บทที่ 420 มู่หลิน: ข้าจะปกป้องกองทัพทหารชาวนาของข้า!
มู่หลินตั้งใจใช้พื้นที่ทางตอนเหนือเป็นฐานหลักในการสร้างและขยายอิทธิพล ด้วยเหตุนี้ ครั้งนี้เขาจึงขนทุกสิ่งที่เป็นทรัพย์สมบัติติดตัวมาด้วยทั้งหมด
แม้กระทั่งภาพลักษณ์แห่งวิญญาณแท้จริง มู่หลินก็ได้แผ่ขยายมันในพื้นที่ทางตอนเหนือ
ซึ่งส่งผลให้ดินแดนยมโลกของมู่หลินดูน่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
เริ่มจากดวงอาทิตย์สีดำที่ถูกสร้างขึ้นจากเปลวเพลิงแห่งการล้างแค้นและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความเคียดแค้นและความตาย
ดวงอาทิตย์นี้ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า ส่องแสงไปทั่วดินแดนยมโลก
เนื่องจากมันไม่ใช่ดวงอาทิตย์ธรรมดา แต่เป็นเปลวเพลิงแห่งการล้างแค้น แสงที่ส่องออกมาจึงให้ความรู้สึกหม่นหมอง
แม้แสงดังกล่าวจะดูแปลกประหลาดเมื่อมองจากโลกมนุษย์ แต่ในดินแดนยมโลกกลับเหมาะสมอย่างยิ่ง
มู่หลินตั้งชื่อดวงอาทิตย์นี้ว่า "ดวงอาทิตย์ยมโลกอู๋เฉิน"
มันถูกจัดอยู่ในลำดับขั้นที่ห้าภายในภาพลักษณ์แห่งวิญญาณแท้จริง เป็นเทพเจ้าที่ทรงพลังรองจากพญายมเท่านั้น
หน้าที่ของมันคือ การล้างแค้นและเป็นดวงอาทิตย์แห่งยมโลก
บนท้องฟ้าที่ดวงอาทิตย์ยมโลกอู๋เฉินครอบครองอยู่นั้น เบื้องล่างคือเมืองเฟิงตู
เหตุที่เป็นเมืองเฟิงตู ไม่ใช่เงาของเมืองเทียนสือในโลกมนุษย์ เพราะมู่หลินได้แผ่ขยายภาพลักษณ์แห่งวิญญาณแท้จริง และใช้เมืองเฟิงตูในแผนภาพแทนที่เมืองเทียนสือ
เมืองนี้ยิ่งใหญ่โอ่อ่ากว้างใหญ่หลายสิบลี้ กำแพงเมืองและถนนในเมืองเต็มไปด้วยกองทหารชุดเกราะดำและสวมหน้ากากปีศาจที่ออกลาดตระเวนอย่างต่อเนื่อง
ด้วยพลังที่เพิ่มขึ้นของมู่หลิน รวมกับพลังจากเส้นชีพจรวิญญาณมากมายที่เป็นตัวสนับสนุน เขาสามารถเรียกกองทหารชุดเกราะดำจำนวนสามหมื่นนายได้แล้ว ซึ่งถือเป็นกองกำลังที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
ด้วยรูปขบวนที่เข้มงวดและมีระเบียบ ทำให้แค่การยืนอยู่เฉย ๆ ก็สามารถสร้างความหวาดกลัวได้
เมื่อทหารเหล่านี้ถือโซ่ตรวนสำหรับจับวิญญาณ พลังของพวกเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก และกลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของวิญญาณชั่วและปีศาจร้าย
ภายในเมืองเฟิงตูไม่ได้มีเพียงกองทหารที่ทรงอำนาจเท่านั้น บ้านเรือนที่เรียงรายกันเป็นแถวก็ไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป เพราะภายในนั้นถูกใช้เป็นที่กักขังวิญญาณชั่วร้าย ปีศาจ และวิญญาณอสูรต่าง ๆ
วิญญาณเหล่านี้ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของมู่หลิน และถูกเขาปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ไว้ในจิตใจ
ทำให้พวกมันไม่สามารถต่อต้านเขาได้ตลอดกาล และต้องคอยส่งมอบพลังให้แก่เขาอย่างต่อเนื่อง
ถัดจากบ้านเรือนเข้าไปด้านใน จะพบกับแท่นบูชาขนาดใหญ่
แท่นบูชานี้คือแท่นบูชาของเทพไท่ซานฟู่จวิน ซึ่งเป็นรากฐานแห่งพลังของมู่หลิน
เดิมทีแท่นบูชานี้ว่างเปล่า แต่ในตอนนี้กลับมีเตาหลอมขนาดใหญ่ที่ทรงพลังราวกับขุนเขาตั้งตระหง่านอยู่บนแท่นบูชา และหลอมรวมเข้ากับแท่นบูชาเป็นหนึ่งเดียวกัน
เมื่อสมบัติล้ำค่าแห่งโชคชะตา "เตาหลอมขุนเขาและสายน้ำ" รวมเข้ากับแท่นบูชา มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างรากฐานของมู่หลิน
ภายในเตาหลอมในขณะนี้เต็มไปด้วยพลังวิญญาณมหาศาล ทำให้มู่หลินมีพลังที่ไม่มีวันหมดสิ้น
นอกจากจะสามารถส่งมอบพลังให้มู่หลินใช้ได้ไม่ขาดสายแล้ว เตาหลอมนี้ยังช่วยปกป้องร่างกายและจิตวิญญาณของมู่หลิน รวมถึงปกป้องดินแดนยมโลกและดินแดนแห่งวัฏสงสารทั้งหมดด้วย
“สมบัตินี้ถือเป็นสมบัติระดับสูงสุดในบรรดาอาวุธวิญญาณ เป็นรองเพียงสมบัติแห่งเต๋าที่เหล่าเจินจวินจอมเทพใช้เท่านั้น…หากในตอนนั้นผู้ครอบครองสมบัติชิ้นนี้ไม่ใช่ผู้อาวุโสที่กำลังจะสิ้นอายุขัยของตระกูลจี้ แต่เป็นจี้เจิ้ง เทพพิภพอีกคน ข้าคงเอาชนะได้ยาก”
แม้คิดเช่นนี้ แต่มู่หลินก็ไม่ได้มองว่าชัยชนะของตนเป็นเรื่องบังเอิญ
“เพราะมันทรงพลังเกินไป อ๋องตงไห่จึงไม่กล้ามอบสมบัตินี้ให้จี้เจิ้ง…หากผู้อาวุโสใกล้สิ้นอายุขัยได้รับสมบัติชิ้นนี้ยังไม่น่ากังวล แต่จี้เจิ้งที่กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ หากได้ครอบครองเตาหลอมขุนเขาและสายน้ำ เขาคงไม่มีทางคืนสมบัตินี้ให้อ๋องตงไห่แน่”
แม้แต่เล่าปี่ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจักรพรรดิผู้เมตตา ยังเคยยืมเมืองเกงจิ๋วแล้วไม่คืน ดังนั้นสำหรับจี้เจิ้ง โอกาสที่จะไม่คืนสมบัตินี้ยิ่งมีสูงกว่า
“เพื่อไม่ให้ถูกแย่งชิงอำนาจ อ๋องตงไห่มีเพียงสองทางเลือก คือตนเองใช้สมบัติชิ้นนี้ หรือมอบให้แก่ผู้อาวุโสที่ใกล้สิ้นอายุขัย จี้เจิ้งไม่มีทางได้แตะต้องมัน”
“ในตอนนั้น อ๋องตงไห่คงคิดว่าการที่ผู้อาวุโสถือครองเตาหลอมขุนเขาและสายน้ำ จะทำให้ทุกอย่างมั่นคง…น่าเสียดาย แม้เตาหลอมนี้จะป้องกันการโจมตีของข้าได้ทุกวิถีทาง แต่มันกลับไม่สามารถป้องกันความชราและความตายของผู้อาวุโสได้”
...
แท่นบูชาเทพไท่ซานฟู่จวินที่รวมเข้ากับเตาหลอมขุนเขาและสายน้ำนี้ แผ่พลังแห่งการปราบปรามทุกสรรพสิ่งออกมา
แต่ถึงกระนั้น แท่นบูชานี้ก็ยังไม่ใช่แก่นกลางของเมืองเฟิงตู เพราะเบื้องหลังลานกว้างของแท่นบูชา คือหอมหึมาที่ดูโอ่อ่า นั่นคือ "ตำหนักพญายม"
ภายในตำหนักแห่งนี้ยังแผ่กลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวออกมา
ภายในตำหนักมีทั้งเทพผู้พิพากษา เหล่าผู้คุมวิญญาณวัวและม้า และพญายมที่สวมมงกุฎสิบสองภู่ห้อยนั่งอยู่บนบัลลังก์
ในฐานะอวตารของมู่หลิน ผู้ปกครองดินแดนยมโลกในปัจจุบัน เพียงแค่มองไปที่พญายม เทพพิภพอย่างเซิ่งชางและจางเหอเหมียวก็รู้สึกราวกับว่าชีวิตของตนเองไม่อยู่ในความควบคุมอีกต่อไป
“ช่างแข็งแกร่งนัก เจ้าพญายมตนนี้ มีพลังเทียบเท่าเทพพิภพ สามารถสังหารข้าได้…”
“ดวงอาทิตย์สีดำดวงนั้นก็น่ากลัวเช่นกัน มันให้ความรู้สึกอัปมงคลอย่างมาก”
“แต่สิ่งที่ข้าคิดว่าน่ากลัวที่สุดคือเตาหลอมขุนเขาและสายน้ำ มันมีพลังที่สามารถปราบปรามทุกสิ่งได้…”
เมื่อก้าวเข้าสู่ดินแดนยมโลกและเห็นพลังอำนาจอันมหาศาลเหล่านี้ เซิ่งชางและจางเหอเหมียวต่างรู้สึกเคารพและยำเกรงในพลังของมู่หลินอย่างมาก
“พลังขนาดนี้ เจ้ายังเรียกตัวเองว่าหลุดพ้นจากสามัญชน?”
“ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเยาวชน? ไม่ นี่คือหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดของเทพพิภพ!”
“ได้กำไรใหญ่หลวงจริง ๆ ปู่ทวดของข้าห่วงใยกองทัพทหารชาวนาของเราจริง ๆ การที่ท่านยอมลงทุนมหาศาลเชิญมู่หลินมา แสดงให้เห็นว่าเขาจะสามารถปกป้องพวกเราได้…ไม่สิ เขาอาจจะทำให้กองทัพทหารชาวนากลับมารุ่งเรืองอีกครั้งก็เป็นได้”
เมื่อเห็นพลังอันแข็งแกร่งของมู่หลิน เซิ่งชางและคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นยินดี
และไม่นานนัก พวกเขาก็พบว่า สิ่งที่พวกเขาเห็นในเมืองเฟิงตู ยังไม่ใช่ทั้งหมดของพลังที่มู่หลินมีอยู่
นอกเมืองมีงูยักษ์ขนาดมหึมาขดตัวรอบ ๆ ราวกับขุนเขา งูยักษ์นี้เองก็มีพลังระดับเทพพิภพเช่นกัน
ทางทิศตะวันออกของเมืองมีทะเลสาบสีดำที่แผ่กลิ่นอายอัปมงคล และเหนือทะเลสาบนั้นมีเรือรบขนาดใหญ่ลอยอยู่
เรือรบลำนั้นมีปืนใหญ่มากมายเรียงรายอยู่ ทำให้ไม่มีใครกล้าสงสัยในพลังทำลายล้างของมัน
ตรงข้ามกับทะเลสาบสีดำคือบึงโลหิต ข้างในบึงโลหิตนั้นมีเงาดาบยักษ์ตั้งตระหง่าน และใต้เงาดาบมีหญิงสาวนั่งขัดสมาธิอยู่ รอบตัวนางมีเหล่ามารจำนวนมากคอยรับใช้อยู่
ภายในบึงโลหิตรอบ ๆ นางยังมีมารเกิดขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน…
นอกจากสิ่งก่อสร้างและสิ่งมีชีวิตอันมหึมาเหล่านี้ ดินแดนยมโลกยังเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้ปีศาจบานสะพรั่งอย่างงดงาม
และปัญหาปรสิตก็ได้รับการแก้ไขด้วยทุ่งดอกไม้ปีศาจเหล่านี้
ในโลกมนุษย์ ปรสิตซ่อนอยู่ในร่างกายมนุษย์ ทำให้ตรวจจับได้ยาก
ในดินแดนยมโลก วิญญาณของมนุษย์ปกติจะมีลักษณะเป็นแสงสีขาวจาง ๆ
หากถูกโรคภัยและเคราะห์กรรมรุมเร้า จะมีไอสีเทาเข้มแฝงอยู่
สำหรับมนุษย์ที่ถูกปรสิตเกาะกิน วิญญาณภายในร่างจะปรากฏเป็นจุดแสงคล้ายแมลง ซึ่งจุดแสงเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นสีเทาเข้ม สีแดงสด และสีเขียวหม่น อันแสดงถึงพลังที่ไม่เป็นมงคล ทำให้สังเกตเห็นได้ง่าย
หากเป็นวิญญาณร้ายหรือปีศาจปกติ ทหารเกราะดำแห่งเป่ยเหวยจะออกปฏิบัติการโดยใช้โซ่ตรวนวิญญาณในการจับกุม ซึ่งทำได้อย่างง่ายดาย
แต่เนื่องจากปรสิตได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างมนุษย์ มู่หลินจึงเลือกใช้ทุ่งดอกพลับพลึงแดงเข้าจัดการแทน
ด้วยพลังที่สามารถควบคุมความเป็นความตาย และสามารถระบุได้ว่าใครถูกปรสิตสิงสู่ ดอกไม้ปีศาจจึงสามารถล่อลวงจิตวิญญาณของปรสิตได้โดยง่าย
เมื่อทำให้จิตวิญญาณของปรสิตหลงใหลแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็ง่ายขึ้น มู่หลินเพียงแค่เลียนแบบจิตวิญญาณของรังแมลง แล้วออกคำสั่งให้ปรสิตออกจากร่างมนุษย์และทำลายตนเอง ปรสิตก็จะถูกกำจัดจนหมดสิ้น
...มีอีกเรื่องที่ต้องกล่าวถึงคือ หลังจากที่ค้นพบวิธีจัดการแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นงานที่น่าเบื่อและใช้เวลานาน ซึ่งมู่หลินไม่มีทั้งอารมณ์และเวลามากพอที่จะทำเอง
ดังนั้น เขาจึงมอบหมายงานนี้ให้กับฉู่หลิงหลัว เจ้าของทุ่งดอกไม้ปีศาจเป็นผู้ดำเนินการ
ฉู่หลิงหลัวผู้มีจิตใจบริสุทธิ์และอ่อนโยนไม่อาจทนเห็นผู้คนต้องทนทุกข์กับภัยพิบัติได้ ดังนั้นในขณะที่เธอกำลังทำการกำจัดปรสิต เธอยังใช้พลังของทุ่งดอกพลับพลึงแดงในการปลอบประโลมจิตวิญญาณของชาวเมืองเทียนสืออีกด้วย
แน่นอน เธอไม่ได้คิดร้ายต่อผู้คน แต่เธอกำลังสร้างความฝันอันงดงามขึ้นมา เพื่อให้ชาวเมืองเทียนสือที่ทนทุกข์กับภัยพิบัติได้พักผ่อนจิตใจและคลายความวิตกกังวลลงชั่วครู่
“ขอโทษด้วย พลังของข้ายังอ่อนแอ ไม่อาจช่วยพวกท่านได้มากนัก...ทำได้เพียงให้ท่านได้พักผ่อนในความฝันเพียงชั่วคราว”
ฉู่หลิงหลัวประนมมือ กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดุจดั่งเทพธิดาน้อยที่กำลังร่ายเวทมนตร์แห่งความฝันเหนือทุ่งดอกไม้ปีศาจ
กล่าวตามตรง ความฝันที่เธอสร้างขึ้นนั้นดูไม่เข้ากับบรรยากาศของดินแดนยมโลกแม้แต่น้อย แต่ถึงกระนั้น มู่หลินกลับไม่ได้ขัดขวาง กลับกัน เขายังรู้สึกอบอุ่นใจ
“ในยามที่ข้าอ่อนแอ เจ้าได้ช่วยเหลือข้ามามากมาย บัดนี้เมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะปกป้องเจ้า ให้เจ้าได้คงความบริสุทธิ์และอ่อนโยนเช่นนี้ตลอดไป”
...
ความรู้สึกปลื้มปิติในใจของมู่หลินอยู่ได้เพียงชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะกลับมาสนใจเรื่องสำคัญและเริ่มพูดคุยถึงแผนการต่อไป
“เรื่องปรสิต ข้ามีวิธีจัดการ แต่ในตอนนี้ดินแดนยมโลกของข้ายังแผ่ขยายได้เพียงบริเวณรอบ ๆ เมืองเทียนสือเท่านั้น หากเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรจากที่อื่นต้องการกำจัดปรสิต พวกเขาจะต้องเดินทางมายังเมืองเทียนสือ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางเหอเหมียวรีบพยักหน้าพร้อมกล่าวด้วยความเคารพ “นั่นเป็นเรื่องที่สมควรยิ่ง”
กล่าวจบ เธอก็ก้มลงคำนับมู่หลินอย่างลึกซึ้ง เพื่อแสดงความขอบคุณที่เขาได้ช่วยเหลือเมืองเทียนสือให้พ้นจากวิกฤต
สำหรับเรื่องนี้ มู่หลินกลับไม่ได้ตอบรับคำขอบคุณ แต่กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าถึงเพียงนั้น ในเมื่อข้ากลับมาพร้อมพวกท่าน ข้าก็คือหนึ่งในกองทัพทหารชาวนา การช่วยเหลือพวกเขาเป็นสิ่งที่ข้าควรกระทำ”
มู่หลินไม่ใช่ผู้ที่ยินดีช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน เขาไม่ใช่ผู้มีเมตตาเสียสละถึงเพียงนั้น
แต่ที่ต้าเทียนเมืองหลวง มีข่าวลือว่าเขาถูกตระกูลจางแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำกองทัพทหารชาวนา ซึ่ง…ไม่ผิดนัก
ผู้อาวุโสตระกูลจางมีความคิดเช่นนั้นจริง ๆ
และมู่หลินก็รู้สึกพึงพอใจกับกองทัพทหารชาวนาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อได้ทราบว่าสมาชิกส่วนใหญ่ของกองทัพนี้ล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดาหรือชนชั้นล่างที่ยากจน เขายิ่งรู้สึกชื่นชม
เขาจึงตัดสินใจที่จะยอมรับตำแหน่งผู้นำกองทัพทหารชาวนา
ด้วยเหตุนี้ การช่วยเหลือของมู่หลินจึงไม่ใช่เพียงการช่วยเหลือกองทัพทหารชาวนาเท่านั้น แต่มันคือการปกป้องกองทัพของเขาเอง
นอกจากการปกป้องแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่มู่หลินช่วยเหลือชาวเมืองเทียนสือในการแก้ปัญหาปรสิตคือ…
“ข้าเห็นพวกเจ้ามีความคิดที่จะเผยแพร่เรื่องนี้เพื่อเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้กองทัพทหารชาวนา ซึ่งนับว่าเป็นความคิดที่ดีมาก แต่ข้ามีข้อเสนอว่าขอให้พวกเจ้าอย่าได้เอ่ยชื่อของข้าในการเผยแพร่ ให้กล่าวว่าทุกสิ่งนี้เป็นการกระทำของพญายมและเทพแห่งความฝันผู้ใต้บังคับบัญชาของพระองค์”
“พญายม? เทพแห่งความฝัน?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นจางเหอเหมียวหรือเซิ่งชางต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านมู่หลิน ท่านคิดจะ…ใช้วิถีแห่งเทพเจ้าใช่หรือไม่?”
....
ฝันดีครับ