ตอนที่ 37 ป้ายประจำตัว
ตอนที่ 37 ป้ายประจำตัว
เรือรบชิงหยุนพุ่งไปยังสำนักชิงหยุนด้วยความเร็วสูง
เดินทางข้ามพันลี้ในพริบตา
ณ หอชิงหยุน
เมื่อรู้ว่าท่านเจ้าสำนักกลับมาแล้ว เหล่าผู้อาวุโสและผู้คุ้มกันแห่งสำนักชิงหยุนอย่างเย่ไป๋และหวังเสวียนก็รีบรุดเข้ามารายงานความเป็นไปในสำนักทันที
นี่เป็นคำสั่งที่เฟิงชิงหยางได้มอบหมายไว้ก่อนจะจากไป เขาต้องการดูว่าการดำเนินงานในสำนักชิงหยุนเป็นอย่างไรในช่วงที่เขาไม่อยู่
“ท่านเจ้าสำนัก ในช่วงสองวันนี้ กองกำลังใหญ่น้อยยังคงส่งทรัพยากรมาอย่างต่อเนื่อง เราได้สร้างคลังเก็บสมบัติถึงยี่สิบแห่งแล้ว
และหลังจากที่ข้าได้ติดต่อกับผู้นำตระกูลหลิน เราก็ส่งทรัพยากรเหล่านั้นไปยังเมืองชิงหยุนอย่างไม่ขาดสาย
ตอนนี้การก่อสร้างเมืองชิงหยุนเริ่มเห็นเค้าโครงชัดเจนแล้ว”
หลังจากที่เย่ไป๋รายงานอย่างเคารพแล้ว หวังเสวียนก็เดินขึ้นมารายงานต่อ
“ท่านเจ้าสำนัก ในช่วงที่ท่านไม่อยู่ ข้าและหน่วยคุ้มกันดูแลสำนักชิงหยุนและเขตการก่อสร้างเมืองชิงหยุนเป็นอย่างดี ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น”
“อืม เมืองชิงหยุนเป็นหน้าตาของสำนักชิงหยุนของเรา ต้องก่อสร้างให้สมบูรณ์แบบ ใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีมาเร่งความเร็วการก่อสร้างให้เต็มที่”
เฟิงชิงหยางพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็สะบัดมือด้วยท่าทางผ่าเผย
ในฐานะสำนักผู้ครองอำนาจแห่งแคว้นหลิงโจว สำนักชิงหยุนในตอนนี้ไม่ขาดแคลนทรัพยากรเลย
สถานการณ์ในตอนนี้คือ… ถึงแม้จะมีคนแย่งกันมอบทรัพยากรให้กับสำนักชิงหยุน แต่ก็ยังต้องดูว่าสำนักชิงหยุนจะรับไว้หรือไม่
อะไรนะ? เจ้าคิดจะไม่มอบทรัพยากรให้แล้วงั้นหรือ?
ไม่เป็นไร ยังมีอีกหลายคนและหลายกองกำลังที่อยากจะมอบให้เรา ไม่ขาดเจ้าเพียงคนเดียว
“เข้าใจแล้ว ท่านเจ้าสำนัก”
“อ้อใช่ พวกเจ้าเตรียมตัวให้พร้อม เลือกวันเปิดรับศิษย์ใหม่ได้แล้ว กลับไปเตรียมตัวเถิด”
นอกหอชิงหยุน
เมื่อมองจากด้านนอกหอชิงหยุนทั้งสำนักจะเห็นว่ามีอาคารเด่นชัดแห่งใหม่ที่เพิ่งปรากฏขึ้นมาในเขตสำนักชิงหยุน
นั่นคือ หอทดสอบศิษย์ ที่สูงถึงร้อยชั้น ซึ่งตั้งตระหง่านกลางสำนัก ราวกับพุ่งทะลุเมฆขึ้นไป
ตอนนี้ สือฮ่าว หลินไป๋ และฮวาชิงหยู ยืนตะลึงอยู่ใต้หอ พวกเขาแหงนหน้ามองดูหอทดสอบศิษย์อันยิ่งใหญ่ที่ตระหง่านอยู่เหนือพวกเขา
แต่สถานการณ์กลับดูน่าอึดอัดเล็กน้อย
ตั้งแต่พวกเขากลับมายังสำนัก สือฮ่าวและหลินไป๋ตั้งใจจะพา ฮวาชิงหยู ไปทำความคุ้นเคยกับสำนักชิงหยุน
แต่ยังไม่ทันได้เริ่มทำความคุ้นเคยกับอะไรเลย พวกเขากลับพบเจอสิ่งที่พวกเขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
หอทดสอบศิษย์นี้คืออะไรกัน…
“ศิษย์พี่ เจ้าหอที่ยิ่งใหญ่นี้ใช้ทำอะไรหรือ?”
“เอ่อ… นี่คือ… หอทดสอบศิษย์ ของสำนักชิงหยุน”
คำตอบของสือฮ่าวฟังดูคลุมเครือและไม่มีข้อมูลอะไรเลย
“อ่า ใช่ๆ อย่างนั้นแหละ”
หลินไป๋ก็รีบสนับสนุนคำตอบนั้นเหมือนกัน
ฮวาชิงหยู รู้สึกมึนงงยิ่งกว่าสือฮ่าวและหลินไป๋ เมื่อมาถึงสำนักชิงหยุนครั้งแรก นางถึงกับตกตะลึงกับสภาพของสำนักที่งดงามดั่งแดนเซียน
เมื่อคิดทบทวนถึงคำพูดของอาจารย์ในวันนั้น นางก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมท่านถึงกล่าวว่าสำนักระดับจ้าวนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่ในสายตาของท่านเลย
แม้แต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจเปรียบเทียบกับสำนักชิงหยุนได้
“โชคดีที่ผู้อาวุโสเตือนข้าได้ทันท่วงที ดูท่าผู้อาวุโสจะมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าจริงๆ”
ฮวาชิงหยู คิดอยู่ในใจ
ขณะเดียวกัน มู่ซุยเซียนเองก็รู้สึกตะลึง แม้ว่านางจะไม่ได้ตื่นตากับความงดงามของสำนักชิงหยุนเช่นเดียวกับฮวาชิงหยู
ในฐานะผู้ที่บรรลุถึงขอบเขตมหาจักรพรรดิ นางเคยพบเห็นสถานที่น่าทึ่งมามากมาย ไม่ได้ถึงกับเสียอาการ
สิ่งที่ทำให้นางตะลึงคือความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเจ้าสำนักผู้ลึกลับแห่งสำนักชิงหยุน ผู้ที่สามารถเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของนางได้ในครั้งแรกที่พบกัน
ด้วยเหตุนี้ มู่ซุยเซียนจึงปล่อยพลังจิตสำนึกมหาจักรพรรดิของนางแผ่กระจายออกมาโดยไม่รู้ตัว หวังจะสำรวจความลึกลับของสำนักชิงหยุนให้กระจ่าง
แต่ทันทีที่พลังจิตสำนึกนั้นแผ่ขยายออกไป ก็ถูกพลังจิตสำนึกที่แข็งแกร่งกว่าบดขยี้กลับมาในทันที
เสียงหนึ่งดังขึ้นในจิตใจของนาง
“เห็นแก่ที่เจ้ามีความเกี่ยวพันกับศิษย์ของท่านเจ้าสำนัก หากเจ้ากล้าบังอาจอีกครั้ง จะถูกประหารทันที!”
มู่ซุยเซียนรู้สึกตกใจจนถอยกลับไปหลายก้าว จิตใจที่มั่นคงระดับมหาจักรพรรดิของนางเกือบจะพังทลายลงในพริบตา
สำนักชิงหยุนมีผู้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ นางไม่กล้าคิดอะไรต่ออีก!
สือฮ่าวและพรรคพวกทั้งสามเดินเที่ยวชมสำนักกันอีกเล็กน้อย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังคลังเก็บสมบัติ
ระหว่างทางพวกเขาเจอผู้อาวุโสสายนอกเย่ไป๋ ด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบแต่แฝงไปด้วยความประหลาดใจอันล้ำลึก
ทั้งสามหยิบยกสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์และโอสถวิเศษทุกอย่างที่พวกเขาได้มาจากแดนลับศักดิ์สิทธิ์โบราณออกมาส่งมอบให้แก่สำนัก
“ผู้อาวุโส นี่คือสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์และโอสถวิเศษที่พวกเราเก็บเกี่ยวจากแดนลับศักดิ์สิทธิ์โบราณ ขอมอบให้แก่สำนักทั้งหมดครับ”
เย่ไป๋พยักหน้า “พวกเจ้ามีน้ำใจมาก”
หลังจากพูดจบ เขาก็รับสมบัติทั้งหมดไว้ด้วยท่าทางสงบนิ่ง
แต่ทำไมมือของยอดฝีมือระดับเบิกฟ้าขั้นสูงสุดถึงได้สั่นเล็กน้อย? ในชีวิตนี้เขาไม่เคยเห็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์มากมายขนาดนี้มาก่อนเลย!
หลังจากนั้นทั้งสามก็เดินทางไปยังหอชิงหยุนตามที่ท่านอาจารย์สั่ง เพราะมีบางสิ่งที่อาจารย์จะมอบให้พวกเขา
ในหอชิงหยุน
“ท่านอาจารย์” ทั้งสามกล่าวพร้อมกัน
“มาแล้วหรือ นี่คือป้ายประจำตัวของพวกเจ้า”
เฟิงชิงหยางโบกมือเบาๆ ป้ายสีน้ำเงินเขียวสามอันลอยออกมาจากฝ่ามือและตกลงบนมือของสือฮ่าวและพรรคพวก
นี่เป็นป้ายที่เขาได้รับมาจากระบบในช่วงสองวันที่เขาอยู่ในวัง
บ้าจริง! สำนักเทพอันดับหนึ่งของมหาจักรวาลในอนาคตกลับไม่มีแม้แต่ป้ายประจำตัวศิษย์ นี่มันเรื่องอะไรกัน?
หลังจากที่เขาอธิบายอย่างมีเหตุผล (พร้อมทั้งข่มขู่เล็กน้อย) ระบบก็ใจป้ำส่งป้ายมาให้เป็นจำนวนมาก
ปริมาณป้ายที่ได้มานั้นเพียงพอสำหรับใช้งานไปอีกนาน ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องป้ายในอนาคต
ป้ายนี้ไม่เพียงแต่ระบุตัวตน แต่ยังสามารถเก็บแต้มผลงานได้ เขาวางแผนไว้อย่างดีแล้วว่าทุกอย่างในสำนักจะต้องใช้แต้มผลงานในการแลกเปลี่ยน
สำนักจะออกภารกิจในกระดานภารกิจ เมื่อศิษย์ทำภารกิจสำเร็จก็จะได้รับแต้มผลงาน แล้วสามารถนำไปแลกของหรือเข้าสู่แดนลับของสำนักได้
นอกจากนี้ศิษย์ยังสามารถใช้แต้มผลงานในป้ายของตนในการออกภารกิจส่วนตัวบนกระดานได้ด้วย
แต่สำนักจะเก็บค่าบริการ 5% จากแต้มผลงาน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่เป็นธรรมมากทีเดียว
สือฮ่าวและพรรคพวกหยิบป้ายขึ้นมาดู ป้ายสีน้ำเงินเขียวนี้มีตัวอักษร “สำนักชิงหยุน” สลักไว้อย่างชัดเจน
เมื่อพลิกด้านหลัง ป้ายเหล่านั้นมีคำว่า “ศิษย์สายตรง” สลักอยู่
ป้ายนี้แสดงถึงสถานะและตำแหน่งของพวกเขาในสำนัก
“ขอบคุณท่านอาจารย์” สือฮ่าวและพรรคพวกกล่าวขอบคุณพร้อมกัน
แต่พวกเขาก็ยังสงสัยเล็กน้อย ท่านอาจารย์ไม่ได้บอกให้พวกเขาเริ่มจากศิษย์สายนอกหรือ?
สือฮ่าวเคยเรียกตัวเองว่า “ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักชิงหยุน” อยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้ตำแหน่งนี้คงต้องยกให้ศิษย์น้องที่เพิ่งเข้ามาใหม่แทนแล้ว
“พวกเจ้าผ่านแดนลับศักดิ์สิทธิ์โบราณมา นั่นถือว่าพวกเจ้าผ่านประสบการณ์ในสนามรบอันโหดร้ายมาแล้ว
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าคือศิษย์สายตรงของสำนักอย่างเป็นทางการ”
“ขอบคุณท่านอาจารย์!”
“จริงสิ ชิงหยู อาจารย์มีเคล็ดวิชาชิ้นหนึ่งมอบให้เจ้า”
“ถือว่าเป็นของขวัญต้อนรับเข้าสำนัก เปิดจิตสำนึกของเจ้าซะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ฮวาชิงหยูจึงเปิดจิตสำนึกทันที
แสงสีม่วงวงหนึ่งพุ่งเข้าสู่จิตสำนึกของนาง
“เคล็ดวิชาฟีนิกซ์สยายปีก”
นางพิ่งรู้สึกถึงเคล็ดวิชานั้น ก็พบว่ามันเหมาะสมกับกายาฟีนิกซ์ศักดิ์สิทธิ์ของนางอย่างยิ่ง
ราวกับถูกสร้างมาเพื่อนางโดยเฉพาะ
นางจึงรีบกล่าวขอบคุณอย่างเต็มใจ
“ขอบคุณท่านอาจารย์ ข้าจะไม่ทำให้ท่านอาจารย์และสำนักต้องผิดหวัง
หากข้าทรยศ ขอให้ฟ้าผ่าห้าครั้ง ตายดับสูญสิ้น!”
นางตื้นตันใจมาก!
นางคิดว่า อาจารย์ท่านนี้ที่ดูเหมือนจะได้มาโดยบังเอิญ เพียงแค่เข้ามาเป็นศิษย์ใหม่ก็มอบเคล็ดวิชาชั้นยอดให้
ดังนั้นนางจึงเผลอให้สัตย์สาบานต่อมหาวิถีโดยไม่รู้ตัว
ต้องเข้าใจว่าเมื่อผู้บ่มเพาะสาบานต่อมหาวิถีแล้ว จะไม่มีวันผิดคำสาบานได้ มิฉะนั้นจิตมารจะเติบโตขึ้น ก่อให้เกิดหายนะถึงชีวิต จนถึงขั้นมหาวิถีของตนดับสูญ
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก พวกเจ้าไปฝึกฝนกันเถิด”
“ชิงหยู เจ้าเอาแหวนที่อยู่ในมือออกมา อาจารย์มีเรื่องจะพูดกับผู้ที่อยู่ข้างใน”
“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฮวาชิงหยูก็ถอดแหวนออกจากมือทันที
นางรู้ดีว่าท่านอาจารย์ทราบถึงการมีอยู่ของ ผู้อาวุโสในแหวนวงนี้
เพราะในวันนั้นพวกเขายังได้สนทนากันอยู่เลย