ตอนที่แล้วตอนที่ 74 สระโลหิตบ่มบัวปรโลก หมื่นปีผลิดอกบาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 76 บุตรศักดิ์สิทธิ์กู่ฉางเกอ

ตอนที่ 75 ศึกดุเดือดพิฆาตค้างคาวอสูร


ตอนที่ 75 ศึกดุเดือดพิฆาตค้างคาวอสูร

บัวมรกตพิฆาตอสูร พลังกระบี่กวาดล้างสรรพสิ่ง

ภายในถ้ำ ปรากฏบัวสีเขียวนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมารอบทิศพร้อมแฝงด้วยพลังกระบี่ที่แหลมคม

พลังนั้นทำลายค้างคาวอสูรกว่าหลายร้อยตัวในพริบตา ร่างของมันร่วงหล่นลงมาจากอากาศดั่งเม็ดฝน

"จงตายเสีย!"

หลินไป๋คำราม พลางแกว่งกระบี่บัวมรกตในมืออย่าง

ดุดัน

เลือดที่สาดกระเซ็นจากค้างคาวอสูรถูกผสมเข้ากับหมอกสีแดงเลือดที่ลอยอบอวลอยู่ในถ้ำ ทำให้บรรยากาศดูแปลกประหลาดและชวนให้หวาดหวั่นยิ่งขึ้น

ตลอดเดือนที่ผ่านมา ระดับพลังบ่มเพาะของหลินไป๋จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเจตจำนงกระบี่ของเขายังคงอยู่ในขั้นเล็ก

เขาใช้โอกาสนี้ในการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างและยกระดับเจตจำนงกระบี่ของตนเองให้มั่นคงยิ่งขึ้น

ควรรู้ว่าวิถีแห่งกระบี่ ยากที่จะพัฒนาให้ก้าวหน้าได้ มากกว่าการบ่มเพาะปกติหลายเท่า

การฝึกกระบี่ต้องอาศัยพรสวรรค์อันสูงส่ง และความพากเพียรที่เกินกว่ามนุษย์ทั่วไป

กล่าวได้ว่า ต่อให้เจ้ามีพรสวรรค์สูงส่งถึงขั้นบรรลุขอบเขตสร้างวิญญาณ แต่วิถีแห่งกระบี่มักเริ่มต้นที่ขอบเขตนี้เท่านั้น

ผู้บ่มเพาะกระบี่ส่วนใหญ่ในขอบเขตสร้างวิญญาณ เพิ่งจะเริ่มต้นเข้าใจเจตจำนงกระบี่เท่านั้น

ผู้ที่สามารถตระหนักรู้เจตจำนงแห่งกระบี่ ได้ก่อนจะเข้าสู่ขอบเขตสร้างวิญญาณ เรียกได้ว่ามีน้อยยิ่งกว่าน้อย และมักเป็นผู้มีพรสวรรค์เหนือฟ้าดิน

“พันปีลับกระบี่เดียว เมื่อออกกระบี่จึงบรรลุขั้นเล็ก”

หากไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าคิดหรือว่าในยุคกลาง เทพกระบี่บัวมรกต จะทรงพลังถึงเพียงนั้น?

สังหารปราชญ์ บั่นจักรพรรดิ!

เมื่อครั้งเขาเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตมหาปราชญ์ ด้วยกระบี่บัวมรกตเพียงเล่มเดียว และตัวเขาเพียงผู้เดียว เขาได้ต่อสู้กับราชันปราชญ์สิบคน

การต่อสู้นั้นทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังจนได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพกระบี่

ในปีนั้น เขาใช้กระบี่บัวมรกตเพียงเล่มเดียว บั่นราชันปราชญ์สี่คน และทำให้ราชันปราชญ์อีกหกคนได้รับบาดเจ็บสาหัส จนกลายเป็นตำนานที่ไม่มีวันลืมในภาคกลาง!

ในยุคนั้น เทพกระบี่ ได้บรรลุถึงขั้นกระบี่ในใจแจ่มกระจ่าง

เพียงมี กระบี่อยู่ในใจ ทุกสิ่งล้วนกลายเป็นกระบี่ได้

แม้แต่ หญ้าต้นเล็กๆก็สามารถกลายเป็นกระบี่ที่บั่นทะลวงมิติว่างเปล่าได้

“จิตแห่งกระบี่หนึ่งเดียว ใจคือนายของกระบี่”

นี่คือความยิ่งใหญ่ของผู้ที่บรรลุถึงจุดสูงสุดของวิถีแห่งกระบี่ ซึ่งเทพกระบี่บัวมรกตได้ฝากตำนานไว้ในยุคกลาง จนกลายเป็นแบบอย่างของผู้บ่มเพาะกระบี่รุ่นหลัง

อีกด้านหนึ่ง

ฮวาชิงหยูใช้เคล็ดวิชาฟีนิกซ์สยายปีก พร้อมปลดปล่อยพลังของกายาฟีนิกซ์ศักดิ์สิทธิ์ ออกมาอย่างเต็มที่

เหนือศีรษะของนาง ปรากฏเงาร่างฟีนิกซ์ขนาดมหึมาที่แผ่รัศมีอันน่าเกรงขาม

ฟีนิกซ์นั้นพ่นเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ “เปลวเพลิงฟีนิกซ์” ออกมา เผาค้างคาวอสูรที่อยู่เบื้องหน้า

เสียงร้องอันดังกึกก้องของฟีนิกซ์ ทุกครั้งที่มันกู่ร้อง เปลวเพลิงฟีนิกซ์ที่ถูกพ่นออกมาก็เผาทำลายค้างคาวอสูรนับไม่ถ้วน

ค้างคาวอสูรที่น่าสงสารเหล่านั้น ถูกเผาจนกลายเป็นเมนู ค้างคาวอสูรย่างไฟ

กลิ่นหอมของเนื้อย่างผสมกับกลิ่นไหม้โชยไปทั่วทั้งถ้ำ สร้างบรรยากาศที่ทั้งน่ากลัวและแปลกประหลาด

ซูเหยาเหยา ที่อยู่ข้างๆใช้กระบี่อ่อนในมือโจมตีอย่างต่อเนื่อง

พลังบ่มเพาะขอบเขตวิญญาณแรกกำเนิดขั้นสูงสุดของนางถูกปลดปล่อยออกมาเต็มที่

กระบี่ของนางเปล่งประกายด้วยพลังวิญญาณอันทรงพลัง และทุกการเหวี่ยงกระบี่สามารถฟาดฟันค้างคาวอสูรได้อย่างแม่นยำ

แต่เมื่อนางได้ใกล้ชิดต่อสู้ร่วมกับอีกสามคนนี้อีกครั้ง ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า พลังของพวกเขาน่าตื่นตะลึงเพียงใด

สือฮ่าว ราวกับเทพเจ้าแห่งสงคราม ทุกหมัดที่เขาปล่อยออกมา สามารถบดขยี้ค้างคาวอสูรนับไม่ถ้วนในพริบตา

หลินไป๋ กับเจตจำนงแห่งกระบี่บัวมรกตของเขา ทุกการโจมตีเต็มไปด้วยพลังที่แหลมคม กระบี่เดียวสามารถสังหารค้างคาวอสูรได้เป็นจำนวนมาก

ส่วนน้องหญิงฮวาชิงหยู นั้นยิ่งน่าเกรงขาม เงาร่างฟีนิกซ์ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของนาง ก่อให้เกิดการโจมตีที่รุนแรงในวงกว้าง

เปลวเพลิงฟีนิกซ์ที่ถูกพ่นออกมาทุกครั้ง สามารถแผดเผาค้างคาวอสูรตายได้เป็นจำนวนมหาศาลในคราวเดียว

ซูเหยาเหยาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า พวกเขาแต่ละคนช่างเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งเกินจินตนาการ

ซูเหยาเหยาแม้จะเป็นผู้ใช้กระบี่เช่นกัน แต่ด้วยการฝึกกระบี่มากว่าสิบปี นางยังไม่อาจแตะประตูแห่งเจตจำนงแห่งกระบี่ได้เลย

เรียกได้ว่า “แม้แต่หน้าประตูยังเข้าไม่ถึง”

“หากข้ามีพรสวรรค์เหมือนพี่หลินไป๋ก็คงดีไม่น้อย”

เขาที่อายุห่างจากนางเพียงไม่กี่ปี แต่กลับสามารถบรรลุ เจตจำนงกระบี่ขั้นเล็กได้แล้ว

แม้พลังบ่มเพาะของหลินไป๋จะต่ำกว่านางสองขั้น แต่นางกลับคิดว่าตนเองคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

แม้จะเผชิญหน้ากันด้วยพลังครึ่งหนึ่งของเขา นางยังคงไม่มั่นใจว่าจะต้านทานได้

จักรพรรดิทมิฬ มองดูทั้งสี่คนที่แสดงพลังออกมาอย่างน่าตื่นตะลึง

เมื่อเห็นว่าพวกเขาล้วนมีความสามารถน่าเกรงขามเช่นนี้ มันจึงไม่คิดลงมือ

แทนที่จะออกแรง มันกลับหาที่มุมสงบๆในถ้ำ แล้วล้มตัวลงนอนอย่างสบายใจ ราวกับกำลังพักผ่อนชมการต่อสู้อันดุเดือด

ด้วยเปลวเพลิงฟีนิกซ์ที่เผาผลาญเหล่าค้างคาวอสูร อุณหภูมิภายในถ้ำก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

จักรพรรดิทมิฬ ซึ่งพลังจิตสำนึกในตอนนี้ปลดปล่อยได้เพียงรัศมีหนึ่งเมตรเท่านั้น คิดในใจว่า “ในเขตหนึ่งเมตรนี้ ข้าคือผู้ไร้เทียมทาน”

แต่สภาพของมันในตอนนี้ยังคงอ่อนแอมาก

การปลดปล่อยพลังจิตสำนึกอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบต่อ ต้นกำเนิดพลัง ซึ่งมันไม่อยากเสี่ยง

ดังนั้น หากไม่จำเป็นจริงๆมันก็จะหลีกเลี่ยงการลงมือ

“ศิษย์น้อง ศิษย์น้องหญิง เหยาเหยา พวกเจ้ารีบไปก่อน ข้าจะต้านพวกมันไว้เอง!”

สือฮ่าวปล่อยหมัดอันทรงพลังออกไป ก่อนจะหันมาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยโทสะและความมุ่งมั่น

พลังวิญญาณในร่างของเขากำลังเดือดพล่าน ราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิด

ถ้ำวิญญาณทั้งเก้าของเขา กำลังหลั่งไหลพลังวิญญาณออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ที่สำคัญ เขายังมีไพ่ตายอย่างกระดูกจักรพรรดิ ที่ยังไม่ได้ใช้งาน

นี่คือไพ่ตายสุดท้ายที่เขาเตรียมไว้ หากสถานการณ์บีบบังคับ

ค้างคาวอสูรเหล่านี้ แม้พลังจะไม่แข็งแกร่งนัก แต่ด้วยจำนวนที่มากมายมหาศาล และยังคงบินมาจากทุกทิศทางอย่างไม่หยุดยั้ง กลับกลายเป็นอุปสรรคที่ยากจะต้านทาน

ยิ่งไปกว่านั้น ในการรับรู้ของสือฮ่าว เขาสัมผัสได้ถึงพลังของอสูรที่แข็งแกร่งกว่านี้อีกหลายตัว กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้

"ไม่ได้! ถ้าจะไป ก็ต้องไปด้วยกัน!"

"พวกอสูรไร้ค่าเหล่านี้ ยังทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก!"

หลินไป๋กล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ ก่อนจะสะบัดกระบี่บัว

มรกต ปล่อยกระบวนท่าต่อเนื่องออกมา

แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ขณะจ้องมอง ค้างคาวอสูรที่ยังคงบินเข้ามาไม่หยุด

"ดูเหมือนวันนี้จะเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อเสียแล้ว"

"ถ้าอย่างนั้น ก็มาเถอะ!"

"กระบี่บัวมรกตของข้าเองก็โหยหาความกระหายเลือด

เช่นกัน!"

พวกเขายังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด เพราะยังต้องเก็บเรี่ยวแรงไว้สำหรับการแย่งชิงสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ ที่คาดว่าจะต้องมีการปะทะอย่างดุเดือดในภายหลัง

หลินไป๋ปลดปล่อยกระบวนท่ากระบี่ออกมาอีกหลายครั้ง ด้วยพลังกระบี่ที่รุนแรง ค้างคาวอสูรตรงหน้าของเขาถูกสังหารจนหมดสิ้นในพริบตา

หลินไป๋หันมองไปรอบๆ

ศิษย์พี่ อยู่ที่ไกลออกไป ปล่อยหมัดอย่างรุนแรงใส่ค้างคาวอสูรไม่หยุด

ศิษย์น้องหญิง และ ซูเหยาเหยา ต่างก็กำลังใช้เคล็ดวิชาเพื่อสังหารค้างคาวอสูรอย่างขะมักเขม้น

มีเพียงแต่ เจ้าสุนัขดำตัวนั้นที่นอนอยู่ด้านหลังของพวกเขาในท่าทางอันแสนขี้เกียจ

“บ้าจริง! ก่อนหน้านี้ยังอวดดีว่าจะช่วยเรา พอถึงคราวต้องลงมือ กลับเอาแต่นอนเฉย!

อยากให้เราพาเจ้าออกไปจากแดนลับนี้ เจ้าก็ควรทำตัวให้สมกับคำพูดหน่อยสิ!”

หลินไป๋กัดฟัน ก่อนจะเดินเข้าไปหาเจ้าจักรพรรดิทมิฬ

เขายืนอยู่เหนือมัน มองลงไปด้วยสายตาตำหนิ

“เฮ้ เฮ้ เฮ้ เจ้าจักรพรรดิทมิฬนั่นน่ะ! ข้ายอมรับว่าก่อนหน้านี้ข้าพูดจาเสียงดังไปหน่อย ตอนนี้ขอถอนคำพูดก็แล้วกัน”

จักรพรรดิทมิฬยืดตัวขึ้นเล็กน้อย พลางพยักหน้าอย่างภูมิใจ

“ดีมาก! คนที่ยอมรับผิดได้และแก้ไขสิ่งที่ผิดถือว่าเยี่ยมที่สุด

จักรพรรดิอย่างข้า เพียงแค่เห็นพวกเจ้า ก็รู้ว่าพวกเจ้าไม่ธรรมดา และมีศักยภาพที่จะทำเรื่องยิ่งใหญ่ได้”

จักรพรรดิทมิฬพูดพลางสะบัดตัวเล็กน้อย ยืนขึ้นด้วยท่าทางสำอาง

หลินไป๋ยิ้มเย็น ก่อนจะตอบกลับไป

“ถ้าอย่างนั้น จักรพรรดิทมิฬ เรื่องนี้ก็ฝากเจ้าจัดการแล้วกัน

พวกข้าต้องรีบไปแย่งชิงสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์กันต่อ เจ้าเองก็ควรแสดงฝีมือให้สมกับคำพูดเสียที”

พูดจบ เขาก็ย่อตัวลง อุ้มจักรพรรดิทมิฬขึ้นมาอย่างง่ายดาย พลางยิ้มเยาะเล็กน้อย

“เฮ้! เจ้าเด็กน้อย เจ้าจะทำอะไร?

รีบปล่อยจักรพรรดิเดี๋ยวนี้!”

จักรพรรดิทมิฬร้องตะโกนพลางดิ้นในอ้อมแขนของหลินไป๋

แต่หลินไป๋ไม่ได้สนใจ เขาอุ้มจักรพรรดิทมิฬเดินไปที่แนวหน้าของถ้ำ

“ศิษย์พี่ ศิษย์น้องหญิง พวกเจ้าลุยไปก่อนเลย

จักรพรรดิทมิฬจะออกโรงช่วยพวกเราต้านหลังเอง!”

หลินไป๋พูดพร้อมกับโยนจักรพรรดิทมิฬไปยังจุดที่มีค้างคาวอสูรหนาแน่นที่สุด

“มันบอกว่าพลังของมันแข็งแกร่งเกินไป ถ้าออกมือ อาจทำให้พวกเราได้รับบาดเจ็บ”

จักรพรรดิทมิฬถูกโยนไปทั้งที่ยังไม่ทันตั้งตัว

“บ้าจริง! ข้าคือจักรพรรดิ! เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์มาจัดการข้าได้งั้นหรือ?”

สือฮ่าวและคนอื่นๆได้ยินคำพูดของหลินไป๋ แม้จะไม่เชื่อสนิทใจ แต่ก็เลือกที่จะค่อยๆถอยออกไปขณะที่ยังสังหารค้างคาวอสูรอยู่

“ตกลงตามนี้ จักรพรรดิผู้นี้จะช่วยพวกเจ้าเปิดทาง แต่พวกเจ้าต้องพาข้าออกไปจากแดนลับแห่งนี้ด้วย!”

จักรพรรดิทมิฬพึมพำในใจ

“พวกมนุษย์ตัวเล็กๆเหล่านี้คงจะสามารถแย่งชิงสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่ยาก ด้วยพลังของพวกมัน

พอข้าฟื้นพลังขึ้นมาสักหน่อย ข้าจะใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อย สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์นั่นย่อมตกเป็นของข้า

เมื่อข้ากลืนกินสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์นั้น จิตวิญญาณที่บอบช้ำของข้าก็จะได้รับการบำรุง!”

จักรพรรดิทมิฬสะบัดขน พลางพูดด้วยน้ำเสียงอวดดี

“เจ้าเด็กน้อยทั้งหลาย รีบไปเถิด! ค้างคาวอสูรพวกนี้ จักรพรรดิผู้นี้ตัวคนเดียวก็จัดการได้ทั้งหมด!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด