ตอนที่ 69 การแข่งขันในหอโอสถ
ตอนที่ 69 การแข่งขันในหอโอสถ
เตาหลอมมหาวิถีค่อยๆลอยลงมาสู่พื้น
เฟิงชิงหยางยื่นมือออกแล้วพูดเรียบๆ
"รับมันไป”
"ข้าจะไปหอโอสถพร้อมกับเจ้า ดูสิว่าที่นั่นกำลังดำเนินงานกันอย่างไร"
เฟิงชิงหยางก้าวเดินลงมาจากตำแหน่งสูงสุด พลังแห่งการบรรลุขอบเขตปราชญ์ยังคงไหลเวียนในร่างของเขา
อืม… ความรู้สึกของการครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่นี้ ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก
โม่เวิ้นเมื่อได้ยินดังนั้น ก็เก็บเตาหลอมมหาวิถีกลับเข้าไป
จากนั้นเดินตามหลังท่านเจ้าสำนักออกจากหอไป
ระหว่างทาง ไม่มีแม้เงาของศิษย์สายนอกหรือศิษย์รับใช้ให้เห็นเลย
เพราะสถานที่นี้คือใจกลางของสำนัก มีเพียงเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา
ผู้ใดบุกรุกโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าสำนัก จะถูกลงโทษตามกฎของสำนักอย่างเท่าเทียม
ระหว่างทางไปยังหอโอสถ พวกเขาก็พบกับสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังทำงานอยู่
เหล่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้จำแลงกายเป็นมนุษย์ กำลังกวาดพื้นอย่างขยันขันแข็ง
เมื่อพวกมันเห็นท่านเจ้าสำนักเดินมา โดยมีผู้อาวุโสผู้ลึกลับอย่างยากหยั่งถึงเดินตามหลัง
ความหวาดกลัวพลันปรากฏในแววตา พวกมันจึงรีบกวาดพื้นอย่างไม่คิดชีวิต มือกวาดพื้น เท้าถูพื้น
เมื่อเห็นว่าท่านเจ้าสำนักเพียงเดินผ่านไปโดยไม่ได้สนใจ พวกมันจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ทำตัวให้ต่ำต้อยไว้ดีกว่า อย่าให้เป็นที่จับตามองเป็นอันขาด”
สำนักในตอนนี้กำลังพัฒนาไปอย่างเป็นระเบียบยิ่งขึ้น
หอโอสถ มีทั้งศิษย์และอาวุโสคอยดูแล
หอคำภีร์ ก็มีอาวุโสประจำอยู่เช่นกัน
ส่วนหอคุมกฎ ก็มีทั้งอาวุโสและศิษย์
เมื่อไม่กี่วันก่อน อาวุโสคุมกฎ ยังได้คัดเลือกศิษย์สายนอกเข้าร่วมหอคุมกฎอีกด้วย
การดำรงอยู่ของหอคุมกฎมีไว้เพื่อสร้างความเกรงขามให้กับศิษย์ และทำหน้าที่บังคับใช้กฎของสำนัก
ส่วนศิษย์สายนอกและศิษย์รับใช้นั้น เวลาที่พวกเขาจะได้พลิกชะตาก็ใกล้เข้ามาแล้ว
อีกเพียงยี่สิบวัน ก็จะถึงเวลาที่รายนามอันดับศิษย์สายนอกและศิษย์รับใช้จะถูกกำหนด
ในเวลานั้น จะมีศิษย์สายนอกสิบคนได้เลื่อนขั้นเข้าสู่ศิษย์สายใน
อย่างไรก็ตาม เรื่องพวกนี้หาใช่สิ่งที่เฟิงชิงหยางต้องใส่ใจไม่
มีเพียงศิษย์แกนหลักของสำนักเท่านั้นที่อาจเรียกร้องความสนใจจากเขาได้บ้าง
ส่วนศิษย์สายตรงของเขา ทุกคนต่างออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์อยู่โลกภายนอก
อาจจะในอนาคต สำนักจะมีการแต่งตั้ง ศิษย์ลำดับ หรือแม้แต่ บุตรศักดิ์สิทธิ์ แต่เรื่องนั้นยังเป็นเพียงอนาคตไกล
ณ หอโอสถ
ในขณะนั้น บรรยากาศในหอเต็มไปด้วยความคึกคัก ศิษย์และอาวุโสต่างเร่งมือทำงานกันอย่างแข็งขัน
ทรัพยากรมากมายจากเหล่าขุมกำลังในสี่แคว้นถูกส่งมาถึง ไม่ว่าจะเป็นโอสถหรือสมุนไพรหลากหลายชนิด
ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องวัตถุดิบขาดแคลน สามารถหลอมโอสถได้เต็มที่
ในขณะนี้ ตานชิงยืนอยู่เบื้องหน้าเตาหลอมโอสถ
มือซ้ายของเขาใช้เพลิงทมิฬครามอันเยียบเย็นแผดเผา ส่วนมือขวาค่อยๆ ใส่สมุนไพรลงในเตาหลอมทีละชิ้น การกระทำเช่นนี้วนซ้ำไปเรื่อยๆ
โอสถแต่ละเตาถูกหลอมออกมาอย่างต่อเนื่อง
ไม่เพียงแค่นั้น กลิ่นหอมของโอสถที่อบอวลและลวดลายบนโอสถบ่งบอกได้ชัดเจนว่า โอสถทั้งหมดที่เขาหลอมนั้นล้วนเป็น โอสถขั้นสูงสุดของระดับนั้นๆ
กระบวนการหลอมโอสถของเขาช่างไร้ที่ติ จนหลี่เยียนจือที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับอ้าปากค้าง มองดูด้วยความตื่นตะลึง
อาจารย์ท่านนี้ช่างร้ายกาจถึงเพียงนี้!
ข้าคงไม่มีทางเทียบเขาได้เลย!
ในช่วงเวลาสั้นๆนั้นเอง ขณะที่ตัวนางสามารถหลอมโอสถออกมาได้เพียงเตาเดียว
อาจารย์ท่านนั้นกลับสามารถหลอมออกมาหลายเตาได้อย่างง่ายดาย
“เขาไม่เหนื่อยบ้างหรือ?
หรือเขามีพลังวิญญาณไม่สิ้นสุดกันแน่?
ทำงานซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้ เขาไม่รู้สึกว่างเปล่าบ้างหรือ?”
ขณะเดียวกัน หลี่เยียนจือก็สังเกตเห็นเปลวไฟในมือของชายชรา ซึ่งดูแปลกประหลาดและไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
เปลวไฟสีทมิฬครามนั้น เพียงแค่มองก็ทำให้รู้สึกหวาดกลัวราวกับเป็นไฟปีศาจ
“นี่มันคือเปลวเพลิงอันใด
หรือว่าจะเป็น เพลิงลี้ลับ?”
เพียงแค่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจ นางก็ถึงกับตกตะลึงในความคิดของตัวเอง
เพราะเพลิงลี้ลับนั้นมิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะครอบครองได้ง่ายๆ มันเป็นเปลวไฟหายากที่มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่ และถือเป็นสมบัติล้ำค่าของปรมาจารย์หลอมโอสถ
การครอบครองเพลิงลี้ลับ ต้องอาศัยโชคอันใหญ่หลวง และยังต้องได้รับการยอมรับจากเปลวไฟนั้นอีกด้วย
หากไม่เช่นนั้น ไม่เพียงจะไม่ได้ประโยชน์ใดๆ แต่ยังอาจถูกเพลิงลี้ลับย้อนกลับมาเล่นงาน จนเผาร่างกลายเป็นเถ้าธุลี
ตามที่หลี่เยียนจือรู้ แม้แต่ในดินแดนภาคกลาง สำนักโอสถที่ยิ่งใหญ่ยังมีปรมาจารย์หลอมโอสถซึ่งครอบครองเพลิงลี้ลับเพียงไม่กี่คนเท่านั้น นับได้ไม่เกินหยิบมือ
“ท่านผู้อาวุโส อาจารย์ท่านนี้เป็นอาวุโสของหอโอสถใช่หรือไม่?”
หลี่เยียนจือถามหลงเสียด้วยความสงสัย
หากเขาเป็นอาวุโสจริง นางก็จะต้องเร่งฝีมือให้หนักขึ้น จะได้ไม่ให้อาวุโสดูถูกนาง
ในสายตาของนาง อาจารย์ผู้นี้หลอมโอสถระดับหกได้รวดเร็วปานนี้ และยังเป็นโอสถขั้นสูงสุดอีกด้วย
นั่นย่อมต้องเป็นบุคคลระดับอาวุโสอย่างแน่นอน
“เขาน่ะหรือ? เขาเหมือนเจ้าทุกประการ เป็นเพียงศิษย์เช่นกัน”
หลงเสียกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“แต่ตอนนี้ เขาเป็นแค่เศษเสี้ยวจิตวิญญาณเท่านั้นเอง
เมื่อครั้งยังมีชีวิต เขาเป็นถึงปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด และเป็น จ้าวปราชญ์โอสถรระดับสิบแห่งสำนักโอสถ
แต่ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนักหรอก”
“อ้อ อีกอย่าง ไฟที่เขาใช้นั่น ข้าดูแล้วน่าจะเป็นเพลิงลี้ลับที่ทรงพลังมาก
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เจ้าตั้งใจฝึกเข้าไว้ พยายามให้เก่งกว่าเขาให้ได้ก็แล้วกัน”
หลงเสียพูดด้วยท่าทางไม่ใส่ใจนัก ราวกับเรื่องที่เล่านั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
เพียงแต่ น้ำเสียงของหลงเสียกลับไม่เข้ากันเลยกับสีหน้าของเขา
นี่เจ้าจะเย็นชา หรือจะตลกโปกฮากันแน่
ในขณะเดียวกัน
เฟิงชิงหยางและโม่เวิ้นก็มาถึงหอโอสถ
หอโอสถนั้นโอ่อ่าหรูหรา ไม่แพ้หอคำภีร์ เลยแม้แต่น้อย
ทั้งสองเดินเรียงกันเข้าไปข้างใน
หลี่เยียนจือที่กำลังหันหัวกลับมา ก็พบกับชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เดินเข้ามา
ชายหนุ่มผู้นี้งดงามราวภาพวาด ใบหน้าหล่อเหลาเจือความอ่อนโยนเยี่ยงปีศาจ ดวงตาเรียวคมส่องประกายแสงสีม่วงลึกลับ
แววตาของเขาเต็มไปด้วยความลึกซึ้งและเสน่ห์ชวนสะกดใจ ร่างกายเปี่ยมไปด้วยอำนาจของผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดมาเนิ่นนาน ทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกถึงแรงกดดันอันหนักหน่วง
(ถ้าไม่สามารถจินตนาการได้ ให้เปิดกล้องแล้วเปลี่ยนไปที่โหมดเซลฟี่ได้เลย)
ด้านหลังของชายหนุ่ม ยังมีชายชราผู้ลึกลับติดตามมาด้วย ซึ่งแม้แต่นางยังมองไม่ออกถึงระดับพลังบ่มเพาะของเขา
“หรือว่านี่จะเป็นหนึ่งในระดับสูงของสำนัก? ไม่ก็อัจฉริยะผู้มีตำแหน่งสูงส่งในสำนัก?”
หลี่เยียนจือคิดในใจ
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านถึงกับมาด้วยตัวเองหรือ?”
เมื่อหลงเสียเห็นว่าเป็นท่านเจ้าสำนัก เขาจึงรีบก้าวเข้าไปต้อนรับ
“ข้ามาเพื่อตรวจดูหอโอสถ ว่ามีการจัดการเป็นอย่างไรบ้าง”
เฟิงชิงหยางกล่าวพลางมองสำรวจรอบหอ แล้วจึงยืนกอดอกพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ท่านเจ้าสำนัก วางใจเถิด
สิ่งที่ท่านมอบหมายให้ข้าจัดการ ข้าทำสำเร็จหมดแล้ว”
หลงเสียชี้ไปที่หลี่เยียนจือพลางกล่าว
“นี่คือธิดาของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์หยู้ตาน นางได้ส่งข่าวกลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว อีกไม่นาน แดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะสยบต่อสำนักชิงหยุนของเรา
เมื่อถึงเวลานั้น ปรมาจารย์หลอมโอสถของแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะมาเข้าร่วมกับเราด้วยเช่นกัน”
หลงเซี่ยชี้นิ้วไปที่หลี่เอียนจือซึ่งอยู่ด้านหลังเขาเป็นเชิงบอกใบ้
“อะไรนะ! ชายหนุ่มลึกลับผู้นี้คือท่านเจ้าสำนัก
สำนักนี้ทรงพลังถึงเพียงนี้ เช่นนั้นท่านเจ้าสำนักย่อมต้อง…”
หลี่เยียนจือถึงกับตกตะลึง เพราะบุคคลที่นางไม่เคยแม้แต่จะกล้าคิดว่าจะได้พบ กลับมายืนอยู่ไม่ไกลจากนางในเวลานี้
บุคคลผู้ที่นางทำได้เพียงเฝ้ามองด้วยความเลื่อมใสและยำเกรง บัดนี้ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า
เมื่อเห็นหลงเสีย ชี้มาที่ตน นางจึงรีบตั้งสติและก้าวไปข้างหน้า
“เยี่ยนจือขอคารวะท่านเจ้าสำนัก
สิ่งที่ท่านผู้อาวุโสหลงกล่าวเป็นความจริง แดนศักดิ์สิทธิ์หยู้ตานของข้ายินดีสยบต่อสำนักชิงหยุน”
การมาครั้งนี้ทำให้นางได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่าง และยิ่งตระหนักว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ของตนเทียบกับสำนักชิงหยุนไม่ได้เลย
แดนศักดิ์สิทธิ์จำต้องยอมศิโรราบ หากหวังจะพัฒนาก้าวหน้าไปอีกขั้น
“อืม ทำได้ดี”
เฟิงชิงหยางพยักหน้าเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้สนใจคำพูดของหลี่เยียนจือมากนัก และหันไปพูดคุยกับหลงเสียต่อ
“ขอบพระคุณที่ท่านเจ้าสำนักชื่นชม”
หลงเสียกล่าวพร้อมยิ้มภูมิใจ
“เป็นอย่างไร? เจ้าไม่ได้ใช้อำนาจข่มขู่ใช่หรือไม่?
สำนักชิงหยุนของเราเป็นสำนักที่รักในความสงบ สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดคือการฆ่าฟันและการรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า”
“ท่านวางใจได้ท่านเจ้าสำนัก ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นแน่นอน
ข้าอธิบายให้พวกเขาเข้าใจด้วยเหตุผลและโน้มน้าวด้วยความจริงใจ พวกเขาจึงยอมตกลง”
หลงเสียตบหน้าอกของตนด้วยท่าทางมั่นใจ
“เช่นนั้นก็ดี”
เฟิงชิงหยางพยักหน้าเล็กน้อย
“ในโลกแห่งการบ่มเพาะนั้น มิใช่เพียงการฆ่าฟันกันไปมา แต่เป็นเรื่องของมิตรภาพและสายสัมพันธ์”
หลี่เยียนจือคิดในใจ: หากข้าไม่ได้เห็นกับตา ข้าคงเชื่อคำพูดนี้ไปแล้ว!