ตอนที่แล้วตอนที่ 30 แดนลับศักดิ์สิทธิ์โบราณเปิดออก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 32 ตามล่าหาสมบัติ

ตอนที่ 31 ยุคกลางที่ขาดตอน


ตอนที่ 31 ยุคกลางที่ขาดตอน

……

ภายในแดนลับศักดิ์สิทธิ์โบราณ

เมื่อแสงขาวเจิดจ้าส่องวาบต่อหน้า พวกเขาทั้งสามก็หลับตาลง

ครั้นลืมตาขึ้นอีกครั้ง สือฮ่าวและพรรคพวกทั้งสามก็ได้เข้าสู่แดนลับแล้ว

เมฆบนขอบฟ้าล้วนเป็นสีแดงฉานปานโลหิต พื้นดินรกร้างเต็มไปด้วยกระดูกแห้งกรัง และบางครั้งก็มีเสียงร้องประหลาด “วู้วู้วู้” ดังมาแต่ไกล

หากมองไปยังที่ไกลโพ้น ก็จะเห็นเพียงความรกร้างที่ไร้สิ้นสุด

“ศิษย์พี่ นี่พวกเรามาถึงสมรภูมิโบราณใช่หรือไม่!”

“นี่มันช่างรกร้างยิ่งนัก”

หลินไป๋ระลึกถึงคำเตือนของท่านอาจารย์

ทรัพยากรนั้นต้องแย่ง โอกาสนั้นต้องชิง ของวิเศษต้องคว้า

อา มิใช่สิ ท่านอาจารย์กล่าวด้วยวาจาสุภาพกว่านั้น ว่าความจริงแล้วควรเน้นความจริงใจ

เช่นว่า ทรัพยากรของเจ้ามากมายเกินไป เกรงว่าถือไว้คงจะหนักกระมัง? โอกาสของเจ้าเลิศนัก ข้าขอนะ

อย่ากังวล สำนักชิงหยุนของเราย่อมมิขโมยแม้แต่เข็มหรือด้ายของพวกท่าน…

เฟิงชิงหยาง: ยอดเยี่ยม เจ้าช่างเข้าใจความนัยของข้ายิ่งนัก

แต่สถานที่อันรกร้างเช่นนี้จะมีของดีอันใดได้ ข้าไปหากระดูกสักหน่อย มาต้มซุปถวายท่านอาจารย์ดีกว่า…

“เจ้าถามข้า ข้าเองก็ไม่รู้” สือฮ่าวขมวดคิ้วตอบ

ทุกคนล้วนมาที่นี่เป็นครั้งแรก เจ้าถามข้า? เช่นนั้นข้าควรไปถามใครเล่า?

“ศิษย์พี่รองกล่าวได้มิผิด สถานที่แห่งนี้แน่นอนว่าเป็นสมรภูมิโบราณ”

“โอ้ ศิษย์น้องหญิงรู้เรื่องแดนลับนี้งั้นหรือ?”

“เล่าต่อเถิด รีบกล่าวออกมา”

สือฮ่าวกับหลินไป๋จึงขยับเข้ามาฟังใกล้ๆ

รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง

“ข้าเองก็เพียงได้ยินท่านพ่อบอกเล่ามา ว่าแดนลับศักดิ์สิทธิ์โบราณนี้คือ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ดัดแปลงอันทรงพลังจากยุคกลาง

ในครานั้น เผ่าปีศาจได้รุกรานเข้ามา ภาคตะวันออกจึงร่วมมือกับสำนักศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อสกัดกั้น และที่นี่ก็คือสมรภูมิหลัก”

ฮวาชิงหยูชี้ลงไปยังพื้นดินรกร้างใต้เท้า ก่อนกล่าวต่อไปว่า

“การรบครั้งนั้นทำให้ฟ้าถล่มดินทลาย โลหิตไหลรินปานพายุหมุนเลือด เหล่าบรรพชนต้องพลีชีพทีละคน จนกระทั่งมหาจักรพรรดิของภาคกลางออกโรง จึงยุติสงครามอันโหดเหี้ยมนี้ลงได้

และเพราะศึกครานั้นเอง ภาคตะวันออกจึงถูกทำลายจนหมดสิ้น การสืบทอดถูกตัดขาด และตกอยู่ในสภาพบอบช้ำไม่อาจเยียวยา

นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมในภาคตะวันออกอันกว้างใหญ่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ จึงมีเพียงห้าแดนศักดิ์สิทธิ์เหลืออยู่

ส่วนแดนลับศักดิ์สิทธิ์โบราณนี้ก็เป็นผลงานของมหาจักรพรรดิท่านนั้น ท่านได้ใช้สมบัติล้ำค่าที่สุด สร้างสมรภูมิหลักให้กลายเป็นโลกใบเล็ก จากนั้นก็อนุญาตให้กองกำลังที่ได้รับกุญแจลