ตอนที่ 26 ตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
หนานกงหยาง มองไปที่ หลินอวี้ อย่างขอบคุณ
หลินอวี้ขนลุกซู่ จึงแอบดึงมือออกจาก “กรงเล็บปีศาจ” ของหนานกงหยางอย่างเงียบๆ
หนานกงหยางก็รู้ตัวว่าตัวเองแสดงออกมากเกินไป จึงกระแอมกระไอเบาๆ แล้วพูดว่า “เพลงของคุณ ผู้จัดการหลี่ชอบมาก ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด วันนี้ก็เซ็นสัญญาได้เลย”
หลินอวี้พยักหน้าอย่างสงบ เขาไม่แปลกใจเลย ถ้าผู้จัดหารหลี่มีข้อกำหนดอื่น เพลงของเขาอาจจะไม่เหมาะสม
แต่เรื่องที่ผู้จัดหารหลี่เล่า เข้ากับเพลง “เด็กหนุ่ม” อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านจึงไม่แปลก ไม่ผ่านต่างหากที่แปลก
หนานกงหยางไม่คิดว่าหลินอวี้จะใจเย็นขนาดนี้ ถ้าเป็นเด็กหนุ่มในฝ่ายดนตรี ได้โอกาสแบบนี้ ต้องโม้กันใหญ่แน่ๆ ไม่ใช่แค่ให้คนในฝ่ายดนตรีรู้ อยากให้ทั้งบริษัทรู้ด้วยซ้ำ หลินอวี้ใจเย็นเกินไปแล้ว
หนานกงหยางถึงกับเสียใจที่เคยคิดว่าหลินอวี้ยังไม่โต ที่แท้หลินอวี้ก็อ่อนน้อมถ่อมตน เก็บความดีใจไว้ในใจ ไม่โอ้อวด ไม่เหมือนพวกในฝ่ายดนตรี ได้เรื่องดีนิดหน่อยก็โวยวาย
แต่ถ้าบอกว่าหลินอวี้ไม่ดีใจ เขาไม่เชื่อหรอก
หนุ่มๆนี่นะ ได้โอกาสดีๆแบบนี้ จะไม่ดีใจได้ยังไงล่ะ
หนานกงหยางพยักหน้าอย่างพอใจ “หนุ่มๆควรจะใจเย็นแบบคุณ ไม่ว่าจะเจอเรื่องดีแค่ไหน ก็ควรจะวางเฉย”
หลินอวี้ฟังหนานกงหยางพูดจนงง แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ผมไม่แปลกใจเลยนะครับ”
หนานกงหยางถามอย่างสงสัยว่า “ทำไมล่ะครับ?”
“เพราะมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยครับ”
หนานกงหยาง “…”
ตั้งแต่หนานกงหยางเข้าโรงอาหาร หลายคนก็มองเขาเดินไปหาหลินอวี้ เห็นได้ชัดว่าเขาไปหาหลินอวี้ เพราะเป็นบริษัทบันเทิง ทุกคนก็ชอบเรื่องซุบซิบนินทา
“พวกคุณว่าผู้จัดการฝ่ายดนตรีหนานกงไปหาเด็กใหม่ทำไม?”
“ใครจะรู้ล่ะ แต่รู้สึกว่าสีหน้าผู้จัดการฝ่ายดนตรีหนานกงแปลกๆ ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน”
“ฉันเดาว่าไปปลอบใจเขา เพราะเขาเป็นคนของพี่เสี่ยวเจวียน เพลงแย่ พี่เสี่ยวเจวียนก็เสียหน้า ผู้จัดการฝ่ายดนตรีหนานกงคงต้องบอกเขาอย่างอ่อนโยน”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”
กรืด
ประตูโรงอาหารเปิดออกจากด้านนอก
บอดี้การ์ดสองคนในชุดสูทสีดำและแว่นกันแดดเปิดประตูทั้งสองบาน แล้วก็ยืนอยู่ข้างประตู
ผู้ชายคนหนึ่งในชุดสูทเดินเข้ามา
“ผู้จัดการหลี่?”
“ผู้จัดการหลี่มาโรงอาหารพนักงาน?”
“มากินข้าว?”
“แน่นอน มาโรงอาหารไม่มากินข้าว จะมาหาคนหรือไง?”
“ขอถามหน่อยครับ หลินอวี้ อยู่ที่นี่ไหมครับ?” หลี่หลินเซินถามพนักงานที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
พนักงานชายชี้มือ
หลี่หลินเซินเห็นหนุ่มรูปหล่อที่นั่งอยู่กับหนานกงหยาง ยิ้มมุมปาก “ขอบคุณครับ”
พนักงานชายเพิ่งเคยเห็นผู้จัดการหลี่เป็นครั้งแรก นี่คือผู้ชายที่อยู่ในนิตยสารและปกนิตยสารต่างๆ
วันนี้ผู้ชายคนนี้พูดกับเขา
ไม่เพียงแต่พูด ยังขอบคุณเขาด้วย
จนกระทั่งหลี่หลินเซินเดินไปไกลแล้ว
พนักงานชายก็ยังมองหลี่หลินเซิน
เนื้อหมูที่เพิ่งคีบ ก็ยังลอยอยู่กลางอากาศ ไม่อร่อยเลย
“จริงๆแล้ว…มาหาคน”
ทุกคนในโรงอาหารลืมกินข้าว มองไปที่หลินอวี้และหลี่หลินเซิน
พวกเขาส่วนใหญ่เป็นพนักงานระดับล่าง ไม่มีโอกาสได้เจอผู้บริหารระดับสูงของบริษัท
ปกติผู้บริหารระดับสูงไม่ค่อยมาโรงอาหาร ยิ่งผู้จัดการหลี่ด้วยแล้ว
พวกเขาอยากรู้ว่าผู้ชายในรูปและตำนาน มาหาหลินอวี้ทำไม
พวกเขาไม่ได้ยินการสนทนาของผู้จัดการหลี่และหลินอวี้
แต่พวกเขาก็เห็นผู้จัดหารหลี่ลุกขึ้นยืน จับมือกับหลินอวี้
ใช่แล้ว เป็นฝ่ายผู้จัดการหลี่ ที่เข้าไปจับมือ
ทุกคนอึ้งไป
หลินอวี้มองหลี่หลินเซินที่เดินจากไป แล้วก็มองมือของตัวเองที่เคยถูกจับ
สับสนมาก
…
หลี่หลินเซินสมกับเป็นผู้บริหารอันดับหนึ่งของเซิ่งคง และเขามีประสิทธิภาพมากในการทำสิ่งต่างๆ
ใช้เวลาเพียงวันเดียว ซิงเกิลถูกปล่อยเผยแพร่ทั่วทั้งเครือข่ายออนไลน์
ถึงระดับของหลี่หลินเซิน ก็ไม่จำเป็นต้องแย่งชาร์ตกับนักร้อง
นักร้องทุกคน ไม่ว่าจะระดับไหน ก็ยังเป็นลูกจ้าง แค่ระดับสูงกว่าเท่านั้น
หลี่หลินเซินเป็นเจ้านาย เจ้านายตัวจริง
เขาออกเพลงไม่ใช่เพื่อความดัง
แต่เพื่อให้ดูดี
เขาตั้งใจจะออกซิงเกิลไม่ใช่เพราะเห็นเจ้านายโหมวเติงกัวสือและมิน่าออกแล้วเลยอยากลองบ้าง แต่เพราะเขาฟังเพลงของพวกเขาแล้วพบว่าเพลงนั้นแย่มาก ถึงกับคิดว่าต้องออกเพลงที่เหนือกว่าให้ได้
เขาคิดว่าฝ่ายดนตรีก็คงทำได้แค่นั้น จึงกดดันหนานกงหยาง ถ้าวันจันทร์ส่งงานที่ดีกว่านี้ไม่ได้ ก็จะเลือกเพลงหนึ่งในสิบเพลงนั้นมาใช้ เพราะเพลงไหนก็ตามในสิบเพลงนั้น ถ้าเขาเป็นคนร้อง ก็จะทำให้เจ้านายโหมวเติงกัวสือและมิน่าเสียใจที่ออกเพลงมา
หลี่หลินเซินไม่คิดเลยว่าหนานกงหยางจะโทรมาขอความเห็นใจ แล้วก็ส่งเพลงใหม่ที่แต่งเสร็จแล้วมาให้เขาในทันที และเพลงนั้นยังดีมากอีกด้วย
การที่หลี่หลินเซินออกซิงเกิล สร้างความฮือฮาในวงการบันเทิงอย่างมาก เพราะเขามีฐานะเป็นเจ้านายบริษัทบันเทิงเซิ่งคง และเจ้านายมิน่าและโหมวเติงกัวสือก็เพิ่งออกซิงเกิล แต่กลับโดนวิจารณ์อย่างหนัก แฟนเพลงต่างให้คะแนนต่ำ และเรียกร้องเงินคืน ตอนแรกทั้งสองบริษัทพยายามใช้เงินซื้อการตลาดเพื่อควบคุมกระแส แต่คำวิจารณ์มีมากเกินไป จนพวกเขาไม่สนใจแล้ว
เจ้านายมิน่าและโหมวเติงโดนล้อเลียนมานาน กระแสเริ่มซาลง หลี่หลินเซินจากบริษัทบันเทิงเซิ่งคงก็เข้ามา ใครจะไม่สงสัยล่ะ ทุกคนเตรียมตัวพร้อม รอชมหลี่หลินเซินแสดงความสามารถอยู่แล้ว
…
ฝ่ายดนตรี บริษัทมิน่าเทียนอวี๋
“หัวหน้าครับ ได้ยินว่าผู้จัดการหลี่หลินเซินของเซิ่งคงออกซิงเกิลแล้วนะครับ” ค่งเหลียงนักแต่งเพลงชื่อดังของมิน่ากล่าว
เกาหู่เอนหลังลงบนโซฟาอย่างสบายอารมณ์ “ออกก็ออกไปสิ พวกเจ้านายพวกนี้ วันๆไม่รู้จะทำอะไร ว่างจนหงุดหงิด ถ้าไม่ใช้ทรัพยากรบริษัทเล่นๆ คงอยู่เฉยไม่ไหวล่ะสิ”
ตอนที่เจ้านายมิน่าอยากออกซิงเกิล เกาหู่ก็คัดค้าน
เจ้านายที่ดีๆ แบบนี้ เสียงก็ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนทางวิชาชีพ แถมก็ไม่มีพรสวรรค์อะไร นั่งอยู่ในออฟฟิศนับเงินไม่ดีกว่าเหรอ? ทำไมต้องออกมาขายหน้าด้วยล่ะ
เขาเป็นคนแรกที่คัดค้าน แต่ก็คัดค้านไม่ได้ผล
เหตุผลที่เจ้านายให้ คือโหมวเติงกัวสือออกแล้ว เขาไม่สามารถแพ้ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องแพ้
เกาหู่ไม่มีทางเลือก จึงต้องทำ
ผลลัพธ์ก็คือ
ไม่ใช่แค่ไม่แพ้
แต่โดนด่าด้วยกันทั้งคู่
เกาหู่คิดว่าเพลงที่เขาแต่งเองไม่มีปัญหา เพลงนี้ใครร้องก็ดัง ไม่ดังก็เป็นเรื่องของคนร้อง
“หัวหน้าครับ ลองฟังดูนะครับ”
เกาหูฮึดฮัด “เพลงของเจ้านายพวกนี้ จะมีอะไรน่าฟัง อย่าเสียเวลาเลย”
“หัวหน้าครับ ลองฟังดูนะครับ”
ค่งเหลียงเปิดเพลงทันที
พวกเขาไม่ได้ใส่หูฟัง เสียงเพลงดังออกมาจากลำโพง ก้องอยู่ในออฟฟิศ
พอเพลงร้องได้สี่ประโยค
เกาหู่ก็ลุกขึ้นนั่งทันที “เร็ว เอาหูฟังมาให้ฉัน”
ค่งเหลียงรีบเอาหูฟังมาให้เกาหู่
“เปลี่ยนชีวิต
ทำให้ตัวเองมีความสุข
อย่าดื้อรั้น
อากาศก็จะดีขึ้น
ทุกครั้งที่ผ่านไป
ล้วนเป็นการเก็บเกี่ยว
รออะไรอยู่ เลือกสิ่งที่ถูกต้อง…”
เกาหู่มองค่งเหลียงด้วยความประหลาดใจ มือข้างหนึ่งก็กดหูฟังไว้ เหมือนกลัวว่าโน้ตเพลงจะหลุดออกจากช่องหูฟัง
ค่งเหลียงยิ้มแล้วพยักหน้า
เกาหู่เป็นหัวหน้าฝ่ายดนตรีของมิน่า ไม่ค่อยได้แต่งเพลงเองแล้ว
ส่วนค่งเหลียงเป็นนักแต่งเพลงชื่อดัง มักจะหาเพลงจากอินเทอร์เน็ต เพลงนี้เขาได้ยินโดยบังเอิญเมื่อเช้านี้ จึงรีบมาหาเกาหู่
“ที่ผ่านมา
ก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตลกหรือเรื่องโกหก
ทางอยู่ตรงหน้า
จริงๆแล้วไม่ซับซ้อนหรอก
ขอแค่จำไว้ว่าคุณคือคุณ…”
นี่คือเพลงอะไรกัน ถึงได้ทำให้คนรู้สึกตื่นเต้น เซลล์ในร่างกายก็เต้นระบำไปด้วย
“ฉันก็ยังเป็นเด็กหนุ่มคนเดิม
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
เวลาเป็นเพียงการทดสอบ
ความเชื่อที่ปลูกฝังในใจยังคงอยู่
เด็กหนุ่มตรงหน้า
ก็ยังคงเป็นใบหน้าเดิม
แม้จะเจออุปสรรคมากมายก็ไม่ถอยหลัง
Say never never give up
Like a fire…”
เกาหู่จมอยู่กับเพลง ดวงตาเป็นประกาย เหมือนลืมไปเลยว่าค่งเหลียงยังอยู่ในออฟฟิศ
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร อายุเท่าไหร่ ทำงานอะไร รับบทบาทอะไร คุณก็ยังคงเป็นเด็กหนุ่มคนเดิม
ครั้งหนึ่ง
สองครั้ง
สามครั้ง
ค่งเหลียงยิ้มแล้วเดินออกจากออฟฟิศ ปิดประตูเบาๆ