ตอนที่แล้วบทที่ 1081 การรับคนใหม่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 1083 ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงความฝัน

บทที่ 1082 การตื่นตัว


###

หลังจากพัฒนาเม่นกระบี่วิญญาณตัวนี้ให้กลายเป็นสายส่งเรียบร้อยแล้ว ลู่เซวียนก็เพียงแค่นั่งรอให้เม่นกระบี่วิญญาณตัวอื่น ๆ เข้ามาหาเอง

ทุกช่วงเวลาที่เหมาะสม เขาจะนำฝักกระบี่ออกมาจากทะเลสาบจิตกระบี่ โดยอ้างว่าเป็นการบำรุงร่างกายให้กับเม่นกระบี่วิญญาณ เพื่อให้ฝักกระบี่ได้เพลิดเพลินกับการถูกแทงด้วยคมกระบี่นับพันอย่างเต็มที่

ผลลัพธ์คือประสิทธิภาพของฝักกระบี่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และยังได้รับเมล็ดพันธุ์หญ้ากระบี่กลายพันธุ์พันสายฟ้าอีกสองเมล็ด

เมื่อเร่งการเจริญเติบโตเสร็จสิ้น หญ้ากระบี่กลายพันธุ์ระดับสี่รวมทั้งหมดมีถึงแปดต้น

โดยปกติแล้ว หากนักปลูกพืชวิญญาณทั่วไปต้องการพัฒนาหญ้ากระบี่กลายพันธุ์ระดับสี่เพียงต้นเดียว ย่อมต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมหาศาล

แต่ลู่เซวียนมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่า ด้วยทะเลสาบจิตกระบี่ซึ่งเป็นแหล่งพลังกระบี่ที่ได้จากเจ้าสำนักกระบี่ และฝักกระบี่ที่มีความสามารถกระตุ้นเมล็ดพันธุ์ รวมถึงพรสวรรค์พิเศษในการรับรู้ข้อมูลของเมล็ดพันธุ์ ทำให้เขาสามารถพัฒนาพืชวิญญาณได้เร็วกว่านักปลูกพืชวิญญาณคนอื่น ๆ เรียกได้ว่าความสามารถของเขาเทียบเท่ากับทั้งนิกายก็ไม่เกินจริง

วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังสำรวจแปลงปลูกพืชวิญญาณ เสียงเรียกอันนุ่มนวลดังขึ้นจากนอกถ้ำพัก

“ศิษย์น้องลู่ อยู่ในถ้ำหรือไม่?”

ลู่เซวียนใช้จิตวิญญาณตรวจสอบ และพบว่าเป็นโม่หยวนเฟิงที่ยืนรออยู่หน้าถ้ำพัก

“ศิษย์พี่โม่ ท่านออกจากการปิดด่านแล้วหรือ?”

เขายิ้มต้อนรับออกไป

“อืม ใช้เวลาไม่น้อยในการศึกษาและฝึกฝนวิชาหนึ่ง ดีที่มีความคืบหน้าอยู่บ้าง”

โม่หยวนเฟิงเดินตามลู่เซวียนเข้าสู่ลานพักอันเงียบสงบ

“เรื่องนี้ต้องฉลองกันหน่อย”

ลู่เซวียนกล่าวพร้อมหยิบสุรากระบี่หวนคืนออกมาและรินให้โม่หยวนเฟิงจนเต็มถ้วย

“ครั้งนี้ข้ามาไม่ได้ต้องการเล่าประสบการณ์การปิดด่านให้ฟัง”

โม่หยวนเฟิงกล่าวเบา ๆ สีหน้าดูเคร่งเครียดเล็กน้อย

“เชิญศิษย์พี่พูดได้เลย”

ลู่เซวียนได้ยินดังนั้นก็ปรับสีหน้าให้จริงจัง

“ศิษย์น้องว่านพยายามทะลวงขึ้นระดับทารกวิญญาณแต่ล้มเหลว”

“หา?”

คำพูดเพียงประโยคเดียวของโม่หยวนเฟิงดังก้องในหัวลู่เซวียนเหมือนสายฟ้าฟาด

เขาตอบกลับด้วยความตกใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“แล้ว…ตอนนี้ศิษย์พี่ว่านเป็นอย่างไรบ้าง?”

