ตอนที่ 12 ฝงเซียงโกรธจนลุกเป็นไฟ
ตอนที่ 12 ฝงเซียงโกรธจนลุกเป็นไฟ
เมื่อโจวหยวนกลับมาถึงบ้าน เขาได้ยินเสียงระบบดังขึ้นทันที ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจและยินดีอย่างยิ่ง
โจวหยวนรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เปลี่ยนไปในทางชั่วร้าย แต่ระบบกลับแปรเปลี่ยนจนมืดมนอย่างสมบูรณ์ สิ่งที่ระบบมอบให้ล้วนเป็นของที่ช่วยสนับสนุนเขาในการฆ่าคนและปล้นชิง
โจวหยวนรีบเปิดดูหน้าจอระบบ
[นายท่าน: โจวหยวน]
[ระดับพลัง: ขอบเขตหลอมปราณขั้นหก: 33/550]
[อายุขัย: 20/546]
[พรสวรรค์: สี่ธาตุ]
[ค่าดวงชะตา: 40]
[ทักษะ: คาถาไฟขั้นกลาง เคล็ดค่ายกลรวมวิญญาณขั้นต่ำ]
[ความสามารถพิเศษ: เคล็ดพันหน้า วิชาปกปิดพลัง]
เมื่อเห็นค่าระดับพลังของตนเองที่พุ่งทะลุถึงขอบเขตหลอมปราณขั้นหก และอายุขัยที่ยืดยาวถึง 546 ปี โจวหยวนถึงกับดีใจจนแทบไม่เชื่อ นี่ไม่ใช่เพียงคำพูดลอย ๆ ที่ว่า "ยืนยาวราวสวรรค์"
ทันใดนั้น โจวหยวนรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของตนเอง กระดูกบนใบหน้าเริ่มเคลื่อนตัว แม้จะรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก แต่เขากลับไม่ร้องออกมาเลยแม้แต่น้อย
ไม่นานนัก โจวหยวนลุกขึ้นและเดินไปที่กระจกทองแดง
เมื่อมองไปที่กระจก เขาเห็นใบหน้าที่แปลกประหลาดและไม่คุ้นเคยปรากฏขึ้น ใบหน้านั้นผอมซูบ ไม่มีไขมันแม้แต่น้อย
จากนั้น โจวหยวนคิดในใจ กระดูกบนใบหน้าก็เริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง คราวนี้ใบหน้าของหวังเฉียงปรากฏขึ้น
อย่างไรก็ตาม หวังเฉียงมีผิวคล้ำกว่าโจวหยวน และโจวหยวนมีผิวขาวกว่า ทำให้คนรู้จักสามารถจับความแตกต่างได้
กระดูกบนใบหน้าของโจวหยวนเปลี่ยนอีกครั้ง คราวนี้เป็นใบหน้าของหวังหลิงที่ค่อย ๆ ปรากฏในกระจก
แต่หวังหลิงในคราวนี้มีผิวที่หยาบกร้านเล็กน้อย และมีหนวดบาง ๆ ใต้คาง ทำให้ดูค่อนข้างจะประหลาด
"บ้าจริง! ข้าเหมือนตัวละครในหนัง 'ตงฟางปุ๊ป้าย' เลย แค่ขาดชุดแดง!"
(เป็นตัวละครในนิยายกำลังภายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร)
โจวหยวนคิดในใจว่าตัวเองในตอนนี้ดูเหมือนตัวละครตงฟางปุ๊ป้ายในภาพยนตร์ ไม่มีผิดเพี้ยน
เขาทดลองเปลี่ยนเป็นใบหน้าของคนอื่นอีกหลายคน และยิ่งทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น
เคล็ดลมปราณที่ระบบมอบให้นั้นยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง เพราะไม่ต้องฝึกฝนแต่สามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบทันที
จากนั้น โจวหยวนก็นั่งขัดสมาธิลงและมองไปที่ถุงเก็บของทั้งสามใบตรงหน้าเขาด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง
เขาเริ่มเปิดถุงของผู้ที่อยู่ในขอบเขตหลอมปราณขั้นหนึ่งก่อน ในถุงนั้นมีหินวิญญาณระดับต่ำสิบก้อน ส่วนของที่เหลือไม่ค่อยมีค่าเท่าใดนัก
โจวหยวนไม่มีความรู้สึกผิดหวังใด ๆ จากนั้นเขาเปิดถุงเก็บของของผู้ที่อยู่ในขอบเขตหลอมปราณขั้นสอง ในถุงนั้นมีหินวิญญาณระดับต่ำสี่สิบก้อน และเคล็ดลมปราณสามเล่ม
โจวหยวนตรวจดูเคล็ดลมปราณทั้งสามเล่ม เมื่อเห็นว่าไม่มีเล่มใดที่เหมาะกับตน เขาจึงวางไว้ข้าง ๆ
สุดท้ายเหลือเพียงถุงเก็บของของจ้านเฟิง โจวหยวนมองด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง สัญชาตญาณบอกเขาว่ามีสิ่งล้ำค่าอยู่ในนั้น
เขาเทของในถุงเก็บของออกมา ทันใดนั้นดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
ในถุงเก็บของนั้นมีหินวิญญาณระดับต่ำไม่น้อยกว่าห้าพันก้อน และยังมีหินวิญญาณอีกสองก้อนขนาดเท่ากำปั้น ซึ่งพลังวิญญาณที่แฝงอยู่นั้นเข้มข้นกว่าหินวิญญาณระดับต่ำหลายสิบเท่า
"หินวิญญาณระดับกลาง!"
แม้โจวหยวนจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เขาก็สามารถตัดสินได้ทันทีว่านี่คือหินวิญญาณระดับกลางอย่างไม่ต้องสงสัย
ในแดนดาราเร้นลับ อัตราแลกเปลี่ยนหินวิญญาณอยู่ที่หนึ่งต่อหนึ่งร้อย
หินวิญญาณชั้นยอดหนึ่งก้อนสามารถแลกเป็นหินวิญญาณชั้นสูงได้หนึ่งร้อยก้อน และสามารถแลกต่อไปตามลำดับ
หินวิญญาณระดับกลางสองก้อนในมือของโจวหยวน แม้จะมีมูลค่าเทียบเท่าหินวิญญาณระดับต่ำสองร้อยก้อนตามอัตราแลกเปลี่ยน แต่แทบไม่มีใครยอมเอามาแลกเปลี่ยนจริง ๆ
โจวหยวนรู้สึกตื่นเต้นมาก เขารีบเก็บหินวิญญาณทั้งหมดเข้าไปในพื้นที่ระบบ
เมื่อเขานับดู หินวิญญาณระดับต่ำทั้งหมดมีจำนวนถึงห้าพันหนึ่งร้อยห้าสิบสองก้อน
โจวหยวนเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จ้านเฟิงเป็นเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตหลอมปราณขั้นสี่ จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะมีหินวิญญาณมากขนาดนี้? หากมีจริง ๆ เขาคงไม่สนใจหินวิญญาณสิบกว่าก้อนในมือของเขาและหวังเฉียงในตอนนั้น
แต่เรื่องนี้มีอะไรบางอย่างที่โจวหยวนยังเดาไม่ออก เขารู้สึกคลุมเครือว่าเหตุการณ์ครั้งนี้อาจเป็นปัญหาใหญ่
โจวหยวนมองไปที่เคล็ดลมปราณที่อยู่บนพื้น หมัดพยัคฆ์ขาว เคล็ดกระบวนดาบวายุพิสุทธิ์ และฝ่ามืออสูรเหล็ก
โจวหยวนเปิดดูทั้งสามเล่มอย่างละเอียด จากนั้นก็หยิบเคล็ดกระบวนดาบวายุพิสุทธิ์ ขึ้นมาพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย
เขามีทักษะต่อสู้อยู่เพียงเล็กน้อย นอกจากคาถาไฟขั้นกลาง และกระบวนดาบเงาลอบเร้นก็แทบไม่มีอะไรเลย
แม้ว่าเคล็ดกระบวนดาบวายุพิสุทธิ์จะเป็นเพียงกระบวนท่าดาบระดับหวงขั้นกลาง แต่กลับมีความสอดคล้องกับกระบวนดาบเงาลอบเร้นอย่างพอดี ทั้งสองวิชามีแนวคิดที่เน้นความพลิ้วไหวและไม่ให้ศัตรูตั้งตัวทัน
เคล็ดกระบวนดาบวายุพิสุทธิ์ มีทั้งหมดเก้ากระบวนท่า โจวหยวนตัดสินใจว่าจะหาเวลาศึกษาและฝึกฝนอย่างจริงจัง
เขาเก็บเคล็ดลมปราณทั้งสามเล่มเข้าพื้นที่ระบบ จากนั้นหันไปหยิบขวดกระเบื้องใบสุดท้าย
เมื่อเปิดดูเขาพบยาเม็ดหนึ่งเม็ดที่มีกลิ่นหอมกรุ่น เขาหยิบยาเม็ดออกมา และเมื่อได้มองใกล้ ๆ ดวงตาของเขาก็ยิ่งสว่างขึ้นทันที เขามั่นใจว่ายาเม็ดนี้มีคุณภาพดีกว่ายาที่เขาซื้อจากหวังหลิง
โจวหยวนเผาขยะทั้งหมดให้สิ้นไป และเก็บของที่ไม่ต้องการลงในถุงเก็บของอีกใบ ก่อนนำไปไว้ในพื้นที่ระบบเพื่อขายต่อในภายหลัง
สุดท้ายเขาหยิบถุงเก็บของใบหนึ่งที่บรรจุเงินหลายพันเหลียง เสื้อผ้าของเขาเอง และหินวิญญาณระดับต่ำสิบกว่าก้อนแล้วแขวนไว้ที่เอว
หากเจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า ถุงเก็บของนี้อาจช่วยหลอกล่อศัตรูได้
โจวหยวนรู้สึกว่าใจของเขาเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ เพราะการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ช่างมากมายมหาศาล
"โจวหยวน เจ้าต้องใจเย็นไว้ เจ้าเป็นผู้ที่วางแผนจะปล้นทั่วสวรรค์ ปล้นฟ้าดิน ปล้นทุกสรรพสิ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น" โจวหยวนพูดปลอบตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความตื่นเต้นในใจค่อย ๆ สงบลง
จากนั้นโจวหยวนหยิบยาเม็ดออกมา กลืนลงไปทันที และเริ่มหลับตาฝึกฝน
เมื่อคืนผ่านไป โจวหยวนลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขามองดูหน้าจอระบบและเห็นว่าค่าระดับพลังเปลี่ยนแปลงไป
[ระดับพลัง: ขอบเขตหลอมปราณขั้นหก: 63/550]
โจวหยวนพยักหน้าเล็กน้อยในใจ หากเขาคาดไม่ผิด ยาเม็ดนี้น่าจะเป็นโอสถชั้นหนึ่ง แต่มีคุณภาพสูงกว่าที่เขาเคยได้จากหวังหลิง
ขณะที่โจวหยวนกำลังเพลิดเพลินกับสิ่งที่ได้มา อีกด้านหนึ่งใน สำนักพยัคฆ์ขาว ฝงเซียงก็เกือบจะระเบิดอารมณ์
"เจ้าจ้านเฟิง ศิษย์ทรยศผู้นี้ มันคงหนีไปพร้อมกับหินวิญญาณแล้วสินะ?"
ฝงเซียงตามหาจ้านเฟิงทั้งคืนแต่ไม่มีวี่แววของเขา ทำให้ฝงเซียงโกรธจนแทบคลั่ง
ช่วงสองวันนี้เป็นเวลาที่นครซิงอันต้องทำการสรุปบัญชีรายเดือน โดยปกติฝงเซียงจะไปจัดการด้วยตัวเอง
แต่เพราะเขากำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการฝึกฝน จึงมอบหมายให้จ้านเฟิงทำแทน
ต้องรู้ว่าจ้านเฟิงกำลังถือหินวิญญาณระดับต่ำอย่างน้อยห้าพันก้อน ซึ่งเป็นกำไรจากหอพยัคฆ์ขาวในนครซิงอันตลอดเดือน
หากหินวิญญาณนี้หายไป ฝงเซียงย่อมต้องเดือดร้อนแน่นอน เมื่อวานฝงเซียงไปที่หอพยัคฆ์ขาว และได้รับแจ้งว่าจ้านเฟิงนำป้ายคำสั่งของเขาไปถอนหินวิญญาณออกมาแล้วในช่วงบ่าย
เส้นเลือดบนหน้าผากของฝงเซียงเต้นระริก หากจ้านเฟิงกล้าทรยศเขาจริง ๆ เขาจะไม่ลังเลที่จะกำจัดตระกูลจ้านให้สิ้นซาก
ในขณะนั้นเอง ฝงเซียงสัมผัสถึงบางสิ่งจึงรีบหยิบหยกส่งเสียงออกมา ซึ่งเป็นสื่อสารจากผู้คนในสำนัก
"ท่านอาจารย์ฝง ป้ายหยกที่ศิษย์พี่จ้านเฟิงฝากไว้ในสำนักแตกเมื่อคืนนี้ เขาน่าจะตายตกแล้ว เราเพิ่งตรวจพบเมื่อเช้านี้เอง!"
เมื่อฝงเซียงได้ยินเช่นนั้น เขาก็ลุกพรวดขึ้นทันที ทำให้เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่แตกกระจายเป็นชิ้น ๆ
ฝงเซียงไม่รอช้า ใช้กระบี่บินทะยานออกจากสำนักทันที มุ่งหน้าไปยังจุดที่โจวหยวนต่อสู้กับจ้านเฟิงเมื่อวานนี้