ตอนที่ 79 มหาอำนาจของภาคใต้เคลื่อนไหว พายุใหญ่ใกล้ก่อตัว
ตอนที่ 79 มหาอำนาจของภาคใต้เคลื่อนไหว พายุใหญ่ใกล้ก่อตัว
“มหาจักรพรรดินีซุยเซียน!”
จักรพรรดิทมิฬถึงกับตกตะลึง!
มหาจักรพรรดินีซุยเซียนยังคงมีชีวิตอยู่!
เมื่อได้เห็นเหตุการณ์นี้ จักรพรรดิทมิฬก็ไม่อาจสงบนิ่งได้อีกต่อไป
“นี่มันเรื่องอันใดกัน!”
หรือว่ามหาจักรพรรดินีซุยเซียนรอดชีวิตมาได้ และเข้าร่วมกับสำนักในตะวันออก?
ในเวลานี้ ความคิดของจักรพรรดิทมิฬเต็มไปด้วยคำถามนับไม่ถ้วน
จักรพรรดิทมิฬเคยเป็นมิตรสหายที่ดีต่อมหาจักรพรรดินีซุยเซียน เมื่อหนึ่งแสนปีก่อน เขาได้เห็นกับตาว่ามหาจักรพรรดินีซุยเซียนถูกมหาจักรพรรดิอู่เฉินลอบโจมตีจนสิ้นชีพ
หลังจากนั้น เขาก็พุ่งเข้าไปต่อสู้กับอู่เฉินด้วยความโกรธแค้น
แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ ต้องหลบหนีไปอย่างยากลำบาก
ด้วยร่างที่บาดเจ็บสาหัส เขาหนีเตลิดจนมาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเซิ่งโจวในภาคตะวันออก
การต่อสู้นั้นดุเดือดจนฟ้าดินมืดมิด ไร้แสงแห่งตะวันและจันทรา
เขาหลบหนีอย่างย่ำแย่ จวนเจียนจะสูญสลายทั้งกายและวิญญาณ
เพื่อรักษาบาดแผลที่สาหัสยิ่ง เขาจึงผนึกตัวเองไว้ในมิติลับเซิ่งเสวียนนี้
ไม่คาดคิดเลยว่าเวลาล่วงเลยมาถึงหนึ่งแสนปี วันนี้ยังมีโอกาสได้พบมิตรสหายเก่าอีกครั้ง
ในใจของจักรพรรดิทมิฬเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
“ไม่ได้แล้ว เช่นนี้ข้าคงต้องติดตามพวกเด็กหนุ่มเหล่านี้ไป”
มหาจักรพรรดินีซุยเซียนคงเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักพวกเขา มีเพียงการติดตามพวกเขาเท่านั้นจึงจะได้พบกับมิตรสหายเก่าผู้นั้นอีกครั้ง
เมื่อคิดเช่นนี้ แววตาของจักรพรรดิทมิฬก็แน่วแน่ขึ้น
แม้ปกติจะเป็นผู้หยิ่งผยองไม่ยอมก้มหัวให้ใคร แต่ในหัวใจที่ดื้อรั้นนี้กลับมีมุมอ่อนโยนเพื่อมิตรภาพ
หากต้องสูญสลายวิญญาณเพื่อพบสหายอีกครั้ง เขาก็ยินดี!
ณ สำนักชิงหยุน
หอผู้อาวุโสสายใน
มู่ซุยเซียนผู้กำลังหลับตาพักผ่อน ได้รู้สึกถึงบางสิ่งทันทีที่ร่างจำแลงของนางปรากฏตัว
“แคว้นเซิ่งโจว… แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเซิ่ง…”
“ผู้ใดบังอาจแตะต้องคนของสำนักชิงหยุนของข้า ผู้นั้นต้องตาย!”
เสียงนางเอ่ยอย่างเยือกเย็น ราวกับน้ำแข็งที่ไม่อาจละลายได้
ม้วนคัมภีร์ร่างจำแลงที่นางฝากไว้กับฮวาชิงหยู และพวกอีกสองคน คือเครื่องป้องกันชีวิตที่เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว
ในเวลาเดียวกัน
แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเซิ่ง
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! ป้ายวิญญาณของบุตรศักดิ์สิทธิ์แตกสลาย!”
เสียงร้องด้วยความตกใจดังก้องไปทั่วแดนศักดิ์สิทธิ์
“เป็นไปไม่ได้! บุตรศักดิ์สิทธิ์… สูญสิ้นแล้วหรือ?!”
“ว่าอย่างไรนะ! มีคนบังอาจลงมือกับบุตรศักดิ์สิทธิ์!”
“เป็นใคร? ใครกล้าบังอาจถึงเพียงนี้!”
พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าในเขตแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นเซิ่งโจว จะมีผู้กล้าถึงขนาดลอบสังหารบุตรศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้
นี่ไม่ใช่แค่การไม่เห็นหัวพวกเขาเท่านั้น แต่นี่คือการท้าทายอย่างโจ่งแจ้ง!
หากไม่สามารถกำจัดผู้บังอาจผู้นั้นได้ พวกเขาจะยังมีที่ยืนในแดนตะวันออกได้อย่างไร
พวกเขายังจะมีหน้าคงสถานะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งในภาคตะวันออกได้อีกหรือ!
เงาร่างที่เปี่ยมด้วยพลังมากมายพากันปรากฏขึ้น
เหล่าผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์หลายคนเร่งรุดมาสอบถามสถานการณ์
ร่างอันเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งอำนาจมากมายปรากฏตัวออกมาจากการปิดด่าน
ณ ห้องโถงใหญ่ของแดนศักดิ์สิทธิ์
“เจ้าคนต่ำช้า! เจ้ากล้าดีถึงเพียงนี้
บังอาจลอบสังหารบุตรศักดิ์สิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เรา นับว่าช่างไร้ยางอายเกินไป!”
เหล่าผู้อาวุโสหลายคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ล้วนเดือดดาล ต่างเอ่ยคำประณามด้วยความโกรธเกรี้ยว
หยางจื้อไจ้ เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ นั่งอยู่บนบัลลังก์หลักด้วยสีหน้ามืดมน
เพลิงโทสะที่อัดอั้นในใจเขาแทบจะระเบิดออกมา
ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา แดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ในความสงบสุขอย่างมั่นคง
แต่บัดนี้ กลับมีคนกล้าท้าทายอำนาจของพวกเขาอีกครั้ง
“ดีมาก! ช่างดีนัก!
ดูเหมือนผู้คนในโลกนี้จะลืมเลือนไปแล้วว่าสิ่งใดเกิดขึ้นกับผู้ที่เคยบังอาจท้าทายแดนศักดิ์สิทธิ์ของเรา!”
ในอดีต ภาคตะวันออกไม่ได้มีเพียงห้าแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่เคยมีถึงหกแห่ง
แดนศักดิ์สิทธิ์อู่หลานแห่งแคว้นปั๋วโจวคือหนึ่งในนั้น
และตอนนี้ มันได้หายไปจากประวัติศาสตร์เพราะถูกลบล้างโดยแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาเอง
หลายพันปีก่อน พวกมันอวดดีเพราะมีสามปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ คอยคุ้มครอง กล้าท้าทายอำนาจของแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเซิ่ง
แต่ผลลัพธ์สุดท้ายคือ แดนศักดิ์สิทธิ์อู่หลาน ถูกล้างบางจนสิ้น!
แคว้นปั๋วโจวถูกสงครามครั้งนั้นทำลายจนแหลกสลาย และไม่อาจฟื้นคืนมาได้อีกเลย
แคว้นที่เคยรุ่งโรจน์กลับตกต่ำลงจนกลายเป็นแคว้นที่อ่อนแอที่สุดในภาคตะวันออก
จากสงครามครั้งนั้นเองทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเซิ่ง ขึ้นนั่งบัลลังก์อำนาจแห่งดินแดนภาคตะวันออกอย่างมั่นคง
ชื่อเสียงในฐานะแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่ง ไม่อาจมีผู้ใดเทียบเคียง
แต่บัดนี้ เวลาผ่านไปหลายพันปี กลับมีผู้กล้าท้าทายอำนาจของแดนศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
ดูเหมือนพวกเขาต้องสั่งสอนให้โลกได้จดจำ เกียรติยศแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ อีกครั้ง
"บังอาจลอบสังหารบุตรศักดิ์สิทธิ์ของข้า อย่าให้รอดชีวิตไปได้แม้แต่คนเดียว!"
เมื่อเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เปล่งคำสั่ง เหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างเร่งออกปฏิบัติการทันที
พวกเขาต่างไปดักรออยู่ที่ทางออกของแดนลับ ราวกับหมาป่ารอโอกาสล่าเหยื่อ
เพียงรอให้แดนเปิดออก พวกมันก็พร้อมบดขยี้ศัตรูจนสิ้นซาก
หยางจื้อไจ้ เอนกายพิงเก้าอี้ ดวงตาปิดสนิทขณะครุ่นคิดในใจ
ด้วยความแข็งแกร่งของบุตรศักดิ์สิทธิ์ ในแดนลับนั้นยังมีผู้ใดสามารถสังหารเขาได้อีกหรือ?
แม้จะมีอันตรายที่ไม่อาจต้านทานได้ แต่ในมือของเขายังมี ร่างจำแลงขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ อยู่หนึ่งร่าง
หรือว่า… เป็นเหล่ายอดอัจฉริยะจากดินแดนอื่น…
หนึ่งวันครึ่งต่อมา
สือฮ่าว และพวกรวมทั้งหมด สี่คนหนึ่งสุนัข เดินออกมาจากแดนลับเซิ่งเสวียน
“ศิษย์พี่ การเดินทางครั้งนี้ไม่เสียเปล่าเลยจริงๆ ได้ของดีมาเพียบ”
หลินไป๋พูดพลางยิ้มอย่างอารมณ์ดี ขณะถือแหวนเก็บสมบัติในมือ
หลังจากบดขยี้บุตรศักดิ์สิทธิ์คนนั้นแล้ว ในช่วงสองวันครึ่งที่ผ่านมา พวกเขาก็เดินทางไปทั่วแดนลับ
เก็บเกี่ยวของล้ำค่ามาไม่น้อย
สิ่งที่พวกเขาได้มาไม่ได้จำกัดเพียงศิลาวิญญาณ และทรัพยากรต่างๆเท่านั้น
แต่ที่ล้ำค่าที่สุดคือ ดอกบัวโลหิตแห่งปรโลก ซึ่งเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์หนึ่งต้น
ยังไม่รวมถึงกลุ่มคนที่เข้ามาช่วยเหลือบุตรศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างการต่อสู้อีก
ด้วยวิธี พูดจาอย่างมีเหตุผล (พร้อมการข่มขู่) ของพวกเขา ทำให้ผู้คนเหล่านั้นต้องมอบสิ่งของล้ำค่าทั้งหมดรวมถึงแหวนเก็บสมบัติ
ฝากฝังให้พวกเขา “เก็บรักษา” อย่างเต็มใจ
ในตอนนั้น หลินไป๋ ยังตบไหล่ของคนเหล่านั้นพลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“วางใจได้ พวกเราจะเก็บรักษาให้เป็นอย่างดี… ใช้หมดแล้วค่อยว่ากันอีกที…”
ในกลุ่มคนเหล่านั้นยังมี หญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้หลงใหลในความสง่างามของบุตรศักดิ์สิทธิ์
แต่เมื่อถึงเวลาที่พวกเขา “พูดจาอย่างมีเหตุผล” กับนาง
นางกลับไม่มีอะไรจะมอบให้ได้เลย สุดท้ายนางเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงสั่นไหวว่า
“ท่าน… ท่านว่า… ข้าเป็นไงบ้าง…?”
ในขณะนี้เอง
สือฮ่าว ขมวดคิ้วพลางมองไปรอบตัว ก่อนจะพูดเสียงเข้ม
“สถานการณ์ไม่ปกติเลย ศิษย์น้อง”
เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่กำลังพุ่งเข้าหาพวกเขา
ดูเหมือนว่าคนของแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเซิ่ง จะมาถึงแล้ว
เมื่อต่อกรกับคนรุ่นเยาว์ไม่ได้ ก็ส่งคนรุ่นเก่าที่แข็งแกร่งกว่าเข้ามาแทน
อีกด้านหนึ่ง
เหล่าผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเซิ่ง ได้รับข่าวว่า ผู้สังหารบุตรศักดิ์สิทธิ์ คือคนของสำนักชิงหยุน และทายาทสายตรงของตระกูลซูจากภาคใต้
เงาร่างนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เพียงกระบี่เดียวก็ทำลายไพ่ตายของบุตรศักดิ์สิทธิ์จนแตกกระจาย
พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า "ผู้ใดบังอาจแตะต้องคนของสำนักชิงหยุน ผู้นั้นต้องตาย!"
คำพูดนี้ช่างเปี่ยมด้วยอำนาจและความเด็ดขาด
เหล่าผู้คนที่ได้ยินถึงกับนึกในใจว่า หากพวกเขามีโอกาสได้เข้าสังกัดสำนักเช่นนี้ ชีวิตนี้ก็คงไม่เสียชาติเกิด
"สำนักชิงหยุน..."
สำหรับตระกูลซู พวกเขารู้ว่าเป็นตระกูลโบราณแห่งภาคใต้
ความแข็งแกร่งของตระกูลนี้เทียบเคียงได้กับแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา
ดังนั้น คงต้องรอการตัดสินใจจากเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อน
แต่คำถามคือ สำนักชิงหยุน ปรากฏตัวขึ้นมาจากที่ใดกัน?
"ท่านขอรับ ข้ารู้สึกเหมือนเคยได้ยินชื่อมาก่อน
สำนักชิงหยุนแห่งแคว้นหลิงโจว เป็นสำนักระดับจ้าวที่ครอบงำสามแดนศักดิ์สิทธิ์ของสามแคว้น ได้แก่ แคว้นหวงโจว เทียนโจว และชิงโจว พวกเขาเคยส่งผู้แข็งแกร่งไปกำจัดอสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่อย่างเด็ดขาด"
ข่าวลือนี้เริ่มแพร่กระจายมายังดินแดนแห่งนี้ แต่ข่าวการที่แดนศักดิ์สิทธิ์หยู้ตานยอมสวามิภักดิ์ยังไม่ได้ส่งมาถึง
สำนักเดียวที่สามารถกดข่มสี่แดนศักดิ์สิทธิ์
คนที่รู้เรื่องนี้ต่างก็ต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อความยิ่งใหญ่ของสำนักชิงหยุน อย่างไม่อาจปฏิเสธ
ในขณะที่กำลังพูดคุยกัน พวกเขาก็พบกับ สือฮ่าว และพรรคพวกทั้งสี่
“หยุดเดี๋ยวนี้! พวกเจ้าคือคนที่สังหารบุตรศักดิ์สิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เราใช่หรือไม่?”
สือฮ่าว เงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้า
มีเงาร่างอันทรงพลังนับสิบปรากฏขึ้นลอยอยู่กลางอากาศ มองลงมาที่พวกเขาด้วยสายตาเย็นชา
“ใช่แล้ว แล้วจะทำไม?”
สือฮ่าว รู้ว่าพวกเขาไม่มีทางหลบหนีได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจเตรียมต่อสู้อย่างเต็มที่
ในมือของพวกเขายังมีไพ่ตายที่ผู้อาวุโสมู่ซุยเซียนมอบให้
เพียงพอที่จะช่วยให้พวกเขาฝ่าออกไปได้
“พี่สือฮ่าว ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
ซูเหยาเหยาก้าวออกมาด้านหน้าอย่างสง่างาม
“ท่านผู้อาวุโสเย่ ต้องรบกวนท่านอีกครั้งแล้ว”
นางกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นพูดกับความว่างเปล่าบนท้องฟ้า
ทันใดนั้นเอง หลังจากคำพูดของนางสิ้นสุดลงพลังอันยิ่งใหญ่ ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าทุกสิ่งในบริเวณนั้นก็ปรากฏขึ้น
พลังนี้ปกคลุมฟ้าดินจนทุกคนต้องหันไปมองด้วยความตกตะลึง
ชายชราผมขาวแต่หน้าตาอ่อนเยาว์ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า
“ผู้ใดบังอาจแตะต้องคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซูของข้า
ถามก่อนเถิดว่าดาบเล่มนี้ในมือของข้าจะยอมเห็นด้วยหรือไม่!”
ชายชราเปล่งพลังอันมหาศาลออกมา ดาบทรงพลังเปล่งประกายคมกริบในมือของเขา
แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นแผ่กระจายออกไปทั่วบริเวณ
เหล่าคนของแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเซิ่งบางคนถึงกับถูกแรงกดดันอันมหาศาลนี้ผลักจนกระเด็นออกไป
ชายชราผู้นี้คือ เย่ชุยเสวี่ย ผู้พิทักษ์ของซูเหยาเหยา
ด้วยความที่ผู้นำตระกูลซู ไม่ไว้วางใจให้นางเดินทางฝึกฝนในภาคตะวันออกเพียงลำพัง
จึงได้ส่งผู้พิทักษ์ที่มีพลังแข็งแกร่งระดับสูงมาคอยคุ้มครองนางในเงามืด
“ขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์!”
หนึ่งในคนของแดนศักดิ์สิทธิ์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“ท่านผู้อาวุโส คุณหนูใหญ่ของท่านสามารถจากไปได้
แต่สำหรับเรื่องที่ตามมา เราจะเจรจากับตระกูลซูของท่านโดยตรง”
“อย่างไรก็ตาม อีกสามคนที่เหลือ ต้องอยู่ที่นี่!”
ในสถานการณ์เช่นนี้ การต่อสู้ระหว่างมหาอำนาจ มักขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์และการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์
แดนศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่ได้อยากเปิดสงครามกับตระกูลซูเพียงเพราะบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ตายไปแล้ว
นั่นจะนำไปสู่ความสูญเสียทั้งสองฝ่าย
สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการได้ผลประโยชน์เพิ่มเติมเท่านั้น