ตอนที่ 88 ชื่อเสียงสะท้านภาคตะวันออก อสูรร้ายผู้เฝ้าประตู จักรพรรดิทมิฬ
ตอนที่ 88 ชื่อเสียงสะท้านภาคตะวันออก อสูรร้ายผู้เฝ้าประตู จักรพรรดิทมิฬ
“ข้า…ข้าดูผิดไปหรือไม่!”
“แดนศักดิ์สิทธิ์เล่า? ฝ่ามือเดียวลงไป…ไม่เหลืออะไรเลย!”
เหล่าผู้บ่มเพาะในสิบสามแคว้นต่างตกตะลึงไปพร้อมกัน
แม้แต่กลุ่มอำนาจที่สนับสนุนสำนักชิงหยุน ก็ยังมึนงง
พวกเราคิดไว้แล้วว่าสำนักชิงหยุนจะชนะ แต่ไม่คิดว่าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้!
ศึกที่ทำให้เราตื่นเต้นราวกับโลหิตเดือดพล่านในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เพียงชั่วพริบตาเดียว กลับจบลงเช่นนี้!
นี่เจ้าล้อเล่นหรือเปล่า!
ข่าวการทำลายล้างแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเซิ่ง แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
ดั่งสายฟ้าที่ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้ง
ในเวลาไม่นานก็แผ่ขยายไปทั่วทุกแคว้นและทุกกลุ่มอำนาจ
ภาคตะวันออกเปลี่ยนไปแล้ว
ความปั่นป่วนก่อนศึกครั้งใหญ่ที่ราวกับพายุโหมกระหน่ำกลับสงบลงในทันใด
แดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งแห่งภาคตะวันออกที่สืบทอดมานับแสนปี ถูกบดขยี้จนไม่เหลือซาก
“เร็วเข้า! ประกาศออกไปว่า สำนักเหอฮวน ของเราขอสวามิภักดิ์ต่อสำนักชิงหยุน!”
…..
“เร็ว! เตรียมม้าวิญญาณให้ข้า! ข้าจะไปสำนักชิงหยุนด้วยตนเองเพื่อส่งมอบทรัพยากร!”
เหล่าผู้นำกลุ่มอำนาจชั้นนำในภาคตะวันออก ต่างเร่งส่งข่าวในทันที
ประกาศยอมรับสำนักชิงหยุนเป็นสำนักจ้าวเหนือหัวของภาคตะวันออก
พร้อมยอมสยบอยู่แทบเท้าสำนักชิงหยุน
เมื่อมียอดสำนักเช่นนี้ มีเพียงยอมสวามิภักดิ์และดำรงอยู่ใต้เงาบารมีเท่านั้น จึงจะก้าวไปได้ไกลกว่าเดิม
การครองภูมิภาคหนึ่งทำให้เป็นสำนักสูงสุด
การครองภาคตะวันออกทำให้เป็นสำนักจ้าวเหนือหัวอยู่เหนือแดนศักดิ์สิทธิ์และทุกขุมอำนาจ
แต่การครองทั่วทั้งแผ่นดิน… ตั้งแต่โบราณมา ยังไม่เคยมีกลุ่มอำนาจใดทำได้เลย
ทุกภูมิภาค โดยเฉพาะภาคกลาง ต่างเต็มไปด้วยกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งแข่งขันกันเพื่ออำนาจสูงสุด
หลายคนเริ่มกระซิบกันว่า ยุคทองแห่งภาคตะวันออก ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ในขณะเดียวกัน
สำนักชิงหยุน
เหล่าศิษย์ต่างโห่ร้องยินดีด้วยความตื่นเต้น
พวกเราชนะแล้ว!
เสียงอันทรงพลังที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่ยังดังก้องในจิตใจของพวกเขา
“ผู้ที่ลบหลู่สำนักชิงหยุนต้องถูกทำลาย!”
“ข้าจะรักษาเกียรติของสำนักชิงหยุนไว้ไม่ให้ตกต่ำ!”
บรรพชนของเราช่างไร้เทียมทาน!
บรรยากาศภายในสำนักเต็มไปด้วยความฮึกเหิม
เหล่าศิษย์ต่างเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในพลังของสำนักและบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่!
ณ หอชิงหยุนในเวลานี้
【“ขอแสดงความยินดีกับนายท่านที่ทำภารกิจหลัก ชื่อกระฉ่อนแดนตะวันออก สำเร็จ รางวัลได้ถูกส่งมอบแล้ว”】
【“ติ้ง! ขอแสดงความยินดีกับนายท่านที่ได้รับ บัตรอัญเชิญสีทอง จำนวน 3 ใบ”】
【“ขอแสดงความยินดีกับนายท่านที่ได้รับ หอมหาวิถีแห่งกาลเวลา 1 หลัง”】
【“ขอแสดงความยินดีกับนายท่านที่ได้รับ บัตรเพิ่มพลังบ่มเพาะ 1 ใบ”】
รายละเอียดของรางวัล:
•บัตรอัญเชิญสีทอง: สามารถอัญเชิญยอดฝีมือตั้งแต่ขอบเขตมหาปราชญ์ ถึง มหาจักรพรรดิ (แบบสุ่ม)
•หอมหาวิถีแห่งกาลเวลา: สมบัติมหาวิถีโดยกำเนิด สร้างขึ้นจากพลังปฐมกำเนิดและความโกลาหลไร้สิ้นสุด ในยุคเริ่มต้นของฟ้าดิน ภายในหอมี กฎแห่งกาลเวลา ปัจจุบันอัตราเวลา: 1:100 (สามารถอัปเกรดได้)
(หนึ่งวันภายนอกเท่ากับหนึ่งร้อยวันภายในหอ)
•บัตรเพิ่มพลังบ่มเพาะ : ไม่จำกัดขอบเขต ใช้แล้วสามารถยกระดับขึ้นได้หนึ่งขอบเขต (บัตรนี้ใช้ได้เฉพาะนายท่าน)
【“ภารกิจหลักใหม่: สะท้านห้าภูมิภาค ได้รับการเผยแพร่แล้ว ทำภารกิจสำเร็จจะได้รับรางวัลมหาศาล”】
เมื่อได้ยินเสียงของระบบ เฟิงชิงหยางก็ยิ้มบางๆ
ศึกครั้งนี้จบสิ้นแล้วจริงๆ
แดนศักดิ์สิทธิ์ช่างอ่อนแอเกินไป บรรพชนของเราใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ก็สามารถจบการต่อสู้นี้ได้แล้ว
เฟิงชิงหยางตรวจสอบรางวัลที่ได้รับในครั้งนี้แล้วพึงพอใจไม่น้อย
อัญเชิญสีทองสามใบ
บัตรเพิ่มพลังบ่มเพาะ
และ หอมหาวิถีแห่งกาลเวลา ที่เปรียบดั่งเครื่องโกงเวลา
เมื่อมีสมบัตินี้อยู่ ความก้าวหน้าของสำนักชิงหยุนจะรวดเร็วขึ้นอย่างมหาศาล
แม้แต่ศิษย์ที่มีพรสวรรค์ต่ำ ก็อาจก้าวหน้าจนแซงหน้าผู้อื่นได้
นอกจากนี้ ด้วยชัยชนะในครั้งนี้ แต้มชื่อเสียงของเขาย่อมเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล
ในขณะนั้นเอง เหล่าผู้ที่อยู่ด้านล่างก็เริ่มได้สติกลับมา
พวกเขาเองก็ได้ยินคำประกาศอันน่าตกตะลึงเมื่อครู่
และเมื่อทุกอย่างสงบลงเช่นนี้ พวกเขาเริ่มคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
“ท่านเจ้าสำนัก… หรือว่า…”
มู่ซุยเซียนที่เงียบมาตลอด เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบ
ดวงตาอันเปล่งประกายของนางเต็มไปด้วยการคาดเดา
“ใช่แล้ว แดนศักดิ์สิทธิ์ถูกบรรพชนของเราทำลายจนสิ้นซากแล้ว”
ซื่ว!
เย่ชุยเสวี่ย และ ซูเหยาเหยา ถึงกับชาไปทั้งตัว
แดนศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง…ในขณะกำลังพูดคุยอย่างผ่อนคลาย
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร!
เฟิงชิงหยางค่อยๆ ก้าวลงมาจากบัลลังก์สูงสุดอย่างสง่างาม
ขณะเดิน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พวกเจ้าสองคนไม่มีเรื่องอะไรแล้ว กลับไปพักเถอะ”
“ส่วนเรื่องอื่นใด หลังจากสิบวันสำนักของข้าจะจัดการทุกอย่างเอง”
หน้าที่จัดการเรื่องที่พัก จะมีผู้ดูแลของสำนักจัดการให้พวกเขา
“เช่นนั้น ท่านเจ้าสำนัก พวกเราขอตัวก่อน”
เย่ชุยเสวี่ยและซูเหยาเหยากล่าวพลางประสานมือคารวะ
จากนั้นจึงถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ
เย่ชุยเสวี่ยกล่าวจบ ก็นำตัวคุณหนูของตน ซูเหยาเหยา ก้าวออกจากหอชิงหยุน
จนกระทั่งออกมาพ้นจากหอชิงหยุน ความคิดของเขายังคงวนเวียนอยู่กับข่าวอันน่าตกตะลึงที่เพิ่งได้รับ
ด้านเฟิงชิงหยาง เมื่อไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว
เขาก็ก้าวตรงไปยังส่วนล่างของห้องโถง มาหยุดยืนตรงหน้า จักรพรรดิทมิฬ
ได้เวลาแก้ไขปัญหาสัตว์เฝ้าประตูของสำนักแล้ว
เฟิงชิงหยางยืนอยู่เหนือจักรพรรดิทมิฬ มองลงมาด้วยสายตาที่นิ่งสงบ
เขาย่อตัวลงเล็กน้อย พร้อมยื่นมือไปลูบหัวเจ้าดำ
จักรพรรดิทมิฬแสดงท่าทีเชื่องอย่างยิ่ง
มันไม่กล้าต่อต้านแม้แต่น้อย
มันกลัวแล้ว… กลัวจริงๆ!
ข้าจักรพรรดิทมิฬยอมรับก็ได้ ว่าข้านั้นดูอ่อนแอไปบ้าง แต่ปัญหามันอยู่ที่คนผู้นี้น่ากลัวเกินไป!
ข้ารับมือไม่ไหวจริงๆ!
เฟิงชิงหยางมองจักรพรรดิทมิฬตรงหน้าแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง
“นี่น่ะหรืออสูรสายเลือดอสูรโบราณในระดับมหาจักรพรรดิ? เหตุใดดูเหมือนเจ้าหมาน้อยเชื่องๆตัวหนึ่ง?”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เฟิงชิงหยางไม่ได้ใส่ใจนัก
ตราบใดที่จักรพรรดิทมิฬสามารถฟื้นฟูพลังจนกลับไปสู่ขอบเขตมหาจักรพรรดิได้
หน้าที่เฝ้าประตูสำนักก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร
ในใจเขาก็แอบคิดเหมือนกันว่า
บางทีถึงเวลาที่ข้าควรหา “สัตว์ขี่” หรือ “สัตว์เทพพิทักษ์สำนัก” ไว้สักตัวสองตัวแล้วกระมัง
ในฐานะท่านเจ้าสำนักของมหาอำนาจ ข้าไม่ควรมีภาพลักษณ์ที่ธรรมดา
เวลาข้าออกเดินทาง ก็ควรมีมังกรแท้เก้าตัวลากรถศึก หรือขี่อสูรโบราณสักตัว นั่นสิถึงจะดูยิ่งใหญ่!
จักรพรรดิทมิฬมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของท่านเจ้าสำนักเฟิงชิงหยาง
มันถึงกับสั่นสะท้านในใจ
อะไรกัน! ท่านเจ้าสำนักดูตื่นเต้น นี่ข้าจบสิ้นแล้วหรือ!
หรือว่าท่านเจ้าสำนักจะกินเนื้อหมา…จัดงานเลี้ยงอาหารอสูร!
เฟิงชิงหยางปล่อยมือจากหัวของจักรพรรดิทมิฬ ลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสง่างาม พร้อมกล่าวเสียงเรียบ
“จักรพรรดิทมิฬ อสูรสายเลือดโบราณ ยอดฝีมือขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นกลางเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน
เพื่อแก้แค้นให้ มหาจักรพรรดินีซุยเซียน จึงไปต่อกรกับ มหาจักรพรรดิอู่เฉิน และถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ
จากนั้นจึงผนึกตนเองไว้ในแดนลับเซิ่งเสวียน ข้ากล่าวถูกต้องใช่หรือไม่?”
คำพูดของเฟิงชิงหยางทำให้ทั้งมู่ซุยเซียนและจักรพรรดิทมิฬถึงกับตกตะลึง
“เจ้าดำ! เพื่อแก้แค้นให้ข้า เจ้าถึงกับไปสู้กับอู่เฉิน!”
มู่ซุยเซียนอุทานในใจ ความสงสัยที่ค้างคาใจมานานพลันกระจ่าง
ไม่แปลกใจเลยที่ตอนพบเจ้าดำในภาคตะวันออก มันมีกลิ่นอายที่ใกล้เคียงกับร่างจำแลงของข้าในแดนลับเซิ่งเสวียน
ที่แท้เจ้าดำก็ถูกอู่เฉินทำร้ายจนต้องผนึกตนเองไว้ในดินแดนลับแห่งนี้
คำพูดของท่านเจ้าสำนักช่วยไขข้อสงสัยที่ค้างคาในใจของมู่ซุยเซียนจนหมดสิ้น
เหตุใดท่านเจ้าสำนักถึงล่วงรู้ทุกสิ่ง? อย่าถาม เพราะคำตอบคือท่านเจ้าสำนักมีวิชาอันล้ำลึกเกินหยั่งถึง!
แต่ข้าจะรู้ได้อย่างไร!
จักรพรรดิทมิฬในตอนนี้มีความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง
ในหัวของมันพลันปรากฏภาพเงาที่ล้ำลึก
ผู้ที่เหยียบย่ำกาลเวลา พลิกฟ้าดินด้วยฝ่ามือ!
“ใช่แล้ว…ข้าก็คือ…อะแฮ่ม เจ้าดำ ของเจ้า!”
จักรพรรดิทมิฬกล่าวด้วยความประหม่า
รู้ดีว่าความลับของตนทั้งหมดอยู่ในกำมือของท่านเจ้าสำนักที่ลึกลับคนนี้
“อืม ดีแล้วที่เป็นเจ้า อีกสักครู่ ข้าจะมอบวาสนาอันยิ่งใหญ่ให้เจ้า”
เฟิงชิงหยางยิ้มอย่างใจเย็น
ติดกับแล้ว!
“วาสนาอันยิ่งใหญ่?”
จักรพรรดิทมิฬครุ่นคิดอย่างระมัดระวัง
ในขณะที่มู่ซุยเซียนเดินตรงเข้ามาจากระยะไกล
“เจ้าดำ ทำไมเจ้าถึงโง่เช่นนี้! เจ้าเองก็รู้ดีว่าพวกเราทั้งสองไม่มีทางเอาชนะอู่เฉินได้!”
มู่ซุยเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ดวงตาของนางแดงก่ำ เปล่งประกายราวสายน้ำที่เต็มไปด้วยความรู้สึก
ในฐานะผู้บรรลุวิถีแห่งมหาจักรพรรดิ
นางไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจเช่นนี้มานานนับหมื่นปี
เพราะ มิตรแท้ และ มิตรภาพในอดีต ช่างล้ำค่านัก
“ข้ามีเพียงเจ้าที่เป็นเพื่อนแท้ของข้า ข้าย่อมต้องแก้แค้นให้เจ้า
แต่ช่างน่าแค้นนัก! อู่เฉิน ช่างเป็นคนต่ำช้าที่เล่นสกปรก!”
จักรพรรดิทมิฬกล่าวด้วยความเจ็บแค้น ก่อนจะถอนหายใจยาว
ในฐานะผู้ที่เคยเย่อหยิ่งไม่ยอมแพ้ใคร การพ่ายแพ้ต่ออู่เฉินในวันนั้น เป็นความอัปยศที่มันไม่มีวันลืม
“พอเถอะ! เจ้าทั้งสองเป็นเพื่อนเก่า ค่อยกลับไปพูดคุยกันทีหลัง
ว่าแต่อู่เฉินคือใครกัน? เจ้าปลวกน้อยนั่นงั้นรึ? ข้าจะให้เจ้าโอกาสที่จะได้แก้แค้นกลับมา เจ้าสนใจหรือไม่?”
อู่เฉิน… ปลวกน้อย? วาสนา? การแก้แค้น?
จักรพรรดิทมิฬจับใจความสำคัญได้ทันที
“ขอท่านเจ้าสำนักโปรดชี้แนะ”
เฟิงชิงหยางยืนกอดอก สายตาจ้องมองออกไปไกลนอกหอชิงหยุน
พร้อมยื่นมือชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“สำนักชิงหยุนของข้ากำลังขาดสัตว์เฝ้าประตูพอดี ข้าเห็นว่าเจ้ามีความสามารถอยู่บ้าง น่าจะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ดี”
“สัตว์เฝ้าประตู?”
ให้ข้าเป็นสัตว์เฝ้าประตูเนี่ยนะ!
จักรพรรดิทมิฬครุ่นคิด ก่อนจะหยุดนิ่ง เดี๋ยวก่อน… ดูเหมือนจะไม่เลวเลยนะ!