ตอนที่ 63 เพียงมือเดียวบดขยี้ห้าแดนศักดิ์สิทธิ์ สองฝ่ามือพลิกคว่ำสิบสามแคว้น!
ตอนที่ 63 เพียงมือเดียวบดขยี้ห้าแดนศักดิ์สิทธิ์ สองฝ่ามือพลิกคว่ำสิบสามแคว้น!
“คนผู้นี้เรียกตนว่า จ้าวปราชญ์”
"หรือว่าเขาคือผู้บ่มเพาะขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์กัน? นี่จะบอกว่าการบรรลุขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ในภาคตะวันออกกลายเป็นของธรรมดาไปแล้วหรือ?"
"ต้องการพบเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์?"
"ไม่สิ เขาต้องการให้เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์มาเข้าเฝ้าเขา
แถมยังบอกว่าเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของแดนศักดิ์สิทธิ์ แถมขู่ว่าจะทำลายค่ายกลพิทักษ์อีก!"
"อะไรนะ สำนักชิงหยุนแห่งนี้ เหิมเกริมถึงเพียงนี้เชียวหรือ?"
หัวหน้าผู้คุ้มกันแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์หยู้ตานครุ่นคิดอย่างหนัก
"ผิดปกติ! ผิดปกติอย่างมาก!"
เขามองชายผู้นั้นซึ่งมีท่าทีสง่างามและเยือกเย็น ใบหน้าราวน้ำแข็งจนดูไม่น่าจะมีใครกล้าแตะต้อง
อีกทั้งยังอ้างตัวว่า จ้าวปราชญ์ ซึ่งบ่งบอกถึงฐานะสูงส่ง
"คนผู้นี้ไม่น่าเป็นคนโง่ที่จะมาทำตัวท้าทายแดนศักดิ์สิทธิ์โดยไม่มีอะไรหนุนหลัง
มีภูมิหลังแน่นอน! ต้องมีภูมิหลังใหญ่โต!"
คิดได้เช่นนี้ เขาจึงเอ่ยขึ้น
"ท่านโปรดใจเย็นก่อน ข้ามีตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสฝ่ายคุ้มกันของแดนศักดิ์สิทธิ์หยู้ตาน หากมีเรื่องใด ท่านพูดคุยกับข้าก่อนได้
หากข้าจัดการไม่ได้ จึงค่อยแจ้งต่อเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์"
เขาพยายามใช้ถ้อยคำสุภาพพร้อมกับส่งพลังจิตสำนึกแจ้งเตือนผู้คุ้มกันคนอื่นๆ
"อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม คนผู้นี้มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่
เรื่องนี้คนระดับสูงในแดนศักดิ์สิทธิ์อาจสัมผัสได้อยู่แล้ว รอให้พวกผู้อาวุโสมาก่อนเถิด"
เขามั่นใจว่าคนที่กล้ามาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ต้องมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ สำนักชิงหยุนที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน อาจเป็นสำนักใหญ่ในดินแดนภาคกลาง
ดินแดนภาคตะวันออกมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล รวมมี 13 แคว้น แต่กระนั้นมีเพียงแคว้นหลิงโจว แคว้นหวงโจว แคว้นเทียนโจว และแคว้นชิงโจวที่อยู่ติดกัน
ส่วนแคว้นอื่นล้วนอยู่ห่างไกลกันนัก อีกทั้งเวลาก็เร่งรัดยิ่งนัก ดังนั้นเรื่องที่สำนักชิงหยุนส่งยอดฝีมือผู้หนึ่งไปจัดการสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ได้โดยง่าย
เรื่องนี้ยังไม่ทันได้แพร่มาถึงหูผู้คน
“เป็นไปไม่ได้! ขนาดเขาอ้างว่าจะเหยียบย่ำทำลายค่ายกลพิทักษ์แดนศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดผู้อาวุโสผู้คุ้มกันจึงยังสงบนิ่งปานนี้เล่า? ช่างไม่เหมือนนิสัยเขาเลย!”
ในหมู่ผู้บ่มเพาะที่อยู่ห่างไกล มีผู้หนึ่งจำได้ว่าผู้อาวุโสผู้คุ้มกันผู้นี้เป็นใคร
คนผู้นี้ปกติสูงส่งเย่อหยิ่ง มักมีอารมณ์ร้อนแรง แต่วันนี้กลับต่างออกไปจนแปลกตา
“ใช่แล้ว วันนี้ไม่รู้เขาเป็นอะไรไป
ก่อนหน้านี้มีอำนาจหนึ่งล่วงเกินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้อาวุโสผู้คุ้มกันผู้นี้ถึงขั้นนำกองกำลังไปทะเลาะกับอีกฝ่ายด้วยตนเอง”
“ดุร้ายจริงๆ แม้แต่สุนัขของอีกฝ่ายยังถูกเขาตบเข้าไปสองที”
“ใช่ ใช่! พี่ชายท่านนี้พูดได้ถูกต้องแล้ว ขนาดข้าเองอยู่ไกลๆ ยังถูกดึงเข้าไปโดนเล่นงานเลย”
ณ เวลานี้ หลงเสียเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น พลางเผยความเบื่อหน่ายออกมา
“เจ้าพูดกับข้ารึ? เจ้ามีฐานะอันใด? ข้ามีฐานะอันใด?
เพียงผู้คุ้มกันตัวเล็กๆ คิดว่าจ้าวปราชญ์ผู้นี้จะเสียเวลาสนทนากับเจ้าหรือ?”
เขากำลังครุ่นคิดถึงวิธีจัดการตามคำสั่งที่ท่านเจ้าสำนักมอบหมายมา
ว่าจะใช้อำนาจขู่เข็ญ หรือจะไม่ใช้อำนาจขู่เข็ญดี?
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
บรรดาผู้คุัมกันและเหล่าอาวุโสของแดนศักดิ์สิทธิ์หยู้ตาน ต่างเร่งรุดบินมายังที่แห่งนี้ด้วยความดุดัน
ช่างบังอาจนัก ใครกันที่กล้ามากระทำการลบหลู่ถึงหน้าประตูเช่นนี้!
พวกเขาต่างใคร่ครวญว่า ผู้ใดเล่ากล้าท้าทายแดนศักดิ์สิทธิ์ในแคว้นซวนโจวของพวกเขา
ขณะเดียวกัน จิตสำนึกอันทรงพลังของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ หลี่ชิงซวน ซึ่งแผ่ครอบคลุมทั่วทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็สัมผัสถึงเหตุการณ์นี้
คิ้วของเขาขมวดขึ้นเล็กน้อย ขณะกำลังสอนบุตรสาวเกี่ยวกับการหลอมโอสถ
“นี่มันแมลงวันตัวไหนกันถึงได้โผล่มาก่อความรำคาญ”
“สำนักชิงหยุน?” หลี่ชิงซวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
“ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย”
เขาเดาว่าน่าจะเป็นสำนักเล็กๆจากมุมใดมุมหนึ่งของโลก ที่หวังมาหลอกลวงหรือปั้นเรื่องเพื่อหลอกเอาโอสถจากแดนศักดิ์สิทธิ์
“ก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว” เขาพูดกับตนเอง “แต่ต้องยอมรับว่าครั้งนี้พวกมันแสดงได้แนบเนียนไม่เลว”
จิตสำนึกของหลี่ชิงซวนจับสัมผัสถึงผู้มาเยือน แต่กลับไม่พบกระแสพลังอันแข็งแกร่งใดๆ จึงมิได้ให้ความสำคัญแม้แต่น้อย
ไม่นานเขาก็ต้องรู้ซึ้งเรื่องนี้แน่
“ท่านพ่อ เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
หลี่เยียนจือเอ่ยถามเมื่อเห็นบิดาขมวดคิ้ว
“ไม่มีอันใดหรอก แค่แมลงวันตัวเล็กๆตัวหนึ่งเท่านั้น”
“ฝึกหลอมโอสถต่อไปเถิด”
“อ้อ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่เยียนจือก็กลับไปควบคุมเปลวไฟ หลอมโอสถตรงหน้าอีกครั้ง
โอสถนั้นใกล้จะกลายเป็นเม็ดยาอย่างสมบูรณ์แล้ว
ครั้งแรกคือเรียนรู้ ครั้งที่สองคือคุ้นชิน ครั้งที่สามและสี่คือช่ำชอง
รอจนกระทั่งนางสามารถหลอมโอสถระดับสี่ขั้นสูงสุดได้อย่างคล่องแคล่ว นั่นจึงจะเป็นเวลาที่นางลองท้าทายตำแหน่งปรมาจารย์หลอมโอสถขั้นห้า
ในเวลาเดียวกัน
“ท่านโปรดรอสักครู่ ข้ารู้ว่าตำแหน่งผู้อาวุโสผู้คุ้มกันของข้ามันต่ำไปหน่อย แต่เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงของแดนศักดิ์สิทธิ์หยู้ตาน กำลังเดินทางมา”
ผู้อาวุโสผู้คุ้มกันกล่าวอย่างรีบเร่ง
ใบหน้าเยียบเย็นของอีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แต่ความกดดันที่เขาส่งมานั้นยิ่งใหญ่ยิ่งนัก
แถมยังแสดงท่าทีอย่างเชี่ยวชาญ ช่างเป็นอัจฉริยะด้านการวางมาดจริงๆ
“อ้อ เรียกคนมาหรือ? ดีเลย ข้ากำลังหาที่แสดงฝีมืออยู่พอดี!”
เขาคิดในใจพลางยิ้มเย็น
“แต่ทำไมเจ้าชายแก่นี่ถึงทำเหมือนคำพูดของข้าเป็นเพียงลมผ่าน? เขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“ข้าบอกแล้วมิใช่หรือ ว่าให้เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์มาด้วยตัวเอง”
นี่คือมุมมองจากเขา คนที่เห็นว่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เล็กๆจะมีเกียรติอะไรนักหนา
แต่ถึงกระนั้น อีกฝ่ายก็ยังเป็นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่ง หากไร้เกียรติศักดิ์ศรีแล้วจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร?
แต่ในสายตาของสำนักชิงหยุนอันยิ่งใหญ่แล้ว เกียรติใดๆ
ก็หาได้มีค่าไม่
ในขณะนั้นเอง มีเงาร่างหลายสายพุ่งมาจากระยะไกลใบหน้าเยียบเย็นของหลงเสียเผยรอยยิ้มบางเบาที่มุมปาก
"ผู้ใดบังอาจมาทำอวดดีในแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้า!"เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น
จากนั้น เหล่าอาวุโสของแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ด และผู้คุ้มกัน ทั้งห้าก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าผู้อาวุโสคุ้มกัน
พวกเขาจับจ้องหลงเสียด้วยสายตาคมกริบ
"มาแล้วๆ งานใหญ่เริ่มแล้ว"
"เจ้าดูอยู่เงียบๆ ระวังโดนลากไปโดนตีอีกนะ"
"ฮ่าๆ ข้าก็แค่อยากดูสนุกๆ ไม่ใช่หรือ? แถมยังมีพวก ท่านอยู่ด้วยนี่นา"
"ใหญ่สุดก็แค่... ก็แค่เรา..."
"เราอะไร? หรือเจ้าคิดจะรวมกำลังต่อต้านแดนศักดิ์สิทธิ์
งั้นหรือ?"
"อะแฮ่ม... เปล่า ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น"
"ข้าหมายถึง ใหญ่สุดก็แค่เรารวมกันรับมือโดนตีอีกสักสองสามที..."
"ฮึ เจ้ากล้ามาก เดี๋ยวข้านี่แหละจะตีเจ้าซะเดี๋ยวนี้!"
เสียงพูดคุยจากเหล่าผู้บ่มเพาะที่อยู่ไกลหยุดลงทันที หลังจากได้ยินเสียงฝ่ามือดังสนั่น และเสียงร้องโหยหวน
"อาวุโส ข้าคิดว่าบุรุษผู้นี้ดูมีที่มาที่ไป ไม่เหมือนกำลังแสดงบทบาทใดๆ"
ผู้อาวุโสผู้คุ้มกันใช้จิตสำนึกสื่อสารกับเหล่าอาวุโสคนอื่นๆ
"มีที่มาที่ไปรึ?"
"ทำท่าลึกลับเช่นนี้ คิดจะหลอกลวงพวกเราหรือ?" อาวุโสคนหนึ่งตอบกลับด้วยความเย้ยหยัน
เห็นได้ชัดว่าอาวุโสผู้นี้ไม่ได้เจ้าเล่ห์นัก ต่างจากอาวุโสคุ้มกันที่มีประสบการณ์หลากหลาย
เพราะโดยปกติแล้วงานภายนอกแดนศักดิ์สิทธิ์มักเป็นหน้าที่ของผู้อาวุโสคุ้มกันที่ออกนำเสมอ
แม้ว่าอาวุโสคุ้มกันจะมีพลังฝีมือด้อยกว่าอาวุโสผู้นั้น แต่ประสบการณ์ชีวิตและการเผชิญเรื่องราวต่างๆ ของเขาย่อมมากมายกว่าหลายเท่า
“สำนักชิงหยุนคือสำนักใดกัน? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อ”
“เจ้าน่ะมีคุณสมบัติอันใดถึงได้มาพบเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้า?”
หลงเสีย ยิ้มเย็นแล้วกล่าว
“ข้ามีคุณสมบัติอันใด เจ้ากำลังจะได้รู้เดี๋ยวนี้แหละ”
สิ้นคำกล่าว สายลมกรรโชกแรง พลันเมฆหมอกมืดครึ้ม พลังวิญญาณอันเกรี้ยวกราดพลุ่งพล่านทั่วทั้งฟ้าและดิน
สายฟ้าสีม่วงแห่งการลงทัณฑ์คล้ายดั่งโทสะของสวรรค์ พลันผ่าลงมาดั่งการลงทัณฑ์
ชั่วพริบตา หลงเสียปลดปล่อยพลังของเขาอย่างเต็มกำลัง
พลังแห่งขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุด พุ่งทะยานออกมาดั่งมหาสมุทรโหมกระหน่ำ
ภายใต้แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว ผู้คนทั้งหมดในที่นั้นต่างถูกบีบให้หมอบกราบลงกับพื้นอย่างไม่อาจต้านทาน
“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย
ภายใต้ความยิ่งใหญ่แห่งสำนักชิงหยุนของข้า อย่าว่าแต่พวกเจ้าเลย แม้แต่ทั้งดินแดนภาคตะวันออกยังต้องหมอบกราบ!”
เพียงมือเดียวบดขยี้ห้าแดนศักดิ์สิทธิ์ สองฝ่ามือพลิกคว่ำสิบสามแคว้น!