บทที่ 29 เพลงยินดี
###
ยามค่ำคืน ณ คฤหาสน์ฉุย
บุตรชายคนโตของตระกูลฉุยสวมชุดไว้ทุกข์ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย
บิดาได้ถูกฝังแล้ว น้องชายถูกตัดสินประหารชีวิต อีกไม่นานจะถูกประหาร ดังนั้นทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลฉุยจึงตกเป็นของเขาโดยสมบูรณ์
ท่ามกลางความวุ่นวาย เขากลายเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุด
ตามธรรมเนียม เมื่อบิดามารดาเสียชีวิต บุตรควรไว้ทุกข์เป็นเวลาสามปี ในช่วงเวลาดังกล่าวจะต้องงดการร้องรำทำเพลง งดการแต่งงานหรือรับอนุภรรยา และงดการมีสัมพันธ์สวาท อีกทั้งยังต้องปลูกเพิงพักอยู่ข้างหลุมศพบิดามารดา และห้ามรับประทานเนื้อสัตว์หรือดื่มสุราเป็นเวลา 14 วัน
ทว่าบุตรชายคนโตของตระกูลฉุยกลับแอบกลับมาคฤหาสน์ในยามค่ำคืน ถอดชุดไว้ทุกข์ทิ้งไป และสั่งให้คนนำอาหารเลิศรสมาวางให้เขากินอย่างเอร็ดอร่อย
“หลายวันมานี้กินแต่ผักปากจะจืดเป็นนกแล้ว” เขาบ่นพลางหัวเราะด้วยความพึงพอใจ
ขณะที่เขากำลังดื่มกินอย่างสำราญใจ พลันเปลวเทียนในห้องก็ดับวูบลงด้วยลมเย็นวูบหนึ่ง ทำให้บรรยากาศตกอยู่ในความมืดสนิท
แกร๊ก!
หน้าต่างถูกลมพัดเปิดออก ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องสว่าง ร่างเงาหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่าง รูปร่างสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลา ดวงตาใสกระจ่างจนยากจะลืมเลือน
“จาง…จางเต๋าฝ่าหรือ?”
บุตรชายคนโตของตระกูลฉุยเผยรอยยิ้มแหย ๆ พลางวางแก้วสุราและอาหารในมือลงด้วยความกระอักกระอ่วน
จางจิ่วหยางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนกล่าวว่า “คุณชายฉุย ข้ามาเพื่อรับของสิ่งหนึ่งที่บิดาของเจ้าสัญญาไว้ โสมอายุสามร้อยปี”
เมื่อได้ยินดังนั้น บุตรชายคนโตของตระกูลฉุยชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะกลอกตาและยิ้มพลางกล่าวว่า “จางเต๋าฝ่า ท่านช่วยล้างมลทินให้บิดาข้า ข้าย่อมสำนึกในบุญคุณ และยินดีมอบทองคำร้อยตำลึงเป็นของขวัญตอบแทน แต่สำหรับ…โสมอายุสามร้อยปี ข้าไม่ทราบจริง ๆ ว่าท่านพูดถึงสิ่งใด”
ลู่ตงลี่ ข้าหลวงใหญ่แห่งเมืองชิงโจวผู้ชื่นชอบการบำเพ็ญเพียร เคยเปรยกับเขาหลายครั้งว่าต้องการโสมอายุสามร้อยปีต้นนี้ ในอดีตเขาไม่มีอำนาจตัดสินใจ แต่บัดนี้เมื่อเขาได้ครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลฉุย ย่อมต้องการประจบผู้มีอำนาจผู้นั้น
เขามีความทะเยอทะยาน มุ่งมั่นที่จะนำพาตระกูลฉุยให้ยิ่งใหญ่กว่าที่บิดาเคยทำได้
จางจิ่วหยางส่ายศีรษะพลางถอนหายใจเบา ๆ “เมื่อความโลภเกิดขึ้น ความหายนะย่อมตามมา”
ตะเกียบที่ถูกเหลาให้แหลมเล่มหนึ่งลอยขึ้นมาโดยไม่มีใครแตะต้อง และจ่อคอหอยของบุตรชายคนโตของตระกูลฉุยอย่างน่าประหลาด
เสียงใสของอาหลี่ดังขึ้น
“คุณอาคนนี้ไม่ซื่อสัตย์เลยนะ”
กลืนน้ำลายลงคอ บุตรชายคนโตของตระกูลฉุยเหงื่อแตกพลั่ก ราวกับสายฝนที่โปรยปรายลงมา
จางจิ่วหยางจ้องมองเขา ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า “คุณชายฉุย วันนี้ต่อให้ข้าไม่มา เจ้าก็คงเตรียมคนไว้คอยสกัดโลงศพไว้แล้วใช่หรือไม่?”
บุตรชายคนโตของตระกูลฉุยชะงักไปชั่วขณะ ดวงตาฉายแววเลิ่กลั่ก
“ท่านเต๋าฝ่าพูดเรื่องอะไร ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ” เขาพยายามปฏิเสธ
จางจิ่วหยางไม่สนใจคำพูดของเขา เอ่ยต่อว่า “ความจริงเจ้าน่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าท่านเฒ่าฉุยถูกน้องชายกับอวี้ฉินวางแผนฆ่า แต่เจ้ากลับนิ่งดูดาย เพราะรอจังหวะที่ดีที่สุดในการลงมือ”
บุตรชายคนโตของตระกูลฉุยยังคงพยายามแก้ตัว แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินคำพูดที่ทำให้เขาหวาดผวา
“เหตุใดอวี้ฉินที่แต่เดิมมีสัมพันธ์กับน้องชายของเจ้า จึงถูกท่านเฒ่าฉุยรับไปเป็นภรรยา นี่คงเป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่”
ใบหน้าของเขาซีดเผือดลงในทันที ก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยความสิ้นหวัง
“สมแล้วที่ได้ฉายาว่าเซียนครึ่งองค์ผู้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่เรื่องลับเช่นนี้ท่านยังล่วงรู้ได้ แต่ต่อให้ท่านฆ่าข้าต่อหน้าผู้อื่น ข้าก็ไม่มีวันยอมรับ”
นี่คือแผนการที่เขาภาคภูมิใจนัก บิดาเคยลำเอียงรักน้องชายมากกว่า แต่เขากลับใช้เพียงผู้หญิงคนเดียวก็สามารถทำให้ทั้งสองบาดหมางกันได้
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังทำให้บิดารับหญิงงามมาเป็นภรรยาใหม่ จนร่างกายทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เขาได้เข้าครอบครองทรัพย์สินของตระกูลเร็วยิ่งขึ้น นับว่าเป็นแผนการที่ได้ผลสองต่อ
“โปรดรอสักครู่ ท่านเต๋าฝ่า ข้าจะไปนำโสมอายุสามร้อยปีมาให้ท่านเดี๋ยวนี้”
บุตรชายคนโตของตระกูลฉุยไม่ได้พยายามบ่ายเบี่ยงอีกต่อไป เขาเดินไปยังคลังเก็บของและนำโสมมาให้ด้วยความซื่อสัตย์ แม้จะมองไม่เห็น แต่เขาก็สัมผัสได้ว่ามีความเย็นยะเยือกบางอย่างแฝงอยู่รอบตัวเขา
จางจิ่วหยางรับกล่องไม้จันทน์จากมือของบุตรชายคนโต เปิดออกดู พบว่าภายในมีโสมที่มีรากพันเกี่ยวกันอย่างสวยงาม รูปร่างยาวเรียวดูสง่างาม มีลักษณะคล้ายมนุษย์อยู่ราง ๆ
ว่ากันว่าโสมดูดซับพลังแห่งฟ้าดิน หากมีอายุครบห้าร้อยปีก็จะกลายเป็นราชาโสม และหากครบพันปีก็จะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณในร่างและมีความสามารถในการหลบหนีลงดินได้
เมื่อพิจารณาจากโสมอายุสามร้อยปีต้นนี้ เรื่องเล่านั้นอาจไม่ได้เป็นเพียงแค่ข่าวลือ
ทันทีที่เปิดกล่องออก กลิ่นหอมของยาสมุนไพรอันแรงกล้าก็พุ่งเข้าสู่จมูก ปะปนด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของดินแดนป่าเขา ทำให้จิตใจสดชื่นอย่างประหลาด
“ท่านเต๋าฝ่า เมื่อท่านได้รับโสมนี้ไปแล้ว ข้าขอเพียงท่านอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป”
เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อ “ข้ามีความสัมพันธ์อันดีกับลู่ตงลี่ ข้าหลวงใหญ่แห่งเมืองชิงโจว”
น้ำเสียงของเขาแฝงนัยเตือนอยู่ในที
ในฐานะบุตรชายคนโตของตระกูลฉุย เขารู้ดีว่าราชสำนักมีองค์กรหนึ่งชื่อว่าฉินเทียนเจี้ยน ซึ่งมีอำนาจในการควบคุมและข่มขู่ผู้มีวิชาในยุทธภพ
จางจิ่วหยางหัวเราะเสียงดัง ก่อนเอ่ยว่า “คุณชายฉุย บิดาของเจ้าเคยมาหาข้าเมื่อไม่กี่วันก่อนเพื่อให้ข้าทำนายว่าใครควรเป็นผู้รับช่วงต่อกิจการของตระกูลฉุย”
บุตรชายคนโตของตระกูลฉุยยิ้มอย่างขมขื่น “ข้ารู้เรื่องนี้ดี ท่านเต๋าฝ่าคงพูดให้ดีแก่ลูกคนรอง เพราะหลังจากนั้นบิดาก็เลือกเขา”
จางจิ่วหยางส่ายหัวพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ก่อนกล่าวประโยคที่ทำให้บุตรชายคนโตงุนงง
“ข้าบอกเขาว่า บุตรทั้งสองคน ไม่มีผู้ใดเหมาะสม”
ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ตอบ จางจิ่วหยางก็สะบัดแขนเสื้อแล้วหายไปในความมืดทันที
บุตรชายคนโตของตระกูลฉุยนั่งทรุดลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง แผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น
........
จางจิ่วหยางออกจากคฤหาสน์ฉุยแล้วเหลียวกลับไปมองอีกครั้ง คฤหาสน์อันโอ่อ่าและสง่างามแห่งนี้ราวกับเขาได้เห็นภาพของมันที่ล่มสลายภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า
บุตรชายคนโตของตระกูลฉุยมีความทะเยอทะยานสูงส่ง หวังนำพาตระกูลให้ยิ่งใหญ่ขึ้น แต่กลับเลือกข้างผิด
ในการแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก การเลือกข้างผิดย่อมหมายถึงการถูกกำจัด เมื่อข้าหลวงใหญ่ลู่ตงลี่แห่งเมืองชิงโจวล่มสลายลง ตระกูลฉุยซึ่งดูเหมือนเป็นตระกูลใหญ่โตย่อมกลายเป็นเพียงผงธุลีที่ถูกพัดพาไป
น่าเวทนาที่บิดาของเขาซึ่งทุ่มเทแรงกายแรงใจมาตลอดชีวิตเพื่อสร้างกิจการใหญ่โตให้แก่ตระกูล กลับต้องสูญสิ้นทุกอย่างไปในพริบตา
นี่จึงเป็นเหตุผลที่จางจิ่วหยางบอกกับบิดาของเขาในครั้งนั้นว่า “บุตรทั้งสองคนของท่าน ไม่มีผู้ใดเหมาะสม”
“คนทั้งหลายต่างรู้ว่าการเป็นเซียนนั้นวิเศษ แต่ไม่มีผู้ใดลืมเลือนชื่อเสียงและลาภยศได้
เหล่าขุนศึกทั้งหลายในอดีตบัดนี้อยู่หนใด? มีเพียงเนินหญ้าปกคลุมสุสานไร้ชื่อ
คนทั้งหลายต่างรู้ว่าการเป็นเซียนนั้นดี แต่ไม่มีผู้ใดลืมเลือนเงินทองได้
ทั้งวันพร่ำบ่นว่าได้มาไม่มากพอ ครั้นได้มากพอแล้วก็ปิดตาลงชั่วนิรันดร์”
เขาร่ายบทกวีนี้ด้วยเสียงเบา ๆ พลางรู้สึกสะท้อนใจอย่างลึกซึ้ง ราวกับมองเห็นภาพเหล่าขุนศึกและกษัตริย์ที่กลายเป็นเพียงซากกระดูก เงินทองนับหมื่นก็กลายเป็นของว่างเปล่า
ฤดูหนาวผ่านพ้น ฤดูใบไม้ผลิเข้ามาแทนที่ ความหนาวและความร้อนไม่เคยหยุดนิ่ง
มีเพียงดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าเท่านั้น ที่ยังคงส่องแสงไม่เปลี่ยนแปลงผ่านกาลเวลา
“พี่จิ่ว ท่านไม่ต้องกังวลนะ”
อาหลี่คล้ายจะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในจิตใจของเขา นางจูงมือเขาพลางเงยหน้าพูดด้วยน้ำเสียงใส “อาหลี่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นจะไม่มีวันตายอีกแล้ว”
“อาหลี่จะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป”
จางจิ่วหยางชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง พลางลูบศีรษะของนาง และขณะที่กำลังจะพูดต่อ ก็ได้ยินเสียงใสของนางดังขึ้นอีกครั้ง
“พี่จิ่ว ถ้าท่านรีบตายเสียตอนนี้ ท่านก็จะไม่ต้องแก่เลยนะ~”
เพี๊ยะ!
จางจิ่วหยางถึงกับหัวเราะไม่ออก ยกมือเคาะศีรษะนางเบา ๆ ด้วยความหมั่นไส้
“พูดอะไรออกมา เด็กน้อยไม่รู้ความ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนได้โปรดอย่าถือสาเด็กเลย”
อาหลี่ทำหน้าทะเล้นใส่ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปซ่อนในหุ่นเงา พลางบ่นพึมพำ
“ข้าไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อย ข้าอายุแปดขวบแล้วนะ~”