ลู่เซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกไปอย่างช้า ๆ

“ศิษย์น้องว่านล้มเหลวในการผ่านด่านใจมาร วิญญาณได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก โชคดีที่มีผู้อาวุโสระดับทารกวิญญาณกลางช่วยเหลือไว้ได้ทัน”

“ตอนนี้กำลังพักฟื้นอยู่ คาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีกว่าจะฟื้นตัวได้บ้าง”

โม่หยวนเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ลู่เซวียนยังคงแสดงสีหน้าที่ไม่อยากเชื่อ

“ข้าไม่คาดคิดเลยว่า ศิษย์พี่ว่านจะประสบปัญหาในการทะลวงระดับ”

ในความคิดของเขา ว่านฉงเหมือนกับยอดอัจฉริยะที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ง่ายดายไปหมด

สิ่งที่นักบำเพ็ญทั่วไปต้องใช้ความพยายามอย่างหนักหนา ว่านฉงสามารถทำได้โดยง่าย

แต่เขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความล้มเหลวในการทะลวงขึ้นระดับทารกวิญญาณได้

“การทะลวงขึ้นระดับทารกวิญญาณนั้นยากราวกับปีนขึ้นสวรรค์ แม้แต่สำนักกระบี่ก็ทำได้เพียงเพิ่มโอกาสสำเร็จเล็กน้อยเท่านั้น”

“แม้ศิษย์น้องว่านจะเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับยาก โอกาสสำเร็จก็ยังถือว่าน้อยมาก”

โม่หยวนเฟิงกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา

“ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นเช่นนี้ ทำให้เขาผ่านการฝึกฝนมาอย่างราบรื่นเกินไป จึงขาดการฝึกฝนจิตใจ สุดท้ายจึงล้มเหลวในการเผชิญกับด่านใจมาร”

เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“ข้าจะรอให้ศิษย์พี่ว่านฟื้นตัวดีขึ้น แล้วจึงไปเยี่ยมเยียนเขา”

ลู่เซวียนพยักหน้าเบา ๆ กล่าวออกมา

หลังจากสนทนากันอีกเล็กน้อย โม่หยวนเฟิงก็ขอตัวกลับไป

ลู่เซวียนนั่งอยู่ในลานพัก มองดูสายกระบี่นับไม่ถ้วนที่พัดผ่านทะเลเมฆเบื้องล่าง

“สำหรับข้า ประสบการณ์ล้มเหลวของศิษย์พี่ว่านในครั้งนี้ นับเป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญ”

“ขาดการฝึกฝนจิตใจ…”

“ข้าหมกตัวอยู่ในถ้ำพักเพาะเลี้ยงพืชวิญญาณเป็นเวลานาน ไม่ค่อยออกไปสำรวจดินแดนลึกลับ และไม่ได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เสี่ยงชีวิตเพื่อฝึกฝนจิตใจ ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจกลายเป็นอุปสรรคในการทะลวงระดับทารกวิญญาณ”

ลู่เซวียนนึกย้อนถึงช่วงเวลากว่าร้อยปีที่เขาเริ่มได้รับรางวัลจากแสงกลุ่มแรก

ยกเว้นบางครั้งที่จำเป็นต้องไปสำรวจดินแดนลึกลับ เขาแทบไม่เคยก้าวเท้าเข้าไปในสถานที่อันตรายเลย กล่าวได้ว่าความระมัดระวังของเขานั้นอยู่ในระดับสูงสุด

ข้อดีคือไม่ต้องเผชิญกับอันตรายใด ๆ แต่ข้อเสียคือขาดการฝึกฝนด้านการต่อสู้และจิตใจ

“อย่างไรก็ตาม การไม่ออกไปสำรวจ ไม่ได้หมายความว่าจิตใจของข้าจะไม่มั่นคง”

“ข้าเคยอยู่ในศิลาโลกีย์เป็นเวลานาน ผ่านประสบการณ์มากมายทั้งสุขและเศร้า ความมั่นคงทางจิตใจของข้าย่อมไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญคนอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน”

“นอกจากนี้ ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนมา ข้ายังคงรักษาความตั้งใจเดิมในการแสวงหาหนทาง ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพียงต้องการเป็นนักปลูกพืชวิญญาณที่เพาะเลี้ยงพืชด้วยใจสงบ”

ลู่เซวียนเผยรอยยิ้มบาง ๆ ออกมา

“สุดท้าย ข้ายังมีสมบัติระดับเจ็ดสองชิ้นที่ช่วยบำรุงจิตวิญญาณและเสริมสร้างวิญญาณ คือหยกขโมยวิญญาณและหมอนหยกหวงเลี่ยง”

“เมื่อข้าบำรุงจิตวิญญาณในหยกขโมยวิญญาณมากพอแล้ว ข้าจะลองเข้าสำรวจดินแดนหวงเลี่ยงดู”

ยิ่งจิตวิญญาณแข็งแกร่งเท่าใด โอกาสรอดออกมาจากดินแดนหวงเลี่ยงก็ยิ่งสูงขึ้น ประกอบกับคำชี้แนะของหมอนหยกหวงเลี่ยง ลู่เซวียนมั่นใจว่าตนเองพร้อมจะลองเผชิญหน้ากับดินแดนที่เล่าลือกันนี้

เวลาได้ผ่านไปหนึ่งปี

ในช่วงเวลานี้ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเพาะเลี้ยงพืชวิญญาณและเตรียมความพร้อมสำหรับการทะลวงระดับทารกวิญญาณ

ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนที่วางไว้

วันหนึ่ง เขาเดินทางไปยังถ้ำพักของว่านฉงที่ยอดเขาโจงซวี

“ศิษย์พี่โจว?”

ขณะที่อยู่หน้าถ้ำพัก ลู่เซวียนยังไม่ได้แจ้งว่านฉง กลับบังเอิญพบกับคนรู้จัก

คนผู้นั้นคือโจวเฉา ผู้ที่เคยร่วมงานชุมนุนอยู่ในสำนักเต๋าหลี่หยางด้วยกัน ซึ่งเข้าสู่ระดับแก่นทองสมบูรณ์มานานแล้ว แต่มีแนวทางการฝึกฝนต่างจากว่านฉงโดยสิ้นเชิง

โจวเฉามีบุคลิกเย็นชา พูดน้อย และมุ่งมั่นทุ่มเทให้กับการฝึกฝน เป็นผู้บำเพ็ญที่จริงจังกับการบำเพ็ญอย่างแท้จริง

ลู่เซวียนมักเว้นระยะห่างกับโจวเฉา ทำให้แม้จะอยู่ในนิกายเดียวกันแต่แทบไม่ได้พบกันเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

“ศิษย์น้องลู่”

โจวเฉากล่าวทักทาย น้ำเสียงแหบแห้ง ฟังดูเหมือนคนที่ไม่ค่อยได้พูดจากับใครบ่อยนัก

หลังจากทั้งสองส่งจิตสื่อสารเข้าไปในถ้ำ ว่านฉงก็ออกมาต้อนรับในเวลาไม่นาน

“ศิษย์น้องโจว ศิษย์น้องลู่ พวกเจ้ามาด้วยกันหรือ?”

“ข้ามาหาศิษย์พี่เพื่อดื่มสุรากันสักหน่อย พอดีบังเอิญพบศิษย์พี่โจว”

ลู่เซวียนยกไหสุราขึ้นมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ดีเลย งั้นพวกเรามาดื่มให้ลืมทุกข์กันเถอะ!”

ว่านฉงกล่าวอย่างร่าเริง

ที่เอวของเขามีระฆังสีทองขนาดเล็กผูกอยู่ ระฆังเก่าคร่ำคร่าซึ่งเต็มไปด้วยรอยแตกบาง ๆ ที่มีทั้งสั้นและยาว สะท้อนให้เห็นถึงความเก่าแก่ยาวนาน

เมื่อสั่นเบา ๆ เสียงระฆังใสกังวานดังก้องไปทั่ว และเสียงนั้นแทรกซึมเข้าสู่จิตวิญญาณ คล้ายช่วยปลอบประโลมจิตใจที่ว้าวุ่นและรักษาบาดแผลในจิตวิญญาณ

“นี่เป็นสมบัติวิเศษที่เจ้ายอดเขาโจงซวีให้ยืมมา สำหรับผู้ที่จิตวิญญาณบาดเจ็บจะมีประโยชน์อย่างมาก ข้าพกติดตัวไว้ตลอดเพื่อบำรุงจิตวิญญาณให้ฟื้นฟูได้เร็วขึ้น”

ว่านฉงเห็นทั้งสองมองไปที่ระฆังเก่าที่เอวของตน จึงอธิบายด้วยรอยยิ้ม

แม้สีหน้าท่าทางของเขาจะยังดูสบาย ๆ ตามปกติ แต่ลู่เซวียนกลับจับได้ถึงความหม่นหมองเล็ก ๆ ที่แฝงอยู่ในดวงตาของว่านฉง

“ศิษย์พี่ทั้งสองจะยืนคุยกันอยู่หน้าถ้ำอีกนานไหม รีบเข้าไปดื่มเถอะ ไม่อย่างนั้นสุราข้าจะระเหยหมดเสียก่อน”

ลู่เซวียนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด