ตอนที่ 71 ปรมาจารย์หลอมโอสถแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เดินทางสู่ชิงหยุน
ตอนที่ 71 ปรมาจารย์หลอมโอสถแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เดินทางสู่ชิงหยุน
อีกสองวันครึ่งถัดมา
สำนักชิงหยุน หอเจ้าสำนัก
เฟิงชิงหยางกำลังตั้งใจเริ่มต้นการบ่มเพาะประจำวัน
ในเมื่อบรรลุถึงขอบเขตปราชญ์แล้ว จะปล่อยให้ตนเองเฉื่อยชาไปกว่านี้มิได้
เขาเป็นถึงเจ้าสำนักของสำนักอันยิ่งใหญ่
แม้จะไม่ต้องเป็นแบบอย่างเลิศล้ำ แต่ยังไงก็ต้องแสดงความพยายามให้สมฐานะบ้าง
เหล่าผู้เยาว์อัจฉริยะจากภาคกลางทั้งหลาย ตอนนี้คงเข้าสู่ขอบเขตแปรวิญญาณกันหมดแล้ว ส่วนพวกยอดอัจฉริยะคงไม่แคล้วบรรลุถึงขอบเขตสร้างวิญญาณ
แต่ดูเขาสิ ยังอยู่แค่ขอบเขตปราชญ์เท่านั้น…
ขอบเขตการบ่มเพาะนั้นแบ่งออกเป็น
หลอมรวม
ก่อตั้งรากฐาน
แก่นทองคำ
วิญญาณแรกกำเนิด
แปรวิญญาณ
สร้างวิญญาณ
ผู้ไร้มลทิน
เบิกฟ้า
ปราชญ์
ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์
มหาปราชญ์
ราชันปราชญ์
จักรพรรดิ
มหาจักรพรรดิ
(ถึงผู้เขียนไม่ค่อยเน้นย้ำ แต่ผู้แปลจะเน้นย้ำขอบเขตบ่มเพาะตลอดจนกว่าจะจำได้)
ในขณะที่เฟิงชิงหยางกำลังจะหลับตาเริ่มต้นการบ่มเพาะ
[“ติ๊ง! นายท่านมีข้อมูลล่าสุดที่ต้องอัปเดต”]
เจ้าสำนัก: เฟิงชิงหยาง
•ขอบเขต: ปราชญ์ขั้นต้น
•ศิษย์:
•หลินไป๋
•สือฮ่าว
•ฮวาชิงหยู
•ร่างกาย: กายาเทพเอกะจักรวาล
ผู้อาวุโสสายใน
•มู่ซุยเซียน: ขอบเขตปราชญ์
•หลัวเฉิน: กึ่งปราชญ์
•ผู้อาวุโสคุมกฎ หลัวอู่เต้า: ขอบเขตปราชญ์ขั้นสูงสุด
•ผู้อาวุโสหอคัมภีร์ เนี่ยห่ายหลง: ขอบเขตปราชญ์ขั้นสูงสุด
•ผู้อาวุโสฝ่ายหลอมโอสถ โม่เวิ้น: ขอบเขตมหาปราชญ์ขั้นสูงสุด
ผู้อาวุโสพิทักษ์
•หลงเสีย: ขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด
อสูรศักดิ์สิทธิ์ผู้ช่วยงาน
•อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่: ขอบเขตปราชญ์ (ระดับเก้า)
สำนัก
•ชื่อ: สำนักชิงหยุน
•ระดับ: ระดับหนึ่ง (9995/10000)
“แต้มสำนัก 9995?”
“เจ้ามาล้อข้าหรืออย่างไร ระบบ!”
บ้าจริง! ครั้งหน้าคงไม่อัปเป็น 9999 แล้วมาหยอกกันอีกหรอกใช่ไหม? เจ้าจะมาเล่นตลกแบบลดราคากันทำไม!
เฟิงชิงหยางมองปราดเดียวก็เห็นว่า แต้มสำนักเพิ่มขึ้นจาก 9500 มาเป็น 9995
นี่ถ้าจะอัปเกรดเป็นสำนักระดับสอง คงต้องรอกันถึงปีวอกแน่แท้!
เฟิงชิงหยางเปิดดูหมวดแต้มชื่อเสียง
พบว่าแต้มชื่อเสียงเพิ่มขึ้นถึงห้าแสนเต็มๆ
การเพิ่มขึ้นของแต้มชื่อเสียงถือว่ารวดเร็วและรุนแรงนัก
นั่นก็ใช่ ตอนนี้ชื่อเสียงของสำนักชิงหยุนได้แพร่สะพัดไปทั่วทุกแคว้น
ในสิบสามแคว้นแห่งภาคตะวันออก กว่าครึ่งถูกอำนาจของสำนักชิงหยุนกดข่ม
แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า สำนักชิงหยุนก็ทำให้สามแห่งก้มหัว และอีกหนึ่งแห่งยอมสวามิภักดิ์
ส่วนแห่งสุดท้าย…
วันไหนไม่สบอารมณ์ ก็คงไม่ไว้หน้ากันเช่นกัน
“แต้มชื่อเสียงเท่านี้ ถ้าสะสมอีกหน่อย คงพอแลกผู้แข็งแกร่ง
ขอบเขตมหาจักรพรรดิได้แล้ว”
เฟิงชิงหยางคิดคำนวณในใจ
ผู้แข็งแกร่งขอบเขตมหาจักรพรรดิ ยิ่งมีมากยิ่งดี เพราะในตระกูลมหาจักรพรรดิที่แข็งแกร่ง ตระกูลโบราณ หรือสายตระกูลแห่งยุคปฐมกาลในภาคกลาง คาดว่าย่อมต้องมีมหาจักรพรรดิประจำการอยู่
เพียงแต่บุคคลเหล่านั้นอาจไม่ย่างกรายออกจากโลกภายนอก
แน่นอน ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเองเท่านั้น
ด้วยเวลาที่เขามายังโลกแห่งนี้เพียงหนึ่งเดือนครึ่ง ยังไม่อาจเข้าใจในดินแดนนอกเหนือจากภาคตะวันออกได้อย่างถ่องแท้
ในขณะนี้
ที่ตีนเขาของสำนักชิงหยุน
หลี่เยียนจือกำลังรอใครบางคนอยู่
นางเงยหน้ามองไปยังที่ไกลเป็นระยะ
“มาแล้ว!”
เพียงเห็นเรือรบขนาดมหึมาลำหนึ่งแล่นมาจากที่ไกล ก่อนจะหยุดลงที่ตีนเขาสำนักชิงหยุน
หลี่เยียนจือได้ส่งข้อความแจ้งเตือนล่วงหน้าไว้แล้วว่า บริเวณนี้เป็นเขตห้ามบิน
หากไม่ได้บอกล่วงหน้า
เกรงว่าเรือรบของแดนศักดิ์สิทธิ์อาจถูกผู้แข็งแกร่งในสำนัก ใช้เพียงฝ่ามือเดียวบดขยี้จนแหลกเป็นชิ้นๆ
และหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริง คงเหมือนมังกรพิโรธน้ำท่วมศาลเจ้าตนเอง
บุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการหลอมโอสถเพื่อสำนัก
เหล่าปรมาจารย์หลอมโอสถจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทยอยลงจากเรือรบ โดยมี หลี่ชิงซวน ผู้เป็นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้นำ
เขาเป็นถึงปราชญ์โอสถ-ปรมาจารย์หลอมโอสถระดับเก้า และเดินทางมายังสำนักหลักด้วยตนเอง เพราะทางแดนศักดิ์สิทธิ์มีปรมาจารย์ระดับบรรพชนประจำการอยู่เพียงพอ
ในใจเขาก็อยากมาเห็นความยิ่งใหญ่ของสำนักหลักด้วยตาตนเอง ว่าจะทรงอำนาจสมคำร่ำลือจากหลี่เยียนจือหรือไม่
ทันทีที่กลุ่มคนลงจากเรือรบ ก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่ทำให้จิตใจปลอดโปร่ง และพลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่ปะทะเข้ามา
ราวกับสำนักชิงหยุนแห่งนี้ เป็นแดนเซียนอันศักดิ์สิทธิ์โดยแท้จริง
“สวรรค์! ที่นี่พลังวิญญาณช่างเข้มข้นนัก!”
“ไม่คาดคิดเลยว่าในดินแดนหลิงโจวจะมีสถานที่อันยอดเยี่ยมเช่นนี้ สมแล้วที่เป็นสถานที่ที่สำนักหลักปักหลักอยู่ พลังวิญญาณที่นี่เข้มข้นกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราหลายเท่า”
“หากได้หลอมโอสถที่นี่ ข้าคงเพิ่มโอกาสสำเร็จในการหลอมโอสถได้อีกสามส่วน”
ปรมาจารย์หลอมโอสถระดับห้าจากแดนศักดิ์สิทธิ์เอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึง เขาคือปรมาจารย์หลอมโอสถระดับห้า หากการหลอมโอสถแต่ละครั้งสามารถเพิ่มโอกาสสำเร็จได้ถึงสามส่วน การก้าวหน้าบนเส้นทางโอสถของเขาย่อมพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว
“หากปรมาจารย์ของสำนักชิงหยุนมาเร็วกว่านี้ก็คงดีไม่น้อย…”
ครั้งนี้แดนศักดิ์สิทธิ์หยู้ตานได้ส่งปรมาจารย์หลอมโอสถมาจำนวนมาก โดยเฉพาะปรมาจารย์ระดับสี่ขึ้นไปที่ถูกเรียกรวมตัวทั้งหมด
ปรมาจารย์หลอมโอสถระดับสี่ จำนวน 30 คน
ระดับห้า จำนวน 20 คน
ระดับหก จำนวน 15 คน
ระดับเจ็ด จำนวน 10 คน
ระดับแปด จำนวน 3 คน
ส่วน ระดับเก้าหรือปราชญ์โอสถ คือเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์และอาวุโสใหญ่ รวมกัน 2 คน
นี่คือต้นทุนและรากฐานที่แท้จริงของแดนศักดิ์สิทธิ์
ควรทราบว่า วิถีโอสถนั้นมิใช่เรื่องง่ายดายแต่อย่างใด
เพราะไม่เพียงแต่ต้องพึ่งพาขอบเขตการบ่มเพาะเท่านั้น การหลอมโอสถในระดับสูงยังต้องอาศัยพลังจิตวิญญาณที่สอดคล้องกับระดับโอสถที่หลอม ซึ่งหมายถึงพลังวิญญาณโดยตรง
ยิ่งพลังจิตแข็งแกร่ง พลังวิญญาณก็ยิ่งทรงพลัง
ทั้งนี้ยังต้องขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ด้านการหลอมโอสถของแต่ละคนด้วย
หากไร้พรสวรรค์ แม้ใช้ชีวิตจนถึงบั้นปลาย ก็อาจไม่อาจก้าวข้ามระดับปรมาจารย์หลอมโอสถขั้นสองได้ และอาจต้องติดอยู่ในขั้นหนึ่งหรือระดับที่ไม่เป็นที่ยอมรับไปตลอดชีวิต
สามารถกล่าวได้ว่า เส้นทางของโอสถนั้นต้องพึ่งทั้งการฝึกตนและพรสวรรค์ควบคู่กัน
ปัจจุบันแดนศักดิ์สิทธิ์ยังเหลือเพียงเหล่าผู้อาวุโส ศิษย์ และผู้แข็งแกร่งบางส่วนที่ยังประจำการอยู่
ขณะที่ทุกคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์หยู้ตานทยอยลงจากเรือรบ
และเมื่อมองเห็นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เดินนำหน้ามา
“ท่านพ่อ!”
หลี่เยียนจือร้องเรียกเสียงดังจากระยะไกล
“เยียนเอ๋อร์!”
หลี่ชิงซวนเห็นบุตรสาวของตนอยู่ไม่ไกลนัก
เขารีบเร่งก้าวเข้าไปหาทันที
เหล่าปรมาจารย์หลอมโอสถแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์หยู้ตานต่างเดินตามเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นระเบียบ
“ท่านผู้อาวุโส ผู้คนเหล่านี้คือเหล่าปรมาจารย์หลอมโอสถแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์หยู้ตาน
พวกเราปฏิบัติตามคำสั่งของท่านเจ้าสำนัก เดินทางมายังสำนักชิงหยุน
หลี่เยียนจือหันไปกล่าวกับผู้คุ้มกันที่อยู่ข้างกาย
“อืม เบื้องบนได้สั่งการไว้แล้ว
พวกท่านขึ้นเขาไปได้เลย”
ผู้คุ้มกันที่เฝ้าประตูได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสแล้วว่า เหล่าปรมาจารย์หลอมโอสถแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์หยู้ตานจะเดินทางมาถึงในวันนี้
หน้าที่ของเขาคือเปิดทางให้พวกเขาเดินทางขึ้นไปโดยไม่ขัดขวาง
ไม่นานนัก
สำนักชิงหยุน
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์หลี่ชิงซวนพร้อมด้วยเหล่าปรมาจารย์หลอมโอสถแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ เดินตามหลี่เยียนจือเข้าสู่ภายในสำนัก
ทันทีที่ก้าวเข้าสู่เขตสำนัก ราวกับพวกเขาได้เข้าสู่โลกอีกใบ
แดนเซียน!
พลังวิญญาณที่เข้มข้นและลึกล้ำถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง!
ก่อนหน้านี้ พวกเขาเพิ่งถูกตะลึงไปกับบันไดสวรรค์มายาที่ทอดยาวสู่ชั้นเมฆ
ไม่คาดคิดว่าเบื้องหลังประตูของสำนักนี้ จะมีความมหัศจรรย์ซ่อนอยู่มากมายยิ่งกว่านั้น
พลังวิญญาณที่นี่เข้มข้นขึ้นอีกหลายสิบเท่า จนกลายเป็นละอองสายฝนโปรยปราย
หอและอาคารที่ตั้งเรียงราย งดงามราวภาพวาด แผ่นป้ายชื่อประดับหอถูกจารึกด้วยอักขระที่เปี่ยมด้วยร่องรอยแห่งมหาวิถี
ทุกฉากที่ปรากฏภายในสำนักชิงหยุน สร้างความตื่นตะลึงและตรึงลึกในใจของพวกเขา
ราวกับทำลายขอบเขตความเข้าใจเดิมๆที่พวกเขาเคยมี
ถึงแม้พวกเขาจะมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ และไม่ได้เป็นคนที่ขาดประสบการณ์หรือไร้ความรู้ แต่สิ่งที่พบเจอในวันนี้กลับเหนือกว่าทุกสิ่งที่พวกเขาเคยเห็นมา
ในเวลานี้ พวกเขาก็เหมือนกับชาวบ้านที่หลงเข้าไปในสวนสวรรค์ หรูหราจนตะลึงลาน
สำนักหลักแห่งนี้ช่างเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดได้จริงๆ
ไม่แปลกใจเลยที่สำนักแห่งนี้จะมีผู้แข็งแกร่งมากมายเช่นนั้น!
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรำพึงออกมาในใจ
“ท่านเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ตัดสินใจได้เฉียบแหลมนัก!”
หากได้หลอมโอสถในสถานที่เช่นนี้ ต่อให้ต้องทำงานหนักแค่ไหน พวกเขาก็ยินดีนับหมื่นครั้ง
หลี่เยียนจือที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นปรมาจารย์หลอมโอสถจากแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ซึ่งเมื่อครั้งอยู่ที่นั่นต่างเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง บัดนี้กลับตกตะลึงจนแทบจะตั้งคำถามกับชีวิตตัวเอง
นางแทบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
เมื่อครั้งแรกที่นางมาเยือนสำนักหลักแห่งนี้ ตัวนางเองก็เช่นกัน ตื่นตะลึงจนเหมือนถูกเปิดโลกใบใหม่
“ที่เยียนเอ๋อร์พูดไว้ ไม่ผิดเลยจริงๆ!”
“นี่แหละคืออำนาจแห่งบารมี เมื่อทำตามกระแสแห่งความยิ่งใหญ่ สำนักชิงหยุนย่อมทะยานสู่ฟ้าไร้ขอบเขต”
หลี่ชิงซวนรำพึงในใจด้วยความซาบซึ้ง
“ไปเถิด ท่านพ่อ ข้าจะพาท่านและทุกคนไปยังหอโอสถ ผู้อาวุโสกำลังรออยู่ที่นั่น”
หลี่เยียนจือกล่าวพร้อมนำทางไปยังสถานที่อันทรงเกียรติอีกแห่งในสำนักชิงหยุน