บทที่ 19 หอคอยผนึกมาร
"เจ้าหนุ่ม พร้อมจะก้าวสู่ขั้นจื่อฝู่ระดับสามแล้วหรือไม่...!"
ดิงแหยหัวเราะอย่างภาคภูมิใจหลังจากได้กลืนกินจี้หยกเพลิงวิญญาณ จากนั้นพลังอันมหาศาลก็ไหลทะลักเข้าสู่เส้นลมปราณของหลินยวี่ราวกับคลื่นน้ำ
หลินยวี่ไม่กล้าประมาท รีบหมุนเวียนเคล็ดวิชาหัวใจจักรพรรดิ พยายามบรรลุขั้นจื่อฝู่ระดับสาม
เวลาผ่านไป พลังที่แผ่ออกจากร่างของหลินยวี่ก็ยิ่งทวีความแข็งแกร่ง แผ่นหินบนพื้นกระท่อมไม่อาจทนต่อแรงกดดันมหาศาลนี้ได้ เสียงแตกร้าวดังเปรี๊ยะๆ รอยร้าวเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนแผ่นหิน
จากนั้นหลินยวี่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ในชั่วพริบตานั้น ราวกับมีสายฟ้าแลบผ่านกระท่อม พลังที่แผ่ออกจากร่างเขาพุ่งสูงขึ้นไม่หยุด แผ่นหินใต้เท้าแตกละเอียดเป็นผุยผงภายใต้แรงกดดัน
ในตอนนี้ เพียงแค่พลังและแรงกดดันที่แผ่ออกจากร่างของเขา ก็สามารถบดขยี้นักยุทธ์ขั้นเซียนได้อย่างง่ายดาย
"ในที่สุดก็ได้บรรลุขั้นจื่อฝู่ระดับสามแล้ว!"
หลินยวี่เก็บพลังอันน่าสะพรึงกลัวกลับเข้าร่าง แล้วส่ายหน้าพลางยิ้มขื่น กล่าวกับดิงแหยเบาๆ ว่า "ต่อจากนี้การจะก้าวสู่ขั้นจื่อฝู่ระดับสี่คงลำบากแล้ว สัตว์อสูรขั้นจื่อฝู่ในเขตต้องห้ามของเทือกเขาฉีเหลียนต่างหลบหนีข้าไปหมด ตอนนี้การล่าพวกมันยากเย็นนัก!"
อีกทั้งสัตว์อสูรขั้นเซียนรอบนอกเทือกเขาฉีเหลียนก็ถูกเขาสังหารไปหลายรอบ ต่อไปคงต้องผ่านไปสิบกว่าปีกว่าจะมีคลื่นสัตว์อสูรปรากฏอีกครั้ง
"จริงๆ แล้ว ยังมีอีกที่หนึ่งที่จะช่วยให้เจ้าฝึกฝนไปจนถึงขั้นหมื่นภาพได้โดยไม่มีปัญหา!"
ดิงแหยหัวเราะฮิๆ พูดอย่างลึกลับ
"ขั้นหมื่นภาพ!"
สีหน้าของหลินยวี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขากล่าวเสียงต่ำ "ดิงแหย ที่ท่านพูดถึงคงไม่ใช่ที่นั้นกระมัง?"
"เจ้าเดาถูกแล้ว นั่นคือหอคอยผนึกมาร!"
ดิงแหยยิ้มพลางกล่าว "ในหอคอยผนึกมารมีเหล่าปีศาจและมารร้ายถูกกักขังอยู่ ขอเพียงข้ากลืนกินพวกมันแล้วสกัดเอาพลัง พลังที่ได้ก็เพียงพอให้เจ้าบรรลุขั้นหมื่นภาพได้!"
สีหน้าของหลินยวี่เต็มไปด้วยความลำบากใจ "ดิงแหย หอคอยผนึกมารไม่เพียงมีทหารองครักษ์คอยเฝ้า ยังมีกลไกป้องกัน และที่สำคัญคือตัวหอคอยเองก็มีคาถาผนึก พวกปีศาจและมารร้ายไม่มีทางออกมาจากหอคอยได้ ข้าก็ไม่มีทางเข้าไปได้ แล้วจะช่วยท่านกลืนกินพวกปีศาจและมารร้ายได้อย่างไร?"
"มีข้าอยู่ เจ้ากังวลอะไร วันหลังพาข้าไปสำรวจที่หอคอยผนึกมารก่อนแล้วค่อยว่ากัน!"
ดิงแหยกำชับหลินยวี่ จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีทองกลับเข้าไปในห้วงจิตของเขา
...
ในวังหลวงต้าฮั่น จักรพรรดิมองหัวหน้าองครักษ์ลับที่ยืนอยู่เบื้องล่าง สีหน้าเคร่งเครียด
"เจ้าบอกว่าคณะทูตน่านหวงสังหารสายลับที่เจ้าส่งไป แล้วหายตัวไปจากจวนรับรอง?"
จักรพรรดิแค่นเสียงเย็น ไม่พอใจอย่างยิ่ง "ที่นี่คือราชธานีของเรา คณะทูตน่านหวงกล้าหายตัวไปเฉยๆ เช่นนี้ เจ้าไม่คิดจะให้คำอธิบายกับเราหรือ?"
หัวหน้าองครักษ์ลับเหงื่อไหลโทรม คำนับพลางกล่าว "ฝ่าบาท มหาพราหมณ์แห่งคณะทูตน่านหวงเป็นยอดฝีมือขั้นเซียน คนอื่นๆ ในคณะทูตล้วนเป็นนักยุทธ์ขั้นหกขึ้นไป องครักษ์ลับที่กระหม่อมส่งไปยากจะติดตามได้พ่ะย่ะค่ะ!"
"ฝ่าบาท ท่านรัชทายาทแห่งน่านหวงเคยพ่ายแพ้ต่อองค์หญิงเหลียนปิง จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาซ่อนตัวเพื่อจะกำจัดองค์หญิงเหลียนปิง?"
อัครเสนาบดีสีหน้าเคร่งเครียด รีบเสนอข้อสันนิษฐานของตน
"บ้าบอ! รีบส่งคนไปคุ้มครององค์ชายสองและองค์หญิงเหลียนปิงทันที โดยเฉพาะองค์หญิงเหลียนปิง นางคือความหวังของต้าฮั่น ต้องไม่ให้เกิดเรื่องใดๆ เด็ดขาด!"
จักรพรรดิโกรธจัด สั่งการหัวหน้าองครักษ์ลับทันที
"ฝ่าบาท องค์หญิงเหลียนปิงจะเสด็จไปพบองค์ชายสามที่สุสานจักรพรรดิทุกครึ่งเดือน นับวันแล้วก็คือวันนี้พ่ะย่ะค่ะ!"
สีหน้าหัวหน้าองครักษ์ลับเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง มองจักรพรรดิด้วยความหวาดกลัว
"ยังไม่รีบส่งคนไปคุ้มครององค์หญิงเหลียนปิงที่สุสานจักรพรรดิอีก!"
จักรพรรดิแค่นเสียง กัดฟันกล่าว "หากองค์หญิงเหลียนปิงเป็นอะไรไป เราจะต้องถล่มน่านหวงให้ราบเป็นหน้ากลอง ฆ่าให้สิ้นซาก!"
หัวหน้าองครักษ์ลับรีบรับคำสั่งจากไป
เวลาผ่านไป จักรพรรดิก็ยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น
"ฝ่าบาท องค์หญิงเหลียนปิงประสูติมาพร้อมพลังดาบจักรพรรดิเทพ เป็นอัจฉริยะที่หาได้ยาก คงไม่มีวันล้มง่ายๆ ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลพ่ะย่ะค่ะ"
อัครเสนาบดีกระแอมเบาๆ เอ่ยปลอบจักรพรรดิ
"ฝ่าบาท!"
ในตอนนั้นเอง หัวหน้าองครักษ์ลับก็รีบร้อนเข้ามา
"องค์หญิงเหลียนปิงเป็นอย่างไร?"
จักรพรรดิลุกขึ้นทันที เอ่ยถามเสียงเข้ม
"เมื่อกระหม่อมนำกำลังไปถึงสุสานจักรพรรดิ องค์หญิงเหลียนปิงก็เสด็จกลับราชธานีอย่างปลอดภัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ!"
หัวหน้าองครักษ์ลับรีบรายงานต่อจักรพรรดิ
"ดี ดีมาก แต่พวกน่านหวงนั่นหลบซ่อนตัวไปที่ไหนกัน?"
จักรพรรดิโล่งใจในที่สุด
"ฝ่าบาท กระหม่อมนำกำลังค้นหาในป่าเขารอบสุสานจักรพรรดิ พบร่องรอยการต่อสู้อย่างดุเดือด และพบศพของถัวป๋าหง รัชทายาทแห่งน่านหวง!"
หัวหน้าองครักษ์ลับกล่าวเสียงดัง "คนอื่นๆ ในคณะทูตน่านหวงหายสาบสูญไร้ร่องรอย แต่รัชทายาทแห่งน่านหวงถูกพลังดาบทะลุหัวใจตาย จากสภาพศพดูเหมือนจะมีคนปล่อยพลังดาบจากระยะพันจั้งสังหารเขา!"
"อะไรนะ?"
สีหน้าจักรพรรดิเต็มไปด้วยความตกตะลึง พลังดาบเพียงหนึ่งกระแสสามารถพรากชีวิตคนจากระยะพันจั้งได้ ผู้ลงมือต้องแข็งแกร่งเพียงใด?
"ใครกันที่ลงมือสังหารคนของคณะทูตน่านหวง?"
จักรพรรดิขมวดคิ้ว พึมพำ
"ฝ่าบาท จะเป็นสุ่ยชินหวังหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?"
อัครเสนาบดีเอ่ยขึ้นทันใด ดึงดูดสายตาของจักรพรรดิ แล้วกล่าวต่อ "หลังจากสุ่ยชินหวังกลับมาจากส่วนลึกของเทือกเขาฉีเหลียน ก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลย บางทีอาจจะคอยคุ้มครองอัจฉริยะแห่งราชวงศ์ต้าฮั่นของเราอยู่ในที่ลับก็ได้!"
"มีเหตุผล เจ้าพูดต่อไป"
จักรพรรดิพยักหน้าเบาๆ เมื่อครู่พระองค์เองก็นึกถึงสุ่ยชินหวังเช่นกัน
"คณะทูตน่านหวงคงวางแผนจะลอบสังหารองค์หญิงเหลียนปิงที่สุสานจักรพรรดิ แต่พวกเขายังไม่ทันได้ลงมือก็ถูกสุ่ยชินหวังกำจัดเสียก่อน อีกอย่าง พลังดาบธรรมดาไม่สามารถสังหารรัชทายาทน่านหวงจากระยะพันจั้งได้ มีเพียงจิตดาบเท่านั้น ฝ่าบาทอย่าลืมว่า สุ่ยชินหวังฝึกฝนจิตดาบสายลมมาพ่ะย่ะค่ะ!"
อัครเสนาบดียิ้มบางๆ ยิ่งพูดก็ยิ่งเชื่อว่าความจริงต้องเป็นเช่นนี้แน่
"ถูกต้อง ดูเหมือนผู้ลงมือจะต้องเป็นสุ่ยชินหวังแน่ๆ"
จักรพรรดิส่ายหน้าอย่างรู้สึกตื้นตัน "ก่อนหน้านี้เรายังตำหนิสุ่ยชินหวังที่ไม่มาพบเรา แต่ตอนนี้ดูเหมือนเราจะคิดง่ายเกินไป สุ่ยชินหวังแฝงตัวอยู่ในที่ลับ คอยคุ้มครองอัจฉริยะแห่งราชวงศ์ต้าฮั่น ปกป้องชะตาของต้าฮั่น นี่คือโชคของต้าฮั่นจริงๆ!"
"ฝ่าบาท ขณะนี้เราตึงเครียดกับต้าโจวอยู่แล้ว ไม่ควรทำสงครามกับน่านหวงอีก เรื่องที่สุ่ยชินหวังกำจัดคณะทูตน่านหวง ต้องไม่ให้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด!"
อัครเสนาบดีเอ่ยเตือนสติ
"ดี ประกาศไปว่า เรื่องวันนี้ ผู้ใดกล้าเปิดเผย เราจะล้างตระกูลเขาสามชั่วโคตร!"
