ตอนที่ 76 บุตรศักดิ์สิทธิ์กู่ฉางเกอ
ตอนที่ 76 บุตรศักดิ์สิทธิ์กู่ฉางเกอ
“ศิษย์น้อง นี่มันจะไหวหรือ?”
สือฮ่าวมองไปยังจักรพรรดิทมิฬที่แยกเขี้ยวใส่ค้างคาวอสูรเบื้องหน้า พลางถอนหายใจอย่างหมดคำพูด
“เจ้าตัวเล็กนี่จะสู้กับค้างคาวอสูรนับหมื่นตัวได้จริงหรือ?”
“รีบไปเถิด ศิษย์พี่”
หลินไป๋เร่งเร้า พร้อมมองไปยังกลุ่มศิษย์น้องหญิงที่เพิ่งถอยกลับมา
“เดี๋ยวสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์จะถูกคนอื่นเก็บไปเสียก่อน”
ฮวาชิงหยู และซูเหยาเหยา ถอยมาสมทบกับพวกเขา
“เกิดอะไรขึ้นหรือ ศิษย์พี่?”
ฮวาชิงหยูถามด้วยความสงสัย
“ไม่สู้ต่อแล้วหรือ?”
การต่อสู้ก่อนหน้านี้ แค่การอุ่นเครื่อง นางและซูเหยาเหยายังไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ด้วยซ้ำ
“พวกเจ้ารีบไปก่อน รีบไปแย่งชิงสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์
อย่าให้คนอื่นชิงมันไปได้!”
สือฮ่าวตอบเสียงเข้ม
หลินไป๋พยักหน้า เมื่อได้ยินคำของศิษย์น้องหญิง
“ข้าจะตามไปสมทบในไม่ช้า”
เขามองไปยังจักรพรรดิทมิฬ ก่อนจะครุ่นคิด
“เจ้าสุนัขตัวนี้ก็แค่ขี้โม้ จะปล่อยทิ้งไว้ที่นี่ตัวเดียวได้อย่างไร?”
แม้รู้ว่ามันมักพูดเกินจริง แต่เขาก็เลือกจะรอดูว่ามันจะทำอะไรต่อไป
“กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของกระบี่บัวมรกต ข้ายังไม่ได้ใช้เลย หากใช้ย่อมเพียงพอที่จะจัดการกับค้างคาวอสูรพวกนี้”
หลินไป๋คิดในใจ แต่สิ่งที่เขาพูดออกไปนั้นเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อให้ศิษย์พี่ และศิษย์น้องหญิง ออกเดินหน้าไปก่อน และปล่อยให้เขาเป็นผู้ต้านหลัง
“ศิษย์น้อง ระวังตัวด้วย หากเกิดอะไรขึ้น ให้ใช้ป้ายประจำตัวเรียกพวกเราได้ทันที
สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์นี้ หากไม่ปลอดภัยจริงๆ พวกเราก็ไม่ต้องไปแย่งชิงมัน”
สือฮ่าวเตือนด้วยความกังวล แม้จะรู้ว่าหลินไป๋ มีไพ่ตายช่วยรักษาชีวิต ซึ่งได้รับจากผู้อาวุโสมู่ซุยเซียนก่อนออกเดินทาง
เมื่อครั้งจะออกจากสำนัก ท่านอาจารย์ของพวกเขาสั่งให้ไปหา ผู้อาวุโสมู่ซุยเซียน นางมอบของวิเศษสำหรับรักษาชีวิตให้พวกเขาแต่ละคน
แต่ของวิเศษนี้มีไว้สำหรับสถานการณ์ที่ถึงทางตันของทางตัน เท่านั้น
การเผชิญหน้ากับความเป็นความตายยังคงจำเป็น เพื่อให้พวกเขาได้ขัดเกลาตนเอง
“ถ้าสถานการณ์เลวร้ายจนถึงที่สุด ค่อยใช้มัน”
เมื่อกล่าวจบ สือฮ่าวและศิษย์น้องหญิงจึงรีบเร่งมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งของสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ ปล่อยให้หลินไป๋อยู่เบื้องหลังเพื่อจัดการกับค้างคาวอสูรต่อไป
สือฮ่าว พาศิษย์น้องหญิงและ ซูเหยาเหยา เปลี่ยนทิศทางและเดินหน้าต่อไป
จักรพรรดิทมิฬ ยืนหยัดอยู่แนวหน้า ใช้ร่างเล็กๆของมันต้านค้างคาวอสูรจำนวนมาก
หลินไป๋ หมุนไหล่และจับกระชับกระบี่บัวมรกต เดินเข้าไปข้างหน้า
“ดูท่า เจ้าสุนัขตัวนี้คงจะต้านพวกมันไว้ได้ไม่นานนัก
หากมันมีความสามารถสักครึ่งหนึ่งของคำโม้ ก็คงไม่ต้องให้ข้าลงมือแล้ว”
เขาคิดในใจพร้อมเตรียมตัวสำหรับการปะทะครั้งใหญ่
“ดูเหมือนวันนี้จะต้องใช้พลังอย่างเต็มที่เสียแล้ว”
ในขณะเดียวกัน จักรพรรดิทมิฬก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่
“เพื่อได้มาซึ่งสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อออกจากแดนลับนี้…
ข้าต้องลงมืออย่างเต็มกำลัง!”
แววตาของมันเย็นยะเยือก มองไปยังฝูงค้างคาวอสูรเบื้องหน้า
พลังจิตสำนึกของมหาจักรพรรดิ ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่
ความกดดันมหาศาลทำให้ มิติรอบตัวบิดเบี้ยวและพังทลาย กลายเป็นหลุมดำที่ไร้จุดสิ้นสุด
“ยามมหาจักรพรรดิโกรธา ซากศพนับล้านจะกองทับทั่วแผ่นดิน!”
บารมีมหาจักรพรรดิอันล้นเหลือพุ่งออกมาราวกับพายุ พลังอันเกรี้ยวกราดนั้นทำให้บรรยากาศรอบตัวสั่นสะเทือนราวกับโลกจะแตกสลาย
หากมิใช่เพราะ พลังจิตสำนึกและพลังบ่มเพาะของมันเพิ่งได้รับการปลดผนึกและยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่ แดนลับแห่งนี้คงถูกมันบดขยี้จนแหลกสลายไปแล้ว
ภายใต้พลังมหาจักรพรรดิ ทุกชีวิตล้วนเสมอภาค
มันคำรามกึกก้องหนึ่งครั้ง ก่อนปลดปล่อยพลังจิตสำนึกในขอบเขตมหาจักรพรรดิ ที่ยังไม่สมบูรณ์ออกไป
“ข้าคือจักรพรรดิทมิฬ ผู้เลื่องชื่อเมื่อหมื่นปีก่อน
วันนี้ข้าจะปล่อยให้พวกหนูมีปีกเหล่านี้มารังแกข้าได้อย่างนั้นหรือ?”
ครั้งหนึ่งมันเคยใช้ ตับมังกรและเนื้อฟีนิกซ์ เป็นอาหารหลัก และการต่อสู้เพื่อแย่งอาหารกับมหาจักรพรรดิมังกร ก็เป็นเรื่องปกติสำหรับมัน
พลังจิตสำนึกระดับมหาจักรพรรดิ ขยายออกไปครอบคลุมพื้นที่รัศมีหนึ่งร้อยเมตร
ค้างคาวอสูรในระยะนั้นถูกทำลายจนระเหิดหายไปทันที
แต่เท่านี้ก็ถือเป็นขีดจำกัดของมันในตอนนี้ หากปลดปล่อยพลังเกินกว่านี้ จะกระทบต่อพลังต้นกำเนิด ซึ่งจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี
“ฝูงแมลงวันกระจอก!”
ถึงแม้ พลังจิตสำนึกที่ใช้ออกไปจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวในล้านส่วนของพลังในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด แต่นั่นก็เกินพอที่จะทำให้ ค้างคาวอสูรระดับต่ำเหล่านี้ ถูกบดขยี้จนไม่อาจต้านทานได้
จักรพรรดิทมิฬ คิดในใจว่า “ต้องจบศึกนี้ให้เร็วที่สุด มิฉะนั้น ด้วยสภาพของข้าในตอนนี้ คงไม่อาจต้านทานได้นาน”
ด้านหลัง หลินไป๋ ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง
“บ้าจริง! เจ้าสุนัขดำตัวนี้เป็นยอดฝีมือจริงๆ!
ที่ผ่านมามันไม่ได้โม้? ถ้าเจ้ามีพลังขนาดนี้ ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกเล่า!”
พลังและกลิ่นอายที่มันแผ่ออกมาช่างน่าทึ่งเกินกว่าจะเป็นเรื่องล้อเล่น
“หรือว่า… มันคือ…!”
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากผ่านไปไม่นาน สือฮ่าว และพวกเดินทางมาถึงส่วนลึกที่สุดของเขตต้องห้ามในถ้ำ
บริเวณนี้กว้างขวางอย่างยิ่ง ราวกับเป็นห้องโถงขนาดใหญ่
พื้นที่นี้กว้างพอที่จะรองรับผู้คนจำนวนหลายพันคนได้พร้อมกัน
บรรยากาศเงียบสงบอย่างน่าประหลาด แต่มันกลับแฝงไปด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็น ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกถึงอันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหน้า
เมื่อมองออกไปไกลๆ พื้นที่ส่วนกลางของถ้ำมีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันแล้ว
ที่ใจกลางมีสระโลหิตขนาดมหึมากำลังเดือดพล่าน ปล่อยไอร้อนลอยฟุ้งขึ้นมา
หมอกสีแดงเลือด ที่อบอวลอยู่ทั้งภายในและภายนอกถ้ำ ล้วนถูกปล่อยออกมาจากที่นี่
“สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ใกล้จะสุกงอมและบานแล้ว!”
“อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามล่ะ! บุตรศักดิ์สิทธิ์ กู่ฉางเกอ ก็มาที่นี่ด้วย หากคิดจะแย่งกับเขา ถือเป็นการหาเรื่องตายชัดๆ!”
รอบๆสระโลหิต มีผู้คนจำนวนมากยืนอยู่ พวกเขากำลังสนทนาเบาๆด้วยความกังวล
“อะไรนะ? บุตรศักดิ์สิทธิ์กู่ฉางเกอเข้าสู่เขตต้องห้ามนี้ด้วยหรือ?
ทำไมเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้? แบบนี้ที่เรามาก็เสียเที่ยวแล้วน่ะสิ!”
“บ้าชะมัด! ข้าเพิ่งโดนค้างคาวอสูรกัดเข้าที่ก้นเมื่อครู่ ยังเจ็บไม่หายเลย!”
ชายคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยความหงุดหงิด พลางยกมือไปลูบบาดแผลที่ก้นของเขา
แต่ทันทีที่สัมผัส เขาก็เจ็บจนร้องออกมาดังลั่น
“โอ๊ย! เจ็บจะตายอยู่แล้ว!
บ้าจริง! โดนกัดเสียเที่ยวแท้ๆ ทั้งที่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็มีสมบัติมากมาย แต่เจ้าบุตรศักดิ์สิทธิ์อะไรนี่กลับมาแย่งของพวกเราด้วย!”
“ชู่ว์! เบาเสียงหน่อย!
เจ้าอยากตายหรือไง? ถ้าบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้ยินเข้า เจ้าจะถูกถลกหนังทั้งเป็นแน่!”
ชายผู้ร่วมทางรีบก้าวเข้ามาปิดปากของเขา สีหน้าซีดขาว
“เจ้าคนนี้กล้าพูดทุกอย่างจริงๆ แต่ถ้าอยากตาย อย่าลากข้าไปด้วยสิ!”
แต่ทุกอย่างสายไปแล้ว
“โอ้? เจ้าบอกว่าข้าเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์อะไรนะ?”
เสียงหนึ่งดังมาจากทิศตะวันออกของกลุ่มคน
กู่ฉางเกอ บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเซิ่ง เดินออกมาจากกลุ่มฝูงชน
เขาสวมชุดสีขาวล้วน มือถือพัดพับ เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มบางๆ
สายตาของเขาจับจ้องไปที่ชายที่เพิ่งพูดจาดูหมิ่นเขา
รอบตัวเขา มีกลุ่มผู้ติดตามคอยล้อมหน้าล้อมหลัง ทำให้เขาดูทรงอำนาจและยิ่งใหญ่เกินกว่าจะหาใครเปรียบได้
เหล่าผู้ติดตามของกู่ฉางเกอ แต่ละคนล้วนเป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงในแคว้นเซิ่งโจว ดินแดนที่แข็งแกร่งที่สุดของภาคตะวันออก
แต่เพื่อแสวงหาหนทางที่ก้าวไกลกว่าเดิม และเพื่อรับรางวัลจากการติดตามกู่ฉางเกอ พวกเขายอมทำตัวเป็นสุนัขรับใช้โดยไม่ลังเล
บุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นบุคคลที่อยู่ในระดับใดกันเล่า!
กู่ฉางเกอคือบุตรศักดิ์สิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเซิ่งซึ่งเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในภาคตระวันออก
ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นเหนือผู้ใด เขาได้รับการยอมรับว่าเป็น อันดับหนึ่งในทำเนียบอัจฉริยะของดินแดนภาคตะวันออก และเป็นบุคคลที่อยู่บนจุดสูงสุดของอัจฉริยะทั้งสิบสามแคว้น
"บังอาจ! กล้าพูดจาหมิ่นบุตรศักดิ์สิทธิ์!"
"อยากตายรึ!“
หนึ่งในผู้ติดตามของกู่ฉางเกอตะโกน พร้อมจะกระโจนเข้าไปสังหารชายที่พูดจาดูหมิ่น
"เฮ้อ อย่ารุนแรงกันนักเลย ทุกคนก็ล้วนเป็นคนของดินแดนภาคตะวันออกเดียวกัน
โยนเขาลงในสระโลหิต ให้เขาได้พิจารณาตัวเองสักหน่อยก็พอแล้ว"
กู่ฉางเกอยิ้มอย่างอบอุ่นและกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
แต่คำพูดของเขากลับทำให้ชายผู้นั้นรู้สึกเหมือนตกลงไปในหลุมลึกที่เย็นยะเยือก
"โยนลงในสระโลหิต!"
ชายผู้นั้นรู้ดีว่าคำพูดเหล่านี้ไม่ได้มาจากเมตตา แต่มันคือการลงโทษที่น่าสะพรึงกลัว
ในชั่วพริบตา ร่างจะถูกหลอมละลายกลายเป็นโลหิต!
"บุตรศักดิ์สิทธิ์ขอรับ ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าสมควรตาย! ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย!"
ชายคนนั้นรีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว พลางตบหน้าตัวเองไม่หยุด
เขารู้ดีว่าคำพูดพลั้งปากเพียงไม่กี่คำ ได้นำพาอันตรายที่ถึงชีวิตมาสู่ตนเอง
แต่คำขออภัยของเขาไม่มีผลใดๆ
ผู้ติดตามของบุตรศักดิ์สิทธิ์จับตัวเขาลากไปยังสระโลหิต
"ชาติหน้า จงรู้จักระวังคำพูดของตัวเองให้ดีกว่านี้"
ตูม!
เสียงดังพลันร่างของเขาถูกโยนลงในสระโลหิต
ไม่มีแม้แต่ระลอกคลื่น ร่างของเขาถูกละลายกลายเป็นเลือดในทันที
"ซึ่ด!"
เหล่าผู้บ่มเพาะที่อยู่โดยรอบถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
"บุตรศักดิ์สิทธิ์น่ากลัวเกินไป!"
"อย่าได้หาเรื่องกับเขาเด็ดขาด!"
นี่มันปีศาจในคราบเทวดาชัดๆ!
สายตาที่มองไปยังกู่ฉางเกอ เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและไม่กล้าแม้แต่จะล่วงเกิน
บุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ช่างเหมือนยมทูตยิ้มแย้ม ที่พรากชีวิตคนได้โดยไม่มีความลังเล!
ดูท่าวันนี้ สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์คงไม่มีวันตกเป็นของพวกเขาแน่
“ฮ่าๆ ขออภัยที่ทำให้พวกท่านต้องตกใจ
เมื่อสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์สุกงอม พวกท่านไม่ต้องคำนึงถึงสถานะของข้า บุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ยินดีให้ทุกคนแข่งขันกันอย่างยุติธรรม
ข้าจะไม่ใช้ชีวิตของพวกท่าน ครอบครัว ภรรยา มิตรสหาย สำนัก หรือบรรพชนของพวกท่านมาเป็นข้อข่มขู่”
กู่ฉางเกอ พูดพร้อมกับรอยยิ้ม พลางสะบัดพัดในมือเบาๆ
เขายืนอยู่ในจุดที่สูงกว่าใคร มองลงมาด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจและอหังการ
“บ้าจริง! เจ้าหมอนี่ช่างพูดจาโอ้อวดได้เก่งนัก!”
สือฮ่าว คิดในใจอย่างไม่สบอารมณ์
“การแข่งขันที่ยุติธรรมไม่ใช่ปัญหา สมบัติย่อมเป็นของผู้ที่มีความสามารถ
แต่เจ้าคนนี้ไม่รู้หรือว่า ฟ้ายังมีฟ้า คนยังมีคนที่เหนือกว่าเขา?”
เขากำหมัดแน่น พร้อมเตือนตัวเองในใจ
“แม้จะมีผู้คนมากมายเกรงกลัวเจ้า แต่พวกเราจะไม่เกรงกลัว
ทำตามหัวใจตนเอง ไม่ละทิ้งความมุ่งมั่นแห่งชิงหยุน”
แน่นอนคำพูดนี้ไม่ใช่ทุกคนที่พูดได้ หากไม่มีสำนักชิงหยุน สือฮ่าวก็ไม่นับเป็นสิ่งใด
“ดูนั่น! สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์บานแล้ว!”
เสียงอุทานดังขึ้นจากฝูงชน ทุกสายตาจับจ้องไปยังสระโลหิตที่ตอนนี้ ดอกบัวโลหิตแห่งปรโลก เริ่มผลิดอกสุกงอมเต็มที่ เปล่งประกายอันน่าอัศจรรย์ออกมา