บทที่ 905 ดึงภัยไปทางตะวันออก
“หนึ่ง...สอง...สาม...”
เฉินโม่ก้มเก็บศีรษะมนุษย์พลางเหลือบมองสัตว์ทะเลสองตัวที่ถูกประตูมังกรดึงดูดให้มาที่นี่และกำลังว่ายออกไปไกล ใจเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกครุ่นคิด
โลกของมหาสมุทรนั้นเป็นเช่นไร?
แค่สัตว์ทะเลสองตัวเท่านั้น แต่ก็สามารถจัดการผู้ฝึกตนขั้นเปลี่ยนจิตได้ถึงสิบสามคนอย่างง่ายดาย ซึ่งในจำนวนนั้นยังมีสี่คนที่อยู่ในขั้นเปลี่ยนจิตระดับปลายอีกด้วย ด้วยพลังเช่นนี้ เกรงว่าอาจต้องพึ่งผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมถึงจะต้านทานได้
เวลานี้ เขานึกถึงตอนที่เคยใช้วิชากระจกน้ำส่องดูสัตว์ทะเลที่เห็นเพียงเศษเสี้ยว แต่กลับทำให้เขาเกือบจิตแตกกระจาย สิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเช่นนั้นจะอยู่ในระดับไหนกัน?
หลังจากเก็บศีรษะเสร็จเฉินโม่ก็ว่ายกลับมายังจุดที่ตั้งค่ายกลส่งตัว จากนั้นโยนหัวเหล่านั้นซึ่งยังคงสดใหม่ลงไปในค่ายกล แล้วควบคุมให้ส่งไปยังเป่ยโจว
ทางอีกด้านของค่ายกลเนี่ยหยวนจือได้จัดคนเตรียมพร้อมไว้แล้ว
เมื่อแสงสีขาวสว่างวาบ พวกเขาก็รีบห่อศีรษะเหล่านั้นด้วยผ้าแล้วมุ่งหน้าสู่เมืองเงาฝัน
มนตร์มายาของอี้ถิงเซิงผสานกับสัตว์ทะเลจากแคว้นไห่ผิงโจว กลายเป็นการผสมผสานที่สามารถจัดการผู้ฝึกตนระดับใดก็ได้ที่ต่ำกว่าขั้นหลอมรวม
แม้แต่อู๋เมิ่งซึ่งอยู่ในขั้นหลอมรวม หากไม่ทันตั้งตัวแล้วถูกโยนเข้าไปในปากสัตว์ทะเล เกรงว่าจะไม่ถึงตายก็คงต้องหลุดลอกชั้นหนังไปทีเดียว
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จเฉินโม่ก็กลับมาที่ผิงตูโจวโดยไม่มีทีท่าตื่นตระหนกใดๆ
“เรียบร้อยหรือ?” อี้ถิงเซิงเอียงศีรษะถาม
“อืม”
“ตายหมดแล้ว?”
“ตายหมดแล้ว”
อี้ถิงเซิงขยับปากอย่างเบื่อหน่ายพลางพึมพำเบาๆว่า
“ใช้เวลาไปเก้าสิบลมหายใจเท่านั้น ช่างง่ายดายราวกับไม่มีอะไรสำคัญเลย”
แม้เสียงจะเบา แต่เฉินโม่ก็ได้ยินอย่างชัดเจน
แต่เขาก็ไม่ได้อธิบายหรือโต้แย้งใดๆ
ยิ่งพูดมากเท่าไร อีกฝ่ายก็จะจมลึกเท่านั้น จริงหรือไม่จริงก็ไม่สำคัญ ขอเพียงเขายังสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ
“ลำบากเจ้าแล้ว”
เฉินโม่ยกมือคำนับ ทั้งสองกลับไปยังเมืองหยินเย่วพร้อมกัน
วิกฤตที่เดิมอาจกวาดล้างทั่วผิงตูโจวและอาจนำหายนะมาสู่สำนักมั่วไถกลับถูกดับลงอย่างเงียบงัน
ตั้งแต่ต้นจนจบปีศาจงูยังไม่ได้ออกโรงเลย
แม้แต่แมวขาวตัวน้อยก็ยังเล่นไม่จุใจ
ทางด้านอู๋เมิ่งที่เฝ้ารออยู่หนึ่งวันแต่ยังไร้ความเคลื่อนไหว ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินทางมายังผิงตูโจวด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตามทันทีที่เหยียบแผ่นดินด่านเฟยเทียน เขาก็สัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติทันที!
