บทที่ 27 การเผยความลับและปราบปีศาจ
###
“คนบ้า นี่มันคนบ้า รีบไล่เขาไปเดี๋ยวนี้!”
บุตรชายคนรองของตระกูลฉุยตะโกนออกคำสั่งด้วยความร้อนรน แต่ความหวาดกลัวในแววตาก็ปิดไม่มิด
เหล่าคนรับใช้เตรียมจะเข้ามาไล่จางจิ่วหยางออกไป แต่กลับถูกบุตรชายคนโตห้ามไว้
“ทุกคนอย่าขยับ การตายของท่านพ่อนั้นมีเงื่อนงำ ขอท่านเต๋าฝ่าช่วยชี้แนะด้วย”
ในดวงตาของเขาแฝงด้วยความไม่ไว้วางใจ ก่อนจะเหลือบมองน้องชายด้วยแววตาเย็นชา
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์กำลังจะถูกเปิดโปง บุตรชายคนรองจึงมองไปทางอวี้ฉินเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่หญิงผู้แสนฉลาดหลักแหลมกลับมีสีหน้าซีดเซียว ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
เจ้าเต๋าฝ่าคนนี้รู้ความจริงได้อย่างไร?
“ทุกท่าน ท่านเฒ่าฉุยไม่ได้เสียชีวิตตามธรรมชาติ และก็ไม่ได้ป่วยตาย แต่เขาถูก…”
สายตาของจางจิ่วหยางหันไปจับจ้องบุตรชายคนรองกับอวี้ฉินเตรียมจะพูดต่อ แต่อวี้ฉินที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวก็รีบพูดแทรกทันที
ไม่ว่าเขาจะรู้จริงหรือแกล้งรู้ ก็ต้องไม่ให้เขาเปิดเผยออกมาเด็ดขาด!
“หุบปาก ที่นี่—อืม!”
มือของวิญญาณบีบปากของนางไว้แน่น อาหลี่ลอยอยู่ด้านหลังพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“พี่จิ่วไม่ได้อนุญาตให้เจ้าพูดนี่”
อวี้ฉินรู้สึกว่าปากของตนเองไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะพยายามอ้าปากเท่าไรก็เหมือนมีเข็มเย็บปากไว้แน่น
แม่หมอหลี่พยายามจะเข้าแทรกแซง แต่ถูกจางจิ่วหยางยืนขวางไว้ด้วยพลังปราณที่ล้อมรอบ ทำให้นางไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ
“สองวันก่อน ท่านเฒ่าฉุยตื่นขึ้นกลางดึกแล้วเห็นบุตรชายคนรองกับอวี้ฉินกำลังมีสัมพันธ์กัน ด้วยความตกใจก็ทำให้ล้มฟุบหมดสติไป”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้คนรอบข้างต่างพากันตกตะลึงและมองด้วยความไม่เชื่อ
“แต่ตอนนั้นท่านเฒ่าฉุยยังไม่ตาย เพียงแค่ช็อกหมดสติไปเท่านั้น แต่คู่นี้กลับกลัวความลับรั่วไหล จึงตัดสินใจฆ่าท่านเฒ่าฉุยโดยการกดทับจนขาดอากาศหายใจ!”
“ช่างน่าเวทนา ท่านเฒ่าฉุยที่เคยยิ่งใหญ่ ต้องมาจบชีวิตด้วยน้ำมือของบุตรชายและภรรยาเช่นนี้!”
นี่แหละคือความจริงของการตายอย่างกะทันหันของท่านเฒ่าฉุย
ในตอนนั้น อาหลี่เพียงแค่ทำนายว่าเขาจะตายในอีกสามวันต่อมา จางจิ่วหยางยังเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพราะสุขภาพเสื่อมโทรม แต่ที่ไหนได้ เขากลับถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้!
มีเพียงผู้ที่ถูกกดทับจนขาดอากาศหายใจเท่านั้นที่จะมีใบหน้าบวมช้ำและเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ
ด้วยความอาฆาตหลังตาย ท่านเฒ่าฉุยจึงไม่ยอมสงบ วิญญาณของเขาออกมาอาละวาดจนทำให้บุตรชายคนรองกับอวี้ฉินต้องเชิญแม่หมอหลี่มาใช้คาถาเผยวิญญาณเพื่อกดข่ม ก่อนจะรีบจัดงานศพโดยไม่สนธรรมเนียม
แต่ใครจะคาดคิดว่าจางจิ่วหยางจะมาขัดขวางและเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวนี้ต่อหน้าสาธารณชน
บุตรชายคนรองหน้าซีดเผือด มองจางจิ่วหยางด้วยความหวาดผวา
เขารู้ได้อย่างไร?
หรือเขาจะคุยกับศพได้จริงๆ?
“เป็นไปไม่ได้ เจ้าพูดเท็จ!”
เขาพยายามจะแก้ตัว แต่จางจิ่วหยางกล่าวสวนขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ท่านเฒ่าฉุยบอกข้าว่า ตลอดสองวันมานี้เขามองเห็นทุกอย่าง เจ้ากับอวี้ฉินสนุกสนานกันดี แม้กระทั่งเมื่อคืนที่เฝ้าศพ เจ้าก็ยังเอาชุดชั้นในของนางที่ปักลายหงส์ทองไปซ่อนใต้หมอนของเจ้า!”
คำพูดของจางจิ่วหยางทำให้บุตรชายคนรองเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ จนหน้าซีดเซียว ร่างกายสั่นสะท้าน
จิตใจของเขาที่อ่อนแออยู่แล้วยิ่งถูกโจมตีด้วยความจริงที่ถูกเปิดโปงจนสติแตก เดินโซเซไปมา พลางพึมพำกับตัวเอง
“ไม่ ไม่ใช่ความผิดของข้า ทุกอย่างเป็นความผิดของพ่อ…”
“ข้ากับอวี้ฉินรู้จักกันก่อนอยู่แล้ว นางบอกว่าจะเป็นเจ้าสาวของข้า แต่…”
“เขาอายุแปดสิบกว่าแล้ว ทำไมถึงยังต้องแย่งผู้หญิงของข้าอีก!”
เขาพูดไปพลางตัวสั่นเทิ้ม ผู้คนรอบข้างต่างพากันตะลึงกับความจริงอันเหลือเชื่อ
จางจิ่วหยางส่ายหัวและคิดในใจว่า อวี้ฉินไม่ได้โกหกหรอก นางบอกว่าจะเป็นเจ้าสาวของเจ้า และก็ได้เป็นแม่ใหม่ของเจ้าจริงๆ
“อย่ามั่ว! เจ้าใช้คาถาทำให้บุตรชายคนรองเสียสติแน่ๆ!”
“ดูข้าจะใช้คาถาเรียกวิญญาณเสือมาจัดการเจ้าเถอะ!”
เมื่อเห็นว่าบุตรชายคนรองเสียที แม่หมอหลี่รู้ตัวว่าหากไม่ลงมือทันที คงไม่มีโอกาสได้สมบัติอีก นางจึงหยิบกระดูกบดหยาบออกมาจากอกเสื้อแล้วโปรยไปทั่ว ก่อนจะเริ่มร่ายคาถาและเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้น กระดูกขาวที่กระจัดกระจายก็เริ่มเคลื่อนไหวเองราวกับมีชีวิต
โฮก!
พร้อมกับเสียงคำรามของพยัคฆ์ สายลมรอบข้างพัดกระพือแรงกล้า และทันใดนั้นก็ปรากฏเสือโคร่งตัวใหญ่ ลำตัวลายพาดกลอน ดวงตาเปล่งประกายดุร้าย ท่าทางก้าวย่างแฝงด้วยความน่าเกรงขาม
“เสือร้าย!”
“รีบหนีเร็ว มีเสือออกมาทำร้ายคน!”
“เสือจะกินคนแล้ว!”
ผู้คนที่ยืนล้อมอยู่ต่างพากันแตกตื่นวิ่งหนีอลหม่าน ไม่ถึงครู่ สถานที่แห่งนั้นก็เหลือเพียงจางจิ่วหยางและกลุ่มคนไม่กี่คน
ชายวัยกลางคนที่มากับจางจิ่วหยางถึงกับตัวสั่นด้วยความกลัว พลางพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “จางเต๋าฝ่า…หรือพวกเราจะหนีดี?”
เมื่อเห็นเสือร้ายค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ เขาก็ถึงกับพูดจาไม่เป็นประโยค
จางจิ่วหยางมองเสือร้ายตัวนั้นด้วยสายตาแน่วแน่
นี่คือปีศาจเสือที่ถูกเชิญมา?
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเศษกระดูกที่แม่หมอหลี่โปรยลงไปนั้นคือกระดูกเสือ และด้วยวิชามนตร์นางได้เรียกวิญญาณเสือร้ายออกมา
และดูจากขนาดตัวของมัน เสือร้ายตัวนี้ในอดีตคงไม่ใช่เสือธรรมดา แต่น่าจะมีพลังระดับปีศาจ
แต่ก็ช่างเถอะ…ต้องลองสู้!
