บทที่ 336: สัตว์อสูรมายา
ร่างของเฉียวซางแข็งทื่อ เธอค่อยๆหันหลังกลับไปอย่างเชื่องช้า
เห็นเป็นจางหรงถังที่ยืนอยู่ ดวงตาของเขากวาดมองมาและสบสายตากับเธอ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มที่แสดงออกนั้นไม่ใช่ความสุภาพเหมือนลุงใจดีในตอนแรกแต่เต็มไปด้วยความเย็นชา
กระแสความเย็นยะเยือกพุ่งจากกระดูกสันหลังขึ้นสู่กระหม่อม เฉียวซางรู้สึกเหมือนแมวที่ถูกขู่จนขนลุก เธอหลุดเสียงสบถออกมา ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็ว
ไม่ใช่เพราะจางหรงถังที่ทำให้เธอตกใจจนต้องถอยหลัง แต่เป็นสัตว์อสูรขนาดมหึมาที่สูงเกิน 4 เมตรซึ่งยืนอยู่ข้างเขา!
อันที่จริงแล้วสัตว์อสูรไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นและสัตว์อสูรประเภทผีก็ไม่ได้น่ากลัวเสมอไป แต่ในสถานการณ์แบบนี้ที่เธอต้องเจอสัตว์อสูรขนาดใหญ่ที่กลืนตัวเองไปกับความมืด มีดวงตาสีแดงเลือดจ้องมาที่เธอพร้อมกับแสยะยิ้ม และน้ำลายที่หยดลงมาจากมุมปาก—นั่นมันน่ากลัวโคตรๆเลยล่ะ!
เพียงแค่การสบตา เธอแทบจะหัวใจวายตายตรงนั้น
นี่มันเปิดตัวแบบอะไรเนี่ย?!
แล้วยิ้มก็ยิ้มไปสิ จะจ้องมาพร้อมน้ำลายไหลทำไม?!
ดูเหมือนความกลัวของเฉียวซางจะชัดเจนเกินไป สัตว์อสูรประเภทผีที่มีดวงตาแดงฉาน "สูดปาก" ดึงน้ำลายที่เกือบหยดลงคางกลับเข้าไป
เฉียวซาง: "!!!"
ด้านอู๋ซางที่เคยมาที่สุสานบ่อยจนชินกับบรรยากาศที่ชวนขนลุก ไม่ได้ตกใจเหมือนเฉียวซางและหยาเป่า แต่สีหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยความสับสน
เขามองจางหรงถังที่กลับมาพร้อมสัตว์อสูรขนาดใหญ่ แล้วคิดถึงคำพูดที่เขาเพิ่งได้ยิน
"วิญญาณประทานโชค...ในที่สุดฉันก็ได้เจอแกสักที"
ความคิดต่างๆปะติดปะต่อกันในหัว เขารู้สึกปั่นป่วนและสับสน แต่เขาไม่ใช่คนโง่
"ลุงจาง...ทำไมลุงถึงกลับมาอีก?" อู๋ซางพยายามฝืนยิ้มแม้ว่ามันจะดูเหมือนร้องไห้มากกว่า "แล้วสัตว์อสูรภูตมารพูดพล่อยตัวนั้นที่ยืนอยู่ข้างลุงคืออะไร?"
ถึงแม้เขาจะเริ่มเดาได้บ้างแล้ว แต่ลึกๆเขายังอยากได้ยินคำตอบจากจางหรงถังเอง
ขอแค่ลุงพูดอะไรออกมา...ไม่ว่าจะพูดอะไร เขาก็อยากเชื่อคำพูดของลุงอยู่ดี
ในอดีตอู๋ซางเคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนที่ไม่มีใครต้องการ ถูกพ่อแม่ส่งต่อไปมาเหมือนลูกบอลเน่าๆลูกนึง เขาไม่เคยเข้าใจว่าทำไมพ่อแม่ถึงให้เขาเกิดมา...
อู๋ซางนึกถึงช่วงเวลาที่เขาอยู่กับคุณปู่ แม้ว่าคุณปู่จะดูแลเขาอย่างดี แต่เขากลับรู้สึกว่าเหตุผลที่แท้จริงที่คุณปู่เก็บเขาไว้ เพราะต้องการเพียงใครสักคนมาคอยเป็นเพื่อน
คนคนนั้นอาจจะเป็นใครก็ได้… อู๋อี, อู๋เอ้อร์, อู๋ซาน, อู๋ซื่อ ไม่จำเป็นต้องเป็นเขา อู๋ซาง
จนกระทั่งเขาได้พบกับจางหรงถัง
จางหรงถังเหมือนพ่อคนหนึ่งในแบบที่เขาไม่เคยมี เขาจะคอยปั่นจักรยานพาอู๋ซางไปตกปลา สังเกตเห็นทันทีเมื่ออู๋ซางไม่สบายแล้วรีบพาไปโรงพยาบาล ตอนเลือกสัตว์อสูร เขาก็ให้คำแนะนำ และยังคอยเตือนให้อู๋ซางทำการบ้าน
ทุกครั้งที่กลับบ้าน เขามักจะได้กลิ่นอาหารที่หอมอบอวลต้อนรับ
เขายังจำครั้งแรกที่พบจางหรงถังได้เสมอ ตอนนั้นลุงยิ้มและพูดว่า
"เด็กน้อย ผมหน้าม้านายยาวเกินไปแล้ว ควรจะตัดนะไม่งั้นมันจะไม่ดีต่อสายตา"
จางหรงถังทำให้อู๋ซางรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ถูกทิ้งหรือคนเกินอีกต่อไป
เป็นเวลานานที่อู๋ซางเคยคิดว่า ทำไมเขาถึงไม่ใช่ลูกของจางหรงถังกันนะ?
ลุงจางที่เขารู้จัก...จะเป็นตัวปลอมได้ยังไง?
อู๋ซางมองจางหรงถังด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
แต่สิ่งที่เขาได้รับตอบกลับกลับเป็น...
อุปกรณ์ทรงกลมโปร่งแสงชิ้นหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้า
มันตกลงครอบวิญญาณประทานโชคเอาไว้อย่างแม่นยำและช่องเปิดของอุปกรณ์นั้นปิดสนิทโดยอัตโนมัติในพริบตา
ทันใดนั้น เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นจากเหนือหัว
อู๋ซางและเฉียวซางเงยหน้ามองทันที เห็นนกยักษ์ตัวหนึ่งนักล่าปีกเหล็กพุ่งลงมาเหมือนกระสุนปืนใหญ่ มันใช้กรงเล็บอันแข็งแรงคว้าอุปกรณ์ที่ครอบวิญญาณประทานโชคไว้ แล้วบินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
"อวิ๋นอวิ๋น!" อู๋ซางตะโกนด้วยความตกใจ ขณะที่สถานการณ์ตรงหน้าทำให้หัวใจของเขาแทบแตกสลาย
นักล่าปีกเหล็กที่จับวิญญาณประทานโชคไม่ได้บินหนีไปไหนแต่กลับกระพือปีกลอยตัวหยุดอยู่ข้างๆจางหรงถัง
"อวิ๋นอวิ๋น!" วิญญาณประทานโชคที่ถูกคลุมด้วยผ้าคลุมสีขาวพยายามเคาะและโจมตีอุปกรณ์ทรงกลมที่กักขังมันไว้ แต่ไม่ว่ามันจะพยายามแค่ไหน อุปกรณ์นั้นกลับไม่เป็นรอยแม้แต่น้อย
จางหรงถังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เดิมทีฉันไม่อยากลงมืออะไรต่อหน้านาย แต่ใครใช้ให้นายพาเด็กที่มีสัตว์อสูรประเภทผีมาด้วยล่ะ”
เขามองซุนเป่าที่ลอยอยู่ข้างเฉียวซางด้วยสายตาราวกับตำหนิ ก่อนจะพูดต่อ
"มันคงเห็นภูตมารพูดพล่อยที่อยู่ข้างฉันแล้วใช่ไหมล่ะ เพราะงี้ไงฉันถึงไม่มีทางเลือก"
"ซุน?!" ซุนเป่าถึงกับนิ่งค้าง มันมองไปรอบๆแล้วชี้กรงเล็บมาที่ตัวเองด้วยความงุนงง
นี่มาเกี่ยวอะไรกับมันอีกล่ะ?!
แม้ว่าจางหรงถังจะไม่ได้ตอบคำถามของอู๋ซางโดยตรง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือคำตอบในตัวแล้ว อู๋ซางยืนมองด้วยดวงตาที่แดงก่ำ น้ำตาเอ่อคลอในขณะที่เขาพยายามสะกดไม่ให้มันไหลออกมา
"ลุงจาง...ลุงจับมันทำไม?" เขาถามด้วยเสียงสั่นเครือ
จะทำไมอีกล่ะ?! ก็ต้องการทำพันธสัญญาสิ! เฉียวซางคำรามในใจ
ให้ตายเถอะ!
นี่มันวิญญาณประทานโชค! สัตว์อสูรมายา!
สัตว์อสูรมายาเป็นสัตว์อสูรที่หายากยิ่งกว่าสัตว์อสูรระดับเทพซะอีก
สัตว์อสูรระดับเทพยังสามารถวิวัฒนาการจากสายพันธุ์ทั่วไปผ่านการวิจัยและการเลี้ยงดูจนบรรลุถึงระดับเทพได้ แต่สัตว์อสูรมายาไม่ใช่แบบนั้น
สัตว์อสูรมายาแต่ละตัวมีทักษะและลักษณะเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร และด้วยความหายากสุดขีดของมัน ทำให้ในบางแง่ มันถูกยกย่องว่ายิ่งใหญ่กว่าสัตว์อสูรระดับเทพเสียอีก!
วิญญาณประทานโชคเป็นสัตว์อสูรมายาที่สามารถทำให้ผู้คนได้รับโชคดี
ตามตำนานเล่าว่า หากใครได้รับพรจากมัน สิ่งที่คนผู้นั้นคิดในใจหรืออยากทำจะมีทั้งโลกช่วยสนับสนุนให้สำเร็จ
มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเล่าเรื่องชายคนหนึ่งที่สิ้นหวังในชีวิต ทั้งการงานและความรัก จนคิดสั้นไปกระโดดหน้าผา แต่กลับได้พบกับวิญญาณประทานโชคและได้รับพรจากมัน หลังจากนั้นเขาก็พบสัตว์อสูรที่มีขีดจำกัดสายพันธุ์จนถึงระดับเทพที่บาดเจ็บโดยบังเอิญและนำไปฝึกฝนจนสำเร็จ ชีวิตพลิกผันจนได้แต่งงานกับหญิงสาวในฝันและก้าวสู่จุดสูงสุดของชีวิต
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนั้นศึกษาข้อมูลมามากจนสร้างวิญญาณประทานโชคที่มีลักษณะโปร่งแสงและมีหูสามเหลี่ยมสองข้างที่เป็นเอกลักษณ์ เฉียวซางคงไม่กล้าเชื่อว่าสัตว์อสูรที่อยู่ตรงหน้าภายใต้ผ้าขาวผืนนั้นจะเป็นสัตว์อสูรมายาตัวเดียวกัน
สัตว์อสูรที่ทรงพลังและหายากขนาดนี้ การจับมันก็แน่นอนว่าต้องเป็นเพื่อทำพันธสัญญา ไม่มีทางทำแค่ถ่ายรูปลงโซเชียลแล้วปล่อยกลับไปแน่ๆ
เสียดายจริงๆ… ถ้าไม่มีจางหรงถัง เธออาจจะขอแค่ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกสักครั้งในชีวิต เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอสัตว์อสูรมายาอีกหรือไม่
เฉียวซางไม่ได้คิดจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องที่จางหรงถังจับวิญญาณประทานโชค เพราะการที่ผู้ฝึกสัตว์อสูรจับสัตว์อสูรมาทำสัญญาถือเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่มักเกิดขึ้นในอาณาเขตลึกลับ เนื่องจากในเมืองใหญ่ๆไม่ค่อยมีสัตว์อสูรที่เหมาะจะทำพันธสัญญาปรากฏตัว
ส่วนตัวเธอเองนั้นไม่ได้คิดถึงการทำพันธสัญญากับวิญญาณประทานโชคเลยแม้แต่น้อย
เธอรู้ดีว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะกับตัวเอง แถมตอนนี้ตำราผู้ฝึกสัตว์อสูรของเธอยังไม่มีหน้าที่สี่เลย ลำพังตอนนี้แค่เลี้ยงหยาเป่ากับลู่เป่ายังแบกภาระค่าใช้จ่ายแทบไม่ไหวแล้วเลย
ในกรณีของลู่เป่าที่เธอทำสัญญากับมันนั้น เพราะมันร่อนเร่หลบหนีจนมาอยู่ในสระน้ำบ้านเธอ จนมีโอกาสได้ผูกมิตรและสานสัมพันธ์
แต่วิญญาณประทานโชคไม่ใช่แบบนั้น เธอไม่เคยพูดคุยหรือสร้างความสัมพันธ์กับมันเลยแม้แต่นิดเดียว
ที่สำคัญแม้ว่าเธออยากจะช่วยมันจริงๆก็ไม่มีทางสู้ได้อยู่ดี เฉียวซางรู้ตัวว่าเธอไม่มีความเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวในตัวเลยสักนิดเดียว
"จับมันเหรอ?" จางหรงถังหัวเราะเบาๆเขารับอุปกรณ์ทรงกลมจากกรงเล็บของนักล่าปีกเหล็กมาถือไว้ในมือ มองดูวิญญาณประทานโชคภายในอย่างพินิจ
"ฉันก็ไม่อยากจัดการมันด้วยวิธีนี้หรอก แต่ทำไงได้ มันเอาแต่หลบหน้าฉัน ฉันเลยต้องทำแบบนี้"
"อวิ๋นอวิ๋น!" วิญญาณประทานโชคตะโกนอย่างโกรธแค้น มันพยายามโจมตีอุปกรณ์อีกครั้ง แต่ทุกครั้งมันก็ไร้ผล
จางหรงถังมองดูมันด้วยสายตาเหมือนกำลังมองเด็กดื้อคนหนึ่ง
"ไม่มีประโยชน์หรอก นี่เป็นอุปกรณ์ที่ฉันลงทุน…"
คำพูดของเขาถูกขัดจังหวะด้วยเปลวไฟร้อนแรงที่พุ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน
"ย่าห์!"
โดยไม่มีคำสั่งของเฉียวซาง หยาเป่าเปิดศึกและทำการโจมตีโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า!