บทที่ 32 พุทธทองปราบผี เพลิงนรกหลอมดาบ
###
เหล่าวิญญาณร้ายที่ถูกควบคุมโดยพลังแห่งความเคียดแค้นนั้น แม้จะไม่มีสติปัญญามากนัก แต่จากท่าทีและคำพูดของจางจิ่วหยาง ดูเหมือนพวกมันจะรับรู้ถึงความอัปยศที่ถูกลบลู่
ชั่วพริบตา พลังแห่งความเคียดแค้นที่สั่งสมมานานก็ระเบิดออก
ตูม!
ยันต์ที่ติดอยู่ในห้องลุกไหม้ขึ้นเป็นเปลวเพลิงทันที อากาศในห้องร้อนระอุขึ้นจนแทบทนไม่ไหว อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
จางจิ่วหยางเผยสีหน้าประหลาดใจ วิญญาณร้ายพวกนี้ช่างแปลกประหลาดนัก เหล่าผีที่ตายจากเพลิงไหม้กลับมีพลังในการก่อเพลิงได้
“ช่วยด้วย!”
พ่อบ้านโจวร้องลั่นด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเสื้อผ้าของเขาเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือไฟนี้ไม่ว่าจะพยายามดับอย่างไรก็ดับไม่ลง เปลวไฟกำลังจะลามไปถึงตัวของพ่อบ้านโจวอยู่แล้ว จางจิ่วหยางจึงเอ่ยเรียกเสียงเข้ม “อาหลี่!”
“มาแล้วเจ้าค่ะ!”
ทันใดนั้น อาหลี่ก็ลอยออกมาจากหุ่น กลายเป็นสายลมเย็นที่พัดผ่านตัวของพ่อบ้านโจว พลังแห่งความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเขา ไม่นานนักเปลวเพลิงก็ถูกดับลง
“กล้าดียังไง!”
วิญญาณร้ายตนหนึ่งคำรามเสียงดัง ร่างกายลุกโชนด้วยเปลวเพลิงพุ่งเข้าใส่อาหลี่ด้วยความอาฆาต
วิญญาณร้ายที่ตายจากการถูกไฟคลอกมักจะเต็มไปด้วยความเคียดแค้น และมีพลังรุนแรง ดูคล้ายคนบ้าคลั่งไร้สติ
แต่ก่อนที่มันจะถึงตัวอาหลี่ เสียงดังกังวานของดาบก็ดังขึ้น คล้ายเสียงโลหะกระทบกัน
เคร้ง!
แสงดาบพุ่งวาบผ่านราวกับเงาสะท้อนบนผิวน้ำ
วิญญาณร้ายที่ลุกเป็นไฟร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ร่างของมันถูกดาบแทงทะลุและปักติดอยู่กับกำแพง พู่ดาบสีทองปลิวไสว แม้มันจะพยายามดิ้นรนเพียงใดก็ไม่อาจขยับได้
ดาบไท่เยว่ซึ่งเป็นดาบชื่อดังในยุคนี้มีความคมกริบอย่างยิ่ง เมื่อประกอบกับร่างกายที่ผ่านการชำระล้างโลหิตของจางจิ่วหยาง การฟันดาบเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ปลายดาบปักลึกเข้าไปในกำแพงได้ถึงหลายชุ่น
ดาบโบราณที่เคยผ่านสมรภูมิรบมาอย่างโชกโชนมีพลังสังหารในตัวเอง ทำให้วิญญาณร้ายร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เปลวเพลิงและควันดำบนร่างของมันก็ค่อย ๆ มอดดับลง
เหล่าวิญญาณร้ายที่เหลือต้องการเข้ามาช่วยเหลือเพื่อนของพวกมัน แต่จางจิ่วหยางยืนขวางไว้พร้อมกับประสานมือร่ายมนตร์
“ฟ้ากลมดินเหลี่ยม มนุษย์หลบซ่อนในเก้าทิศ มังกรเขียวช่วยเสริม พยัคฆ์ขาวคุ้มครอง ก่อนกำจัดภูตผีร้าย ต้องขจัดเคราะห์ภัย...”
พร้อมกับคำสวด พลังในร่างของจางจิ่วหยางก็พลุ่งพล่านราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก เสื้อคลุมของเขาปลิวไสวไปตามแรงลม เส้นผมยาวลอยขึ้นเล็กน้อย พลังที่มองไม่เห็นแผ่กระจายออกมา ทำให้เหล่าวิญญาณร้ายต่างถอยร่นด้วยความหวาดกลัว
เพียงแค่ได้ยินบทสวดปราบภูตผีของจงขุย พวกมันก็รู้สึกตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น ราวกับถูกพลังบางอย่างกดขี่
นี่คือเหตุผลที่จางจิ่วหยางกล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเขาได้รับการถ่ายทอดพลังจากจงขุย ผู้เป็นเทพเจ้าปราบผี ทำให้การต่อสู้กับวิญญาณร้ายของเขาได้เปรียบมาก
แต่ในขณะเดียวกัน นายท่านแห่งตระกูลโจวที่ดูนิ่งเงียบมาตลอดก็กลับโยนกระจกทองเหลืองในมือทิ้ง ก่อนจะหยิบเศษกระจกที่แตกขึ้นมา แล้วกรีดเข้าที่คอตัวเอง
เลือดสด ๆ ไหลซึมออกมา แต่เขากลับไม่มีทีท่าว่าจะเจ็บปวดแต่อย่างใด ซ้ำยังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“เจ้าพวกนักพรต หยุดเดี๋ยวนี้!”
“ไม่เช่นนั้นเราจะฆ่าเขาเดี๋ยวนี้!”
“ออกไปซะ!”
เหล่าภูตผีเริ่มรู้สึกหวาดกลัว พวกมันพบว่าจางจิ่วหยางมีฝีมือเกินคาด จึงคิดจะใช้ชีวิตของนายท่านแห่งตระกูลโจวเป็นเครื่องต่อรอง
จางจิ่วหยางมองเลือดที่ไหลออกจากลำคอของนายท่านแห่งตระกูลโจวด้วยความเคร่งเครียด เขารู้สึกถึงข้อจำกัดบางอย่าง
“ฮ่า ๆ ๆ พ่อบ้านโจว ดูเหมือนนักพรตที่เจ้าหามาก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรเลย!”
ในขณะที่สถานการณ์กำลังเข้าสู่ทางตัน เสียงหัวเราะก้องกังวานก็ดังขึ้น คล้ายเสียงระฆังที่สะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ
“อมิตาพุทธ ให้อาตมาช่วยจัดการพวกมันเองเถิด!”
ทันใดนั้น พระรูปร่างกำยำผู้หนึ่งในจีวรสีเหลือง หนวดเคราดกหนา ก้าวเข้ามาในห้อง เขาอุ้มพระพุทธรูปทองคำสูงประมาณหนึ่งศอกไว้ในมือ
“นักพรตน้อย ดูวิธีของอาตมาเถิด!”
เขาหัวเราะเสียงดังพร้อมกับสวดมนต์ขึ้น ทันใดนั้น พระพุทธรูปทองคำในมือของเขาก็เปล่งแสงเจิดจ้า ส่องสว่างไปทั่วทั้งห้อง
เมื่อถูกแสงทองส่องถึง เหล่าภูตผีต่างร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ร่างของพวกมันเริ่มละลายราวกับถูกเผา
ด้วยความไม่ทันตั้งตัว แม้แต่อาหลี่ก็ยังถูกแสงทองนั้นลวกจนใบหน้าชมพูระเรื่อ นางรีบหลบเข้าไปในหุ่นเงาด้วยความตกใจ
“พี่จิ่ว พระทององค์นั้นน่ากลัวจริง ๆ!”
จางจิ่วหยางมองเหล่าภูตผีที่ถูกแสงพุทธรูปบีบบังคับจนไม่อาจซ่อนตัวได้ พลางสังเกตพระพุทธรูปทองคำที่ปล่อยแสงไม่หยุด เขารู้สึกสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของพระผู้นี้
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ เมื่อเขาเห็นพระพุทธรูปทองคำ เขากลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
พ่อบ้านโจวเดินเข้ามากระซิบเบา ๆ “ท่านจาง นี่คือหลวงจีนเหนิงเหรินจากวัดจินเซิน”
จางจิ่วหยางหัวเราะเยาะในใจ
คนผู้นี้มาได้จังหวะพอดี ราวกับกลัวว่าตนเองจะชิงส่วนแบ่งไปเสียก่อน
แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เพราะเสียงของอาหลี่ดังขึ้นในหูของเขา
“พี่จิ่ว พระทองของหลวงพ่อองค์นี้ดูน่ากลัวก็จริง แต่เขาประเมินเหล่าภูตผีต่ำไป พวกมันน่ะร้ายกาจกว่าที่คิดนะ~”
อาหลี่มีพลังพิเศษในการพยากรณ์ ดังนั้นสิ่งที่นางพูดไม่ใช่คำพูดลอย ๆ
ในขณะที่หลวงจีนเหนิงเหรินยังคงแสดงความมั่นใจ เหล่าภูตผีที่ถูกแสงพุทธรูปเผาจนเกือบละลายกลับค่อย ๆ รวมตัวกันจนกลายเป็นร่างยักษ์สูงกว่าหนึ่งจ้าง มีหัวมากมายนับไม่ถ้วน
พลังงานอาฆาตแผ่กระจายออกมา พวกมันส่งเสียงคำรามที่ชวนให้ขวัญผวา ขณะเดียวกันร่างของมันก็ปล่อยประกายไฟออกมาเป็นระยะ
“เจ็บปวดเหลือเกิน!”
“ทำไมต้องเผาเราด้วย!”
“ท่านแม่ ข้าทรมานเหลือเกิน!”
“ร้อน...ร้อนเหลือเกิน!”
...
ทันใดนั้น สีหน้าของหลวงจีนเหนิงเหรินก็เปลี่ยนไปด้วยความตื่นตระหนก เขาเห็นเหล่าภูตผียักษ์เดินฝ่าแสงพุทธรูปเข้ามาใกล้ทีละก้าว พื้นที่พวกมันเหยียบย่างล้วนทิ้งรอยเท้าดำเกรียมขนาดใหญ่ไว้
“แย่แล้ว! พวกมันรวมร่างได้ด้วยหรือ?”
เมื่อไม่รวมภูตผีที่ถูกดาบไท่เยว่ตรึงไว้ เหล่าภูตผีทั้งสามสิบตนรวมร่างกันกลายเป็นปีศาจตนหนึ่งที่น่าสะพรึงกลัว มันส่งเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดและโกรธแค้น
ตูม!
ทันใดนั้น เปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้นรอบด้าน เมื่อจางจิ่วหยางมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง ก็พบว่าพวกเขาทั้งหมดตกอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิง ขณะเดียวกันส่วนต่าง ๆ ของบ้านก็ค่อย ๆ พังทลายลง
“นายท่าน พวกเราจะทำอย่างไรกันดี?”
ในทะเลเพลิงนั้น เหล่าคนรับใช้ต่างรวมตัวกันด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง
จางจิ่วหยางเบิกตากว้างเมื่อเห็นชายผู้หนึ่งซึ่งถูกเรียกว่านายท่าน เขามีใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางสง่างาม และดูอายุราวสี่สิบปี
ลู่เหยาเซิง!
เพียงพริบตาเดียว จางจิ่วหยางก็เข้าใจแผนการของเหล่าภูตผี พวกมันต้องการให้พวกเขาได้สัมผัสกับความเจ็บปวดจากการถูกไฟคลอกตายเช่นเดียวกับที่พวกมันเคยเผชิญมาก่อน
นี่คือประสบการณ์ของพวกมันก่อนตาย!
ในทะเลเพลิง ลู่เหยาเซิงกอดบุตรชายที่เพิ่งครบเดือนแน่นพลางตะโกนเสียงดัง “เจ้าจะฆ่าข้าก็ได้ แต่เหตุใดจึงต้องตัดขาดสายเลือดตระกูลลู่ของข้าด้วย!”
“ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว ขอร้องล่ะ ปล่อยเขาไปเถิด!”
เขาคุกเข่าก้มหัวลงกับพื้น เลือดสด ๆ ไหลอาบจากหน้าผากของเขา
“ข้าขอร้องล่ะ ปล่อยลูกชายของข้าสักคนเถิด!”
แต่ไม่มีปาฏิหาริย์ใดเกิดขึ้น เปลวเพลิงแผ่ขยายออกไปจนกลืนกินทุกคนในตระกูลลู่ทั้งสามสิบสองคน รวมถึงบุตรชายในอ้อมแขนของลู่เหยาเซิงด้วย
.....
“นักพรตน้อย อย่ามัวแต่ยืนนิ่ง หากมีวิธีใดก็รีบใช้ให้หมดเถอะ!”
หลวงจีนเหนิงเหรินเหงื่อไหลเต็มใบหน้า มือที่ถือพระพุทธรูปทองคำส่องแสงเจิดจ้า พยายามขัดขวางทะเลเพลิงที่ลุกโชนรอบด้านอย่างสุดกำลัง
“พวกมันต้องการเผาเราทั้งเป็น!”
“และไฟนี้ประหลาดนัก มันดูเหมือนจริงแต่ก็เหมือนไม่จริง เกรงว่าในโลกความจริงอาจไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ หากไม่รีบหาวิธีแก้ไข ก่อนที่คนภายนอกจะรู้ตัว เราคงเหลือแต่ซากศพที่ถูกไฟคลอก!”
พระพุทธรูปทองคำในมือของเขาเริ่มร้อนขึ้นจนแทบถือไม่ไหว และเริ่มมีหยดทองเหลวไหลออกมา
ก่อนหน้านี้เขาใช้แสงพุทธรูปเพื่อเผาวิญญาณร้ายให้ละลาย บัดนี้เหล่าวิญญาณร้ายกลับใช้ไฟเผาพระพุทธรูปคืน เป็นการแก้แค้นที่โหดเหี้ยมอย่างแท้จริง
“ท่านจาง ช่วยด้วย!”
พ่อบ้านโจวร้องขอความช่วยเหลือด้วยเสียงสั่นเครือ ร่างกายของเขาสั่นสะท้านด้วยความกลัว
จางจิ่วหยางตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ไม่ต้องตกใจ ใกล้จะได้เวลาแล้ว”
สิ้นคำพูด เสียงของอาหลี่ก็ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูเหนื่อยล้า
“พี่จิ่ว...รับดาบ!”
ทันใดนั้น ดาบเล่มหนึ่งก็พุ่งผ่านทะเลเพลิงมาหยุดอยู่ตรงหน้าจางจิ่วหยาง เขายื่นมือออกไปรับดาบไว้ในมือ ด้ามดาบที่ประดับด้วยหยกขาวให้ความรู้สึกเย็นสบายอย่างน่าประหลาด ไม่มีความร้อนแผ่ออกมาแม้แต่น้อย
อาหลี่หายใจแรงอย่างเหนื่อยล้า การดึงดาบข้ามทะเลเพลิงมาเช่นนี้ทำให้นางหมดแรงไม่น้อย
“หลวงจีนเหนิงเหริน ข้าขอให้ท่านอดทนอีกสักครู่”
จางจิ่วหยางยกดาบขึ้นเบื้องหน้า แสงดาบอันสว่างไสวสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา
“นักพรตน้อย เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าคิดว่าจะสำเร็จหรือไม่?”
ดวงตาของจางจิ่วหยางเปล่งประกายคมกริบ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเพียงสองคำ
“หลอมดาบ”