จักรพรรดิมองหัวหน้าองครักษ์ลับ แล้วเอ่ยเย็นๆ "อัครเสนาบดี หากน่านหวงมาสอบถามเรื่องคณะทูต เจ้าก็ตำหนิพวกเขากลับไป ถามพวกเขาว่าคณะทูตน่านหวงบุกโจมตีองครักษ์ลับในจวนรับรองของราชธานีต้าฮั่นแล้วหนีไป พวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่?"
หัวหน้าองครักษ์ลับและอัครเสนาบดีรีบรับคำสั่ง
...
ลมหนาวพัดกรรโชก ไอหนาวเริ่มรุนแรง
ในซอยเล็กๆ แห่งหนึ่งในราชธานี ลมหนาวพัดหวีดหวิว พาละอองน้ำค้างแข็งทะลุหน้าต่างที่ชำรุด พัดเข้าไปในห้อง ทำให้ห้องนี้กลายเป็นถ้ำน้ำแข็ง
ชายหญิงสูงวัยผมขาวโพลน สวมเสื้อผ้าบางๆ นั่งเบียดกันอยู่บนเตียงที่ปูด้วยฟาง สั่นเทาด้วยความหนาว
ในห้องนี้ว่างเปล่า ไม่มีฟืนให้ความอบอุ่น แม้แต่ผ้าห่มบางๆ ก็ไม่มี พวกเขาคงไม่รอดพ้นฤดูหนาวนี้ไปได้
"ลูกหย่ง พ่อแม่จะไปอยู่กับเจ้าเร็วๆ นี้แล้ว รอหน่อยนะ พวกเราสามคนจะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง"
คนชราทั้งสองตัวสั่นงันงก พึมพำเสียงแผ่ว สติเลือนลางด้วยความหนาว
ตุบ!
แท่งเงินลูกหนึ่งลอยผ่านหน้าต่างที่พังเข้ามา ตกลงบนเตียง
"พ่อจ๋า เงิน เป็นเงินนะ!"
หญิงชราขยี้ตา หยิบแท่งเงินที่ตกบนเตียงขึ้นมา พูดติดอ่าง "พ่อจ๋า เรามีเงินแล้ว มีคนส่งเงินมาให้เรา ฤดูหนาวนี้เราจะรอดแล้ว!"
"ต้องเป็นองค์ชายสาม ต้องเป็นองค์ชายสามที่ไม่ลืมหย่ง พระองค์ยังจำพวกเรา พระองค์ยังจำพวกเรา พวกเราต้องอดทนมีชีวิตอยู่ต่อไป รอดูองค์ชายสามแก้แค้นให้หย่งให้ได้!"
ชายชราลุกขึ้นตัวสั่น ดึงหญิงชราให้คุกเข่าขอบคุณบนเตียง
นอกห้อง หลินยวี่น้ำตาคลอ ถือถุงผ้าใส่แท่งเงิน ยืนอยู่ในเงามุมกำแพง ไม่กล้าเผชิญหน้ากับคนชราทั้งสองที่ฝากลูกชายไว้กับเขา
"เซี่ยวหย่ง และพี่น้องทั้งหลาย เป็นข้า หลินยวี่ ที่ทำผิดต่อพวกเจ้า แค้นของพวกเจ้า ข้าต้องแก้แค้นให้ได้ ศีรษะของผู้อยู่เบื้องหลัง ข้าต้องนำมาวางที่หลุมศพของพวกเจ้าให้ได้!"
"และพี่น้องที่เหลือ ครอบครัวของพวกเจ้าไม่ได้อยู่ในราชธานี ข้าดูแลไม่ถึง แต่ต่อไปภายภาคหน้า ข้า หลินยวี่ ขอสาบานว่า จะต้องชดเชยให้ครอบครัวของพวกเจ้าเป็นทวีคูณ!"
ทหารหนึ่งแสนนายที่ออกรบกับเขาในครั้งนั้น มีเพียงส่วนน้อยที่ครอบครัวอยู่ในราชธานี ตอนนี้เขาดูแลได้เพียงเท่านี้
หลินยวี่กลั้นน้ำตา หมุนตัวเดินไปยังบ้านหลังต่อไป
(จบบท)