เขาพบว่าการเชื่อมต่อระหว่างเขากับผู้ฝึกตนในหน่วยเทียนหลงถูกตัดขาดทั้งหมด!
ความรู้สึกไม่ดีพลันพุ่งขึ้นมาทันที เขาไม่รอช้าใช้พลังวิเศษสูงสุดจับตัวเจียงลั่วสุ่ยผู้รับผิดชอบค่ายกลส่งตัวขึ้นมาและถามด้วยน้ำเสียงดุดันว่า
“พวกคนจากจงโจวเมื่อวานอยู่ที่ไหน?!”
เจียงลั่วสุ่ยซึ่งเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นปฐมภูมิย่อมไม่อาจต่อต้านผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมได้
โชคดีที่เจ้าสำนักได้บอกเขาไว้แล้วว่าควรตอบอย่างไร เขาจึงกล่าวว่า
“ท่านหมายถึงผู้แข็งแกร่งลึกล้ำทั้งสิบสามคนนั่นหรือ?”
“ลึกล้ำ?” อู๋เมิ่งหัวเราะเบาๆ
“ก็คงใช่ พวกเขาอยู่ไหน?”
“หลังจากพวกเขามาถึงผิงตูโจวเมื่อวานได้ไม่นาน ดูเหมือนจะมีคนจากเป่ยโจวมารับตัวไป พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปยังเป่ยโจว”
“เป่ยโจวหรือ?”
คิ้วของอู๋เมิ่งขมวดแน่น เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
หรือว่าเป่ยโจวให้การคุ้มครองผิงตูโจวอย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้?
หากมีเพียงเศษเสี้ยวของวิกฤต เป่ยโจวก็พร้อมยื่นมือเข้ามาช่วย
หากเป็นเช่นนี้จริงแผนการหนึ่งศรสองนกของเขาคงต้องจบลงก่อนจะเริ่ม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขารู้ว่าคนจากหน่วยเทียนหลงไม่ได้ตาย แต่เพียงมุ่งหน้าไปยังเป่ยโจวจนเสียการติดต่อ เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย
เมื่อรู้เช่นนี้อู๋เมิ่งจึงไม่ได้คิดจะทำร้ายเจียงลั่วสุ่ยอีก ท้ายที่สุดแล้วในสายตาของเขาคนเช่นนี้ไม่มีค่าพอที่เขาจะลงมือ
“ส่งข้าไปเป่ยโจว”
“ขอรับ ท่านผู้อาวุโส!”
เจียงลั่วสุ่ยพยายามกลั้นความกังวลในใจ แต่ก็ยังต้องฝืนความสงบเพื่อปฏิบัติตามคำสั่ง
เมื่อแสงสีขาววาบขึ้นและอีกฝ่ายหายไปต่อหน้าต่อตา เขาก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
ในตอนแรกเขาคิดว่าการดูแลค่ายกลส่งตัวเป็นงานสบายที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ ผู้คนที่ผ่านไปมามักจะมอบของกำนัลเล็กน้อยเพื่อความสะดวก แต่ใครจะคิดว่าในช่วงสองปีมานี้ คนที่เดินทางมายังผิงตูโจวล้วนเป็นใคร?
ไม่ใช่ขั้นเปลี่ยนจิตก็ต้องเป็นขั้นหลอมรวม!
คนเหล่านี้ล้วนไม่ใช่คนที่เขาจะฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ได้เลย
เมื่ออู๋เมิ่งมาถึงเป่ยโจวสิ่งแรกที่เขาทำคือหยิบ ท่อลมส่งเสียงหยินหยางออกมาเพื่อพยายามติดต่อผู้ฝึกตนของหน่วยเทียนหลง แต่ผลกลับเหมือนตอนที่เขาอยู่ที่ผิงตูโจว คือไม่มีการตอบสนองใดๆ
เขาจึงคิดไปเองว่าพวกนั้นคงไม่ได้อยู่ในเป่ยโจวแล้ว
จนกระทั่งผ้าห่อหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้า ตรงหน้าของเขาโดยตรง
ความรู้สึกไม่ดีพลันก่อตัวขึ้นในใจของอู๋เมิ่ง เขาเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
ผ้าห่อนั้นเปิดออกเองและจากข้างใน กลิ้งออกมาคือ... ศีรษะมนุษย์สิบสามหัว!
ไม่ใช่ใครอื่น ศีรษะเหล่านี้เป็นของผู้ฝึกตนขั้นเปลี่ยนจิตสิบสามคน จากหน่วยเทียนหลงที่ถูกส่งตัวไปก่อนหน้านี้!
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้อู๋เมิ่งถอยหลังไปสามก้าวติดๆกัน
ดวงตาสีแดงฉานจ้องมองศีรษะเหล่านั้นที่กลิ้งอยู่บนพื้น ไฟโทสะพุ่งทะลักขึ้นมาจากอก
“ดี! ดีมาก! ดีมากเลยฮวางฝู่หยวน!”
ทันทีที่พูดจบ อู๋เมิ่งก็เก็บศรีษะเหล่านั้นขึ้นมาแล้วแปลงเป็นสายลมตรงดิ่งเข้าไปยังใจกลางเมืองเงาฝัน
ในขณะที่เขาบุกเข้าไป ฮวางฝู่หยวนซึ่งสวมกระโปรงยาวสีดำสนิทก็ปรากฏตัวออกมาต้อนรับ
ใบหน้าของนางแม้จะแสดงความรำคาญเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาท่าทีสุภาพไว้
“อู๋เมิ่ง มาที่เมืองเงาฝัน มีธุระอะไรหรือ?”
“ธุระ? เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือ?”
“พูดให้ดีๆไม่ได้หรือ?” ฮวางฝู่หยวนตอบโต้
ผู้อื่นอาจเกรงกลัวฐานะและพลังของอู๋เมิ่ง แต่ฮวางฝู่หยวนไม่คิดให้เกียรติใดๆแก่เขา
“ฮึ! เจ้าดูสิ!”
อู๋เมิ่งโยนผ้าห่อศีรษะไปทางฮวางฝู่หยวน แต่นางจะยอมรับไว้ได้อย่างไร?
คาถาหนึ่งถูกปล่อยออกมา ก่อนที่ผ้าห่อจะเข้าใกล้ก็ระเบิดเป็นละอองเลือด
คราวนี้ไม่เหลือแม้แต่ศีรษะ!
“เจ้า!” อู๋เมิ่งโกรธจนพูดไม่ออกนี่มันการข่มขู่กันชัดๆ
ในมุมมองของเขาฮวางฝู่หยวนสามารถทำลายศพเหล่านี้ให้สิ้นซากได้ แต่กลับเจตนาเก็บศีรษะไว้แล้วทำลายต่อหน้าเขา นี่มันคำเตือนชัดๆ!
แต่สำหรับฮวางฝู่หยวน นางแค่กังวลว่าอาจมีอันตรายจึงเลือกที่จะโจมตีล่วงหน้า
เมื่อเห็นละอองเลือด นางเองก็ตกใจเล็กน้อย แต่จะอย่างไรล่ะ?
นางจะสนใจหรือ?
“พวกเราไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องของจงโจว เจ้ามาคราวนี้คิดจะก่อเรื่องหรือ?”
“ข้า? ก่อเรื่อง?” อู๋เมิ่งเกือบหัวเราะด้วยความโมโห
“เจ้าฆ่าผู้ฝึกตนของหน่วยเทียนหลง นั่นเท่ากับประกาศสงครามกับหน่วยเทียนหลง แล้วเจ้าจะมาพูดว่าข้าก่อเรื่อง?”
“ฮึ... ศีรษะพวกนั้นน่ะหรือ?” ฮวางฝู่หยวนหัวเราะเย็นชา นางไม่แม้แต่จะอธิบาย
“ดี! ดีมาก! พวกเจ้าไม่ยอมรับสินะ! เช่นนั้นข้าจะกลับไปรายงาน ฟ่านจู่ปู้ !”
“โอ้? เจ้าคือเด็กสามขวบหรือไง? มีปัญหายังต้องกลับไปหาพ่อแม่? ช่างน่าขัน” ฮวางฝู่หยวนพูดเย้ยหยัน นางไม่มีทีท่าจะเกรงใจเลย
“เจ้า!”
“เจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นหลอมรวมหรือ?” ฮวางฝู่หยวนเยาะเย้ยต่อ
“ขั้นหลอมรวมไม่ควรจะทำตามใจตัวเองหรอกหรือ? มีความแค้น ทำไมไม่ชำระมันเสียตอนนี้เลยล่ะ?”
อู๋เมิ่งถูกยั่วยุจนเดือดจัด แต่เขายังคงอดกลั้น
หากไม่มั่นใจเต็มร้อย เขาไม่มีวันลงมือโดยประมาทเด็ดขาด!
(จบบท)