่อไปแล้ว”
“สองฤดูกาลติดต่อกันที่เขาเปล่งประกายขนาดนี้ ไม่ค่อยมีหน้าใหม่คนไหนทำได้แบบนี้เลย ดูท่าเฉินฮวาจะได้อีกหนึ่งนักแต่งเพลงทองคำแล้ว”
“ถ้านับเรื่องแต่งเพลงละก็ ฉันว่าน่าจะนับเรื่องแต่งเนื้อเพลงด้วยนะ”
“ตอนนี้สองเพลงของเขา เนื้อเพลงนั้นโดดเด่นมาก จนแทบจะกลบความสำคัญของทำนองไปเลย ต่อให้เขาเป็นแค่นักแต่งเนื้อเพลงในอนาคต เขาก็น่าจะหาที่หาทางในวงการได้”
“ฉันก็เห็นด้วย เรื่องแต่งเนื้อเพลงเป็นสิ่งที่เขาถนัดที่สุด”
“ถ้าลองไม่พูดถึงเนื้อเพลงละก็ ทำนองของสองเพลงนี้จะดูด้อยลงไปมาก รวมถึงเดือนนี้ถ้าจางซีหยางไม่ได้ร้องสดได้ระดับเทพจริง ๆ อันดับก็คงอยู่แถว ๆ ที่แปดสิบถึงเก้าสิบ”
“พูดตามตรงมันมีเรื่องโชคเข้ามาเกี่ยวด้วย”
“ควรพูดว่ามันเป็นเพราะจางซีหยางมากกว่า”
“ฉันรู้สึกเหมือนพวกคุณกำลังอิจฉานะ การที่เนื้อเพลงกับทำนองเข้ากันได้ดีเป็นเรื่องของการเสริมพลังกันจนได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ แม้แต่นักแต่งเพลงใหญ่ ๆ บางคนก็ยังไม่ค่อยแต่งเนื้อเพลงเอง และต้องร่วมงานกับนักแต่งเนื้อเพลงชั้นนำด้วยซ้ำ”
“ใช่”
“ในเมื่อไป๋ตี้สามารถแต่งทั้งเนื้อเพลงและทำนองเอง แล้วยังสามารถหานักร้องที่เหมาะสมที่สุดมาร่วมงานได้ นั่นก็เป็นความสามารถของเขาเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังทำเรียบเรียงเพลงเองอีกด้วย ความสามารถของเขาจึงถือว่าครบเครื่องและสมดุลมาก”
ในวงการเพลงของบลูสตาร์มันก็เป็นเช่นนี้
การแต่งเนื้อเพลงและทำนองกับการร้องแยกออกจากกัน
นักแต่งเพลงมักจะทำหน้าที่เรียบเรียงเพลงไปด้วย แต่ไม่ค่อยมีใครทำหน้าที่แต่งเนื้อเพลงไปพร้อมกัน การที่ทำได้ครบทุกอย่างเหมือนไป๋ตี้นั้นพบเห็นได้ยากมาก
มีคำพูดหนึ่งในวงการว่า
การทำแบบนี้เรียกว่า “เป็นทั้งพ่อและแม่ให้กับนักร้อง”
......
อีกด้านหนึ่ง
เจียงเฉิงตื่นนอนตอนเจ็ดโมงเช้า
แม้ว่าเมื่อคืนเขาจะได้นอนแค่ไม่ถึงสี่ชั่วโมง
ตอนทำงานที่ฉีโจว เจียงเฉิงก็ต้องทำงานล่วงเวลาเป็นประจำ ร่างกายของเขายังทนไหว และในวัยสามสิบห้าปีก็ยังถือว่ากำลังอยู่ในช่วงอายุที่แข็งแรง
เมื่อเปิดโทรศัพท์
เจียงเฉิงเห็นข้อความและนิยายที่หลินจือไป๋ส่งมา
“เก้าอี้มนุษย์?”
เจียงเฉิงอ่านชื่อเรื่องเบา ๆ
หรือว่าบอสคนนี้เป็นนักเขียนจริง ๆ ?
เมื่อนึกถึงว่าบอสของเขาดูเหมือนจะตั้งนามปากกาแบบฉุกละหุก เจียงเฉิงก็อดขำไม่ได้ คาดว่าบอสหนุ่มลึกลับของเขาน่าจะเพิ่งเขียนนิยายเป็นครั้งแรกใช่ไหม?
เป็นการทำตามอารมณ์ชั่ววูบหรือเปล่านะ?
ไม่รู้ว่าฝีมือการเขียนของบอสจะเป็นยังไง
เมื่อคืนตัวเองก็อดนอนทำข้อมูลมา หวังว่าจะไม่ใช่แค่เหนื่อยฟรีนะ แต่ถึงอย่างไรก็คงไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก
เดี๋ยวลองอ่านดูหน่อย บอสบอกว่าตนเองสามารถดูได้ก่อน แสดงว่าเขาน่าจะมั่นใจพอตัว
เจียงเฉิงลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟัน ทานอาหารเช้าแบบง่าย ๆ แล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้ เริ่มอ่านนิยายที่บอสส่งมา...