ตอนที่แล้วตอนที่ 40 ด่านทดสอบแรก บันไดสวรรค์มายา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 42 ระฆังทดสอบพรสวรรค์

ตอนที่ 41 ยากราวกับปีนบันไดสู่สวรรค์


ตอนที่ 41 ยากราวกับปีนบันไดสู่สวรรค์

เมื่ออาวุโสสายนอกเย่ไป๋ประกาศให้เริ่มต้นการทดสอบ บรรดาผู้ทดสอบหลายหมื่นคนก็เริ่มก้าวขึ้นสู่บันไดสวรรค์มายาเป็นกลุ่มๆ

บันไดนี้กว้างขวางพอที่จะรองรับผู้ทดสอบนับหมื่นคนได้ในคราวเดียวกัน และหากล้มเหลว พวกเขาจะถูกส่งกลับมายังจุดเริ่มต้น ด้วยเหตุนี้ทำให้การทดสอบดำเนินการไปได้อย่างรวดเร็ว

กลุ่มแรกรีบเร่งก้าวขึ้นไป ด้วยความหวังว่าการได้เข้าร่วมสำนักชิงหยุนอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

แต่ความคาดหวังที่สวยงามนั้นถูกทำลายลงอย่างโหดร้ายเมื่อความจริงเผยออกมา

“ช่วยด้วย! ทำไมถึงมีไฟมากมายขนาดนี้!”

ชายหนุ่มคนหนึ่งเพิ่งก้าวขึ้นบันไดก็พบว่ามันกลายเป็นเขาแห่งมีดและทะเลเพลิง เขาตกใจกลัวจนต้องร้องออกมาและรีบถอยกลับลงมา

“อย่า! ได้โปรด…อย่าฆ่าข้า! ข้า…ข้าแค่เป็นสายลับที่ถูกส่งมา ข้ายอมแพ้!”

ภาพมายาของเขานั้นน่าขบขันยิ่งขึ้น ภายในภาพมายา สำนักชิงหยุนถูกโจมตี เขากลัวจนถึงขีดสุดและยอมรับสารภาพว่าเป็นสายลับ ถูกส่งตัวมาทำลาย

“ข้าผิดไปแล้ว ท่านเจ้าสำนัก ข้าไม่ควรแพร่งพรายเรื่องที่ท่านชอบเกี้ยวพาราสีหญิงสาว ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด”

ภาพมายาของเขานั้นเกี่ยวกับการที่เขาพูดเรื่องราวเชิงชู้สาวของเจ้าสำนักจนแพร่หลาย ทำลายชื่อเสียงของเจ้าสำนัก ส่งผลให้เขาถูกโบยอย่างไม่ปราณี จิตใจไม่มั่นคงของเขาทำให้พ่ายแพ้ทันที

หากเฟิงชิงหยางรู้เรื่องนี้ คงต้องด่ากราดว่า “เรื่องบ้าอะไรที่ข้าเคยมีเรื่องเกี้ยวพาราสีหญิงสาว เจ้าบังอาจใส่ร้ายเจ้าสำนัก จับไปลงโทษโบยสามร้อยที!”

“ข้าไม่กล้าอีกแล้ว ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทรยศต่อสำนัก ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด!”

สำหรับชายคนนี้ เขาสมควรตายจริงๆ ในภาพมายาของเขา เขาทรยศสำนักเพียงเพราะประโยชน์เล็กน้อย ทำให้เขาพ่ายแพ้อย่างไร้ข้อโต้แย้ง

ด่านแรกนี้เน้นการทดสอบจิตใจที่มั่นคงและความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ เพื่อคัดกรองผู้ที่จิตใจไม่มั่นคง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ชอบทำชั่ว และขี้เกียจไม่อยากทำงาน

ดังนั้น ผู้ที่ผ่านด่านแรกได้ล้วนเป็นผู้ที่มีจิตใจแน่วแน่และมุ่งมั่นอย่างยิ่ง หากผ่านด่านแรกไปได้แต่ไม่ผ่านด่านที่สอง ก็เป็นไปได้ว่าเป็นเพราะพรสวรรค์โดยกำเนิดไม่เพียงพอ ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยความพยายามอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม พวกเขายังสามารถเป็นศิษย์รับใช้ในสำนักได้ และหากได้รับการฝึกฝนจากสำนักพร้อมความพยายามของตนเอง ก็อาจจะสามารถทะยานขึ้นสูงได้ในภายภาคหน้า

การทดสอบดำเนินไปอย่างเข้มข้นเมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มผู้ทดสอบกลุ่มแรกที่ขึ้นไปกว่าหมื่นคนถูกคัดออกทั้งหมด แม้แต่ผู้ที่ไปได้ไกลที่สุดก็เพียงแค่สี่ก้าวก่อนจะถูกส่งกลับลงมา

ผู้ที่ถูกส่งกลับลงมาถึงพื้นต่างหายใจหอบหนัก ต้องใช้เวลาพักครู่หนึ่งจึงจะสงบลงได้

“ฮือๆ ข้ามันไร้ค่าเสียจริงๆ เพียงก้าวเดียวก็ถูกส่งกลับลงมาแล้ว”

“รู้แล้ว! แล้วจะเอาไง? เจ้าไร้ค่า จะให้รางวัลหรือยังไง?”

“เจ้าคิดว่าการเป็นคนไร้ค่านั้นมันง่ายนักหรือไง?”

“ข้าน่ะ ก้าวเดียวก็ยังไม่สามารถก้าวออกไปได้!”

“ข้าเอง… ข้ายังสู้คนไร้ค่าไม่ได้ด้วยซ้ำ ฮือๆ”

เขายังไม่ทันได้ก้าวขึ้นบันไดสวรรค์มายา ก็เห็นผู้คนจำนวนมากร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด จนเขาถอนเท้าที่กำลังจะก้าวออกกลับคืนมา

ผู้คนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าถูกคัดออก คนที่ก้าวไปได้ไกลที่สุดกลับเพียงแค่สิบก้าวเท่านั้น และตามมาด้วยเสียงกรีดร้องก่อนจะถูกส่งกลับลงมาอย่างไร้ปราณี

เหล่าผู้ล้มเหลวต่างมองไปยังยอดบันไดสวรรค์มายาด้วยความเสียดายและเจ็บใจ แม้ว่าจะดูใกล้แค่เอื้อม แต่แท้จริงแล้วกลับเหมือนห่างไกลสุดขอบฟ้า

ในระหว่างนั้น เหล่าผู้อาวุโสทั้งสามแห่งสำนักชิงหยุนยังคงยืนดูอยู่ด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ต่อผู้ที่ล้มเหลวเหล่านี้

จิตใจไม่มั่นคง ความมุ่งมั่นก็ไร้ความหนักแน่น แล้วยังหวังจะเข้าสำนักชิงหยุน?

ตื่นได้แล้ว เลิกฝันไปเถิด

ผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลกรูกันขึ้นบันไดสวรรค์มายาราวกับปลาที่พยายามข้ามแม่น้ำ ในสายตาของพวกเขา บันไดสวรรค์มายานี้เหมือนประตูลับแห่งตำนานที่เล่าขาน หากข้ามผ่านช่องว่างนี้ไปได้ ก็ราวกับปลาคาร์พที่กลายเป็นมังกร ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในพริบตา

“นี่มันบันไดบ้าอะไรกัน พรสวรรค์ของข้าสูงถึงเพียงนี้ แต่กลับก้าวได้เพียงก้าวเดียว!”

“ช่างโง่เขลานัก! สำนักชิงหยุนที่ไร้ค่าเช่นนี้ ข้าไม่อยากเข้าแล้ว!”

ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนด้วยความโกรธจัด เขามีพรสวรรค์สูงที่สุดในตระกูล และเป็นที่รู้จักในแถบนี้ว่าเป็นอัจฉริยะหายาก เขามั่นใจเต็มเปี่ยมเมื่อมาที่นี่ และยืนยันกับผู้อื่นว่า ด้วยพรสวรรค์ของเขา การผ่านการทดสอบนี้ต้องเป็นเรื่องง่ายแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะได้เข้าเป็นศิษย์สายใน และอาจจะได้เป็นผู้อาวุโสของสำนักในอนาคต

แต่ในตอนนี้ เขากลับต้องอับอายขายหน้า แม้แต่ก้าวที่สองก็ยังไม่สามารถก้าวไปได้

ผู้คนรอบข้างต่างพากันซุบซิบนินทา ตำหนิความกล้าบ้าบิ่นของเขาที่กล้ากล่าววาจาอัปยศถึงสำนักระดับจ้าว

“บังอาจด่าว่าสำนักชิงหยุนเช่นนั้นหรือ?”

เสียงดังก้องขึ้นเมื่อผู้คุ้มกันนามว่า หวังเจี้ยน เดินมาหยุดตรงหน้าชายหนุ่ม

“เจ้าเป็นคนที่กล่าวว่าพวกเราตาไม่มีแววใช่หรือไม่?”

“ข้าว่าเจ้าไม่ใช่อัจฉริยะ แต่เป็นเพียงหมูโง่เขลา ตายซะเถอะ”

“อย่า…อย่า…! ท่านพ่อของข้า—”

หวังเจี้ยนไม่พูดพร่ำทำเพลง ตบฝ่ามือใส่ชายหนุ่มคนนั้นจนร่างแหลกละเอียดกลายเป็นกองเลือดในทันที

เหตุการณ์นี้เรียกความสนใจจากผู้คนในสนามได้ทันที พวกเขาต่างเงียบงันพลางจ้องมองด้วยความตื่นตะลึง

หวังเจี้ยนเห็นสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่เขา จึงเอ่ยขึ้นว่า

“ข้าขอพูดอีกครั้ง การทดสอบในด่านแรกนั้นคือการทดสอบจิตใจและความมุ่งมั่น หากเจ้าไม่สามารถผ่านด่านแรกนี้ได้ ไม่ว่าพรสวรรค์เจ้าจะสูงส่งเพียงใด สำนักชิงหยุนของเราก็ไม่ต้องการเจ้า

จะบ่นยังไงก็ได้ แต่หากยังมีใครกล่าววาจาหยามเกียรติสำนักของเราอีก บทสรุปจะไม่ต่างจากผู้นี้”

เขาชี้นิ้วไปยังกองเลือดบนพื้น

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ผู้ที่ไม่สามารถผ่านการทดสอบได้แต่ยังคงคิดว่าตนเองมีพรสวรรค์ดีอยู่ ต่างก็มองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากระบายความโกรธแค้นอีกต่อไป

ในขณะเดียวกัน มีเงาร่างหนึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดสวรรค์มายาอย่างช้าๆแต่มั่นคง เขาได้ก้าวมาแล้วถึงหนึ่งร้อยก้าว โดยไม่มีท่าทีที่จะหยุดพักเลย

เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนด้านล่างต่างอุทานด้วยความตกตะลึง

“แข็งแกร่ง…แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”

โดยเฉพาะผู้ที่ล้มเหลวในการทดสอบ ต่างก็ยิ่งตกตะลึง พวกเขาได้สัมผัสถึงความยากลำบากของบันไดสวรรค์มายานี้ด้วยตนเอง รู้ดีว่ามันโหดร้ายเพียงใด

พวกเขาทอดสายตามองด้วยความอิจฉา เห็นได้ชัดว่าบุรุษผู้นี้มีโอกาสสูงที่จะผ่านด่านแรก และถึงแม้จะล้มเหลวในด่านที่สอง เขาก็ยังสามารถเข้าร่วมสำนักชิงหยุนได้ในฐานะศิษย์รับใช้อย่างแน่นอน

พูดได้ว่าบุรุษผู้นี้ได้กลายเป็นศิษย์สำนักชิงหยุนอย่างแน่นอนแล้ว และชายหนุ่มผู้นี้ก็คือบุคคลเดียวกับที่สามารถฆ่าอสูรเสือมรณะด้วยฝ่ามือเดียวในป่าอสูรร้าย

ณ ขณะนี้ ฉินหานกำลังก้าวขึ้นบันไดสวรรค์มายาราวกับกำลังเดินเล่นในสวน ความกดดันและภาพมายาทั้งหลายดูเหมือนจะไม่มีผลต่อเขาแม้แต่น้อย มันไม่อาจหยุดยั้งก้าวเท้าของเขาได้เลย

“การทดสอบนี้ช่างง่ายดายสำหรับมหาจักรพรรดิผู้นี้เสียจริง!”

ภาพมายาต่างๆ ที่เข้ามาปะทะกับเขาต่างก็ถูกทำลายไปในทันที จิตใจของเขาในระดับมหาจักรพรรดินั้นไม่อาจสั่นคลอนได้

ในชีวิตชาติก่อนของเขา ฉินหานเคยเป็นมหาจักรพรรดิที่แข็งแกร่ง ทว่าในชาตินี้กลับไร้ซึ่งความเยาว์วัยที่กระตือรือร้น มีแต่บารมีที่สงบนิ่ง ราวกับบึงโคลนที่ลึกจนยากจะหยั่งถึง

คนประเภทนี้น่ากลัวที่สุด

อีกด้านหนึ่ง

“ท่านอาจารย์ ในที่สุดก็มาถึงรอบของข้าแล้ว แต่ข้าควรจะแสดงพลังที่แท้จริงตอนนี้เลยดีไหม?”

หนิงเหยียนใช้จิตสำนึกสื่อสารกับอาจารย์ของเขา ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ เขารู้สึกไม่มั่นใจ

อาจารย์ของเขานั้นเป็นผู้มีชื่อเสียงในภาคกลาง ประสบการณ์ที่ได้เผชิญมามากกว่าที่เขากินเกลือเสียอีก อาจารย์ย่อมสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ที่หนิงเหยียนเริ่มบ่มเพาะมา เขามักจะชอบทำตัวเป็นหมาป่าในคราบลูกแกะเสมอ การแสร้งทำตัวอ่อนแอเพื่อล่อลวงศัตรูให้ตายใจนั้นช่างสะใจนัก

ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าของศัตรูที่ตกตะลึง เขาก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมาก

“เหยียนเอ๋อร์ เมื่อพบเจอสิ่งที่ลังเลใจ ให้ถามหาหัวใจที่แท้จริงของเจ้าเอง”

ชายชรากล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม คำพูดนี้เต็มไปด้วยความล้ำลึก

ทุกคนย่อมมีความคิดและหนทางเป็นของตนเอง เขาไม่ต้องการให้ศิษย์ของเขาพึ่งพาเขามากเกินไป

“หัวใจที่แท้จริง… หัวใจที่แท้จริง”

“ท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว”

“ใช่แล้ว เป้าหมายของข้าในวันนี้ก็เพื่อใช้พวกเขาเป็นก้าวย่าง

จำเป็นต้องแสดงน้ำหนักที่มากพอเท่านั้น เพื่อให้พวกเขามองข้าอย่างจริงจัง

ข้าจะก้าวข้ามพวกเขาไปด้วยพลังอันห้าวหาญ!”

“ดีมาก ดีมาก หัวใจแห่งความไร้เทียมทานเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว”

ชายชราพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ขณะที่มองดูศิษย์ของเขาที่เริ่มค้นพบหนทางของตนเอง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด