ตอนที่ 33 เหยื่อล่อ
ตอนที่ 33 เหยื่อล่อ
สือฮ่าวและสหายทั้งสี่ได้เริ่มค้นหาต่อไปในห้องลับข้างหน้า
เคล็ดวิชาต่างๆล้วนถูกปล้นจนหมดสิ้น
เหลือเพียงแต่ตำราที่ยับเยินและขาดฉีก
ดูท่าคงเกิดจากการแย่งชิงกันของศิษย์ที่เข้ามาก่อนหน้า
“หยูเอ๋อร์ ไปดูห้องลับข้างๆหน่อย ที่นั่นน่าจะมีของบางอย่าง”
มู่ซุยเซียนกล่าวผ่านจิตสำนึกไปยังฮวาชิงหยู
“ศิษย์พี่ เราไปดูห้องข้างๆกันเถิด”
ฮวาชิงหยูกล่าวกับสือฮ่าวและสหาย
“ไปกันเถิด ที่นี่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแล้ว”
ฮวาชิงหยูเดินนำไปข้างหน้า สือฮ่าวเริ่มเรียกหลินไป๋และหวังเถิงตามไป
“พี่สือ ที่นี่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีๆแล้ว ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปที่ส่วนอื่นของแดนลับกันเถิด”
หวังเถิงกล่าวด้วยความรู้สึกผิดหวัง หากรู้เช่นนี้คงไม่เสียเวลาอยู่ที่นี่
“รอสักครู่ ก่อนอื่นค่อยๆดูอีกทีก่อน”
เมื่อมาถึงห้องลับข้างๆ ที่นี่ยิ่งโดดเดียวและร้างกว่าห้องก่อนหน้า
ห้องนี้ถึงแม้ขโมยมาก็ยังต้องร้องไห้ ทิ้งศิลาวิญญาณไว้สองก้อน
“ผู้อาวุโส ที่นี่ไม่มีอะไรเลย”
“อย่าร้อนใจ ที่นี่มีค่ายกลอยู่
หยู่เอ๋อร์ เปิดจิตสำนึกของเจ้าแล้วไม่ต้องขัดขึน ข้าจะควบคุมร่างกายเจ้าชั่วคราว แล้วข้าจะทำลายค่ายกลนี้ให้เอง”
ฮวาชิงหยูเชื่อฟังและทำตามอย่างดี นางเชื่อมั่นในผู้อาวุโสภายในแหวน หากผู้อาวุโสต้องการทำร้ายนาง คงไม่มีนางอยู่ถึงทุกวันนี้
มู่ซุยเซียนเข้าไปในร่างของฮวาชิงหยูผ่านจิตสำนึก เมื่อเปิดตาขึ้น ร่างกายของนางก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อสือฮ่าวและสหายเข้ามา พวกเขาก็ได้เห็นภาพนี้
“ศิษย์น้องกำลังทำลายค่ายกลหรือ?”
“ที่นี่ยังมีค่ายกลอยู่หรือ?”
พวกเขาไม่สามารถรู้สึกได้ด้วยพลังบ่มเพาะปัจจุบันของตนเอง
มือทั้งสองของนางปัดไปเรื่อยๆ
“ทำลาย!”
มู่ซุยเซียนร้องออกมา
ทันใดนั้น ค่ายกลก็ถูกทำลาย รูปแบบเดิมของห้องก็เผยออกมา
ขวดโอสถเก็บตัวต่างๆ ถูกวางเรียงอย่างเป็นระเบียบบนชั้น และกลิ่นโอสถก็อบอวลไปทั่ว
“อะไรกัน! ที่แท้โอสถทั้งหมดถูกซ่อนอยู่ในค่ายกล ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงไม่มีอะไรเลย”
“ได้ลาภแล้ว”
สือฮ่าวและสหายสามคนต่างก็ตะลึงและมองภาพนี้ด้วยความตื่นเต้น และพูดออกมาอย่างไม่อยากเชื่อว่าจะได้ลาภใหญ่
มู่ซุยเซียนได้ยินคำพูดของพวกเขา จึงหันไปมองพวกเขาด้วยสายตาที่เยือกเย็น
“ศิษย์น้อง สายตาของเจ้าช่างน่ากลัวจริงๆ”
เย็นชา ปราศจากความรู้สึก
“ศิษย์น้อง…เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
“ทำไมรู้สึกเหมือนศิษย์น้องเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกันเลย?”
มู่ซุยเซียนถอยกลับไปยังแหวน
“ข้าไม่เป็นไร ศิษย์พี่”
“เรามารีบเก็บโอสถกันเถิด”
พูดจบ ฮวาชิงหยูก็เริ่มค้นหาโอสถศักดิ์สิทธิ์สำหรับบำรุงจิตวิญญาณ
สือฮ่าว หลินไป๋ และหวังเถิงก็เริ่มตรวจสอบไปทีละขวด
“นี่มันโอสถหยินหลง!”
“ยังมีโอสถจื่อหยาง!”
หวังเถิงยกขวดยาออกมาดมกลิ่นและพิจารณาลวดลายบนขวดยาอย่างละเอียด ก่อนที่จะทึ่งออกมาด้วยความตกใจ
“ไม่ผิดหวังเลย แดนลับศักดิ์สิทธิ์โบราณแห่งนี้ โอสถที่หายสาบสูญเหล่านี้ยังคงมีอยู่”
“ศิษย์พี่ มาเร็ว ที่นี่มีอักษร”
สือฮ่าวได้ยินดังนั้นจึงรีบวิ่งไปพร้อมกับหวังเถิง
พวกเขาพบว่าหลินไป๋กำลังจ้องมองที่โต๊ะหินอยู่ บนโต๊ะหินนั้นมีการสลักอักษรหลายบรรทัด
“ข้าคืออาวุโสหลอมโอสถของแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเหยียน
ในปีแห่งการเริ่มต้นแห่งท้องฟ้า ปีเทียนซื่อ เผ่าปีศาจได้บุกเข้ามาโจมตีดินแดนภาคตะวันออกของข้ามา
แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเหยียนได้ร่วมมือกับมหาอำนาจของแต่ละกองกำลังต่อต้านอย่างสุดกำลัง แต่ยังคงแพ้พ่ายด้วยความแตกต่างของพลัง
เราไม่รู้ว่าจะสามารถต้านทานได้อีกนานแค่ไหน เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าปีศาจทำลายหอโอสถ ข้าจึงได้ตั้งค่ายกลนี้
หากท่านสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ โอสถทั้งหมดจะเป็นของท่าน
ปีศาจ… คงจะถูกขับไล่ไปแล้วกระมัง…” — บันทึกโดยผู้อาวุโสหอโอสถแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเหยียน-โม่เฟิงหลิว
“ที่แท้ก็เป็นค่ายกลที่อาวุโสหลอมโอสถของแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเหยียนทิ้งไว้”
สือฮ่าวและสหายทั้งสามในที่สุดก็เข้าใจ
ค่ายกลนี้ถูกตั้งขึ้นเพื่อป้องกันเผ่าปีศาจ คงจะเป็นค่ายกลที่มีระดับไม่น้อย
แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถามศิษย์น้องเรื่องที่นางสามารถทำลายค่ายกลได้
ทุกคนต่างก็มีความลับเป็นของตนเอง
“หาเจอแล้ว! ท่านผู้อาวุโส”
ที่อีกฝั่งหนึ่ง
ฮวาชิงหยูถือขวดโอสถอยู่ในมือด้วยความยินดีแล้วพูดออกมา
โอสถศักดิ์สิทธิ์ ฟื้นฟูจิตวิญญาณ
มีคุณสมบัติในการบำรุงจิตวิญญาณให้มั่นคงและสงบลง เป็นสมบัติล้ำค่าอันหาได้ยาก แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนเหยียนก็มีเพียงขวดเดียวในมือของนางเท่านั้น
ในขวดมีเพียงสามเม็ด
ฮวาชิงหยูใส่โอสถศักดิ์สิทธิ์ลงในแหวนแล้วมอบให้มู่ซุยเซียน
มู่ซุยเซียนใช้พลังวิญญาณในการแปรเปลี่ยนโอสถทั้งสามเม็ดให้กลายเป็นฤทธิ์ยา และค่อยๆบำรุงจิตวิญญาณของตนเอง
“ไม่เลวเลย จิตวิญญาณของข้าแข็งแกร่งขึ้นบ้างแล้ว”
ตอนนี้สามารถใช้พลังของขอบเขตปราชญ์ได้เต็มที่ แม้ว่าก่อนหน้านี้ก็สามารถใช้ใช้พลังขอบเขตปราชญ์ได้เต็มที่ แต่หลังจากนั้นต้องหลับไหลนานกว่าจะฟื้นตัว
“ศิษย์พี่เป็นอย่างไรบ้าง? บรรจุโอสถหมดหรือยัง? เราไปกันเถิด”
ฮวาชิงหยูพูดจบแล้วเดินกลับมาหาสือฮ่าวและพรรคพวก
นางเห็นพวกเขาแบ่งโอสถศักดิ์สิทธิ์ออกเป็นสี่ส่วน หนึ่งส่วนใหญ่และสามส่วนเล็ก
“ศิษย์น้อง เจ้ากลับมาแล้ว พวกข้ากับพี่หวังได้ปรึกษากันแล้ว เนื่องจากค่ายกลนี้ศิษย์น้องเป็นผู้ทำลาย ดังนั้นเจ้าควรได้รับส่วนใหญ่ ส่วนพวกเราสามคนจะแบ่งกันส่วนที่เหลือ”
ฮวาชิงหยูเห็นว่าพูดไม่ให้พวกเขาเปลี่ยนใจไม่ได้ ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก นางจึงเก็บโอสถศักดิ์สิทธิ์อย่างเงียบๆ
อย่างไรก็ตาม นางได้ตัดสินใจแล้วว่าจะมอบทุกอย่างให้กับสำนัก
สือฮ่าวและหลินไป๋ก็คิดเช่นเดียวกัน
ท่านอาจารย์มีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อพวกเขา และยังถ่ายทอดเคล็ดวิชาล้ำเลิศให้ พวกเขาจำเป็นต้องทำสิ่งตอบแทนสำนัก
“ที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว เราไปกันเถิด”
พวกเขาสี่คนเก็บข้าวของแล้วเดินออกไปด้านนอก
หวังเถิงก็เรียกเหล่าศิษย์ในกลับมา
“ศิษย์พี่ ท่านพบอะไรหรือไม่?”
“แค่ก ข้าครั้งนี้ไม่ได้อะไรกลับมาเลย”
“นี่ สำหรับเจ้า”
ศิษย์พี่จากแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ยินคำพูดของศิษย์น้อง จึงยื่นคัมภีร์วิชาให้เขาเล่มหนึ่ง
“อา ขอบคุณศิษย์พี่”
“แต่ว่า ศิษย์พี่ ท่านให้คัมภีร์วิชาแก่ข้า แล้วท่านจะใช้อะไรล่ะ?”
“เฮ้ ข้าไม่เป็นไรหรอก”
ศิษย์พี่คนนั้นเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เผยให้เห็นคัมภีร์วิชาห้าฉบับที่ซ่อนไว้ที่เอวโดยไม่ตั้งใจ
พวกสือฮ่าวเดินออกมาจากอาคารพร้อมกัน
ครั้งนี้ไม่เพียงแต่พวกเขาที่กลับมาพร้อมกับสมบัติมากมาย เหล่าศิษย์จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตงซวนก็ได้สิ่งของไม่น้อยเช่นกัน
นี่คือวิธีการเก็บตกสมบัติที่ถูกทิ้งขว้าง
แน่นอนว่าการเก็บตกสมบัติก็ต้องอาศัยสถานที่ หากสถานที่ไม่ดี เก็บอย่างไรก็ไร้ผล
สถานที่อย่างหอคำภีร์และหอโอสถศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ ต่อให้ถูกกวาดล้างไปแล้ว ก็ยังพอมีบางอย่างที่หลงเหลืออยู่
…
“ทางทิศตะวันออกมีมรดกของปราชญ์ปรากฏขึ้นแล้ว!”
“เฮ้ย! รออะไรอยู่ รีบไปเร็ว อย่าให้ช้าไปแล้วคนอื่นไปถึงก่อน!”
หวังเถิงได้ยินคำนี้ก็จับชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังวิ่งผ่านไว้ทันที
“เฮ้! เจ้าคนนี้จะทำอะไร…”
ชายคนนั้นกำลังจะพูดคำหยาบ แต่เมื่อมองเห็นคนตรงหน้าอย่างชัดเจน ก็รีบกลืนคำพูดที่เกือบหลุดปากลงไป
หลังจากซักถามอย่างเป็นมิตร พวกเขาก็ทราบถึงต้นสายปลายเหตุ
ไม่รู้ว่าเป็นใครที่แพร่ข่าวไปทั่ว บอกว่ามีมรดกของปราชญ์ปรากฏขึ้นในซากพระราชวังแห่งหนึ่งทางทิศตะวันออก
เมื่อได้รับข่าว เหล่าผู้บ่มเพาะทั้งหลายก็รีบเร่งมุ่งหน้าไปทางนั้น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไปดูกันเถิด พี่สือ”
หวังเถิงหันไปพูดกับสือฮ่าวและพรรคพวก
สือฮ่าวรู้สึกถึงความผิดปกติในทันที
ในสถานที่เช่นนี้ ใครเล่าที่พบพานมรดกของปราชญ์แล้วเที่ยวไปบอกเล่าแก่ผู้อื่น โดยเฉพาะในแดนลับแห่งนี้ ทุกคนล้วนเป็นคู่แข่งกันทั้งสิ้น
ประหนึ่งมีใครบางคนจงใจนำพาทุกคนไปทางนั้น
“ไม่ชอบมาพากลเลย พี่หวัง ข้าว่าหาใช่เรื่องง่ายไม่”
หลินไป๋และฮวาชิงหยูต่างก็รับรู้ถึงความผิดปกติ พวกเขาต่างเป็นคนฉลาด พอเข้าใจได้ทันที
ส่วนเหล่าศิษย์ที่รีบเร่งมุ่งหน้าไปนั้น คงเป็นพวกโง่เขลาหรือ? พวกเขาจะไม่รู้สึกถึงความแปลกประหลาดนี้ได้หรือ?
เปล่าเลย! เพียงแต่มรดกของปราชญ์นั้นยั่วยวนเกินต้าน!
“เจ้าไม่เคยได้ยินหรือ? ยามเช้ารู้ซึ่งมหาวิถี ยามเย็นแม้ตายก็สุขใจ”
“พี่สือ ข้ารู้ว่าพวกท่านกังวลเรื่องใดอยู่
แต่พวกเราก็มีกันหลายคน อีกทั้งยังมีอัจฉริยะเช่นพี่สือและเหล่าศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้าอยู่ด้วย ในแดนลับนี้คงไม่มีอำนาจใดที่พวกเราจัดการไม่ได้”
ไปเสี่ยงดวงดูก็ไม่เสียหาย
พวกเขามิได้คิดให้ซับซ้อนเกินไป
ต่อให้มีใครบางคนตั้งใจลวงให้พวกเขาไปทางนั้น
สิ่งที่พวกเขาคิดก็คือ บางกลุ่มอำนาจที่เข้ามาในแดนลับแห่งนี้เป็นผู้ทำเรื่องนี้ขึ้นมาเท่านั้น