จางจิ่วหยางวางมือลงบนด้ามดาบอย่างแผ่วเบา
เสือปีศาจถึงจะเป็นอสุรกาย แต่ก็จัดอยู่ในประเภทวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาสามารถรับมือได้
เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องต่อสู้กับคนที่มีชีวิตจริงๆ จึงทำให้เขาแสดงท่าทีระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เขาเร่งลมปราณให้ไหลเวียนตามแนวทาง “ภาพมังกรไฟพยัคฆ์วารี” ส่งเสียงแผ่วเบาดั่งเสียงคำรามของมังกรและพยัคฆ์
ในสายตาของจางจิ่วหยาง การเคลื่อนไหวของเสือร้ายดูช้าลงจนเห็นทุกอณูของเส้นขนอย่างชัดเจน ราวกับภาพสโลว์โมชั่นในภาพยนตร์ของชาติที่แล้ว
อาหลี่อยากจะเข้ามาช่วย แต่เขากลับส่ายหัวปฏิเสธ
เขาคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะทดสอบผลลัพธ์จากการฝึกฝน
โฮก!
เสือร้ายดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอันตราย ขนทั้งตัวลุกชันขึ้นราวกับเข็ม มันคำรามเสียงดังลั่น ก่อนจะพุ่งเข้าใส่จางจิ่วหยางด้วยความเร็วสูง พร้อมแยกเขี้ยวที่คมกริบเป็นประกาย
ช้าเกินไป!
สายตาของจางจิ่วหยางยิ่งทอประกายเข้มขึ้นคล้ายเปลวเพลิงที่ลุกโชน
ฉาง!
เสียงดาบหลุดจากฝักดังก้องกังวาน
แม้ดาบเล่มนี้จะล้มเหลวในการหลอมเป็นดาบปราบมาร แต่ด้วยการผ่านการชุบด้วยคาถาเจ็ดดาวและการเผาด้วยไฟบริสุทธิ์ ก็ยังคงหลงเหลือพลังหยางอยู่บ้าง ซึ่งเป็นพิษร้ายต่อพวกอสุรกาย
โฮก!
เสียงคำรามของเสือดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
หัวเสือขนาดใหญ่กลิ้งหลุนๆ ลงสู่พื้น บริเวณรอยตัดเรียบเนียนราวกับกระจก เผยให้เห็นร่องรอยสีแดงคล้ำพลางปล่อยควันดำลอยขึ้น
แม้ศีรษะจะถูกตัดขาดแล้ว แต่ร่างของเสือยังคงดิ้นรนพยายามลุกขึ้นอีกครั้ง
จางจิ่วหยางถอนหายใจยาว เขารู้สึกเสียดายที่ยังหลอมดาบปราบมารไม่สำเร็จ หากดาบเล่มนี้สมบูรณ์แบบ การฟันเพียงครั้งเดียวคงเพียงพอจะทำลายวิญญาณเสือร้ายให้สิ้นซาก
“เจ้า เจ้า…”
แม่หมอหลี่ตัวซีดเผือด ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
การฟันเสือปีศาจด้วยดาบเพียงครั้งเดียว รวมทั้งเสียงมังกรคำรามที่แฝงอยู่ในพลังวิญญาณของเขา ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่?
จางจิ่วหยางไม่สนใจนาง เขาเหยียบลงบนหัวเสือพร้อมกับกระตุ้นพลังปราณที่ผ่านการชุบด้วยน้ำและไฟจนบริสุทธิ์ ราวกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากและเสียงฟ้าคำราม
กร๊อบ!
หัวเสือแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนจะสลายกลายเป็นควันดำไหลเข้าสู่ปากของจางจิ่วหยาง
กินเสือ!
เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!
เมื่อวิญญาณเสือร้ายถูกกลืนกิน กระดูกเสือที่เหลืออยู่ก็ค่อยๆ แตกออกทีละชิ้น ทุกครั้งที่กระดูกแตก แม่หมอหลี่ก็ยิ่งหน้าซีดหนักขึ้น สุดท้ายนางถึงกับกระอักเลือดดำออกมาและหมดสติไป
อึก!
จางจิ่วหยางเรอเสียงดัง ก่อนจะลูบท้องเบาๆ
เขารู้สึกว่าตนเองเผลอกินเกินไปแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ก็เพิ่งกินวิญญาณของอวิ๋นเหนียงจนแน่นท้องอยู่แล้ว นี่ยังมากินวิญญาณเสือปีศาจอีก
แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะวิญญาณเสือร้ายเมื่อเทียบกับอวิ๋นเหนียงแล้วยังห่างชั้นกันลิบลับ ถือซะว่าเป็นขนมขบเคี้ยวหลังอาหารแล้วกัน
ใครจะไม่เคยกินของว่างหลังมื้ออาหารบ้างล่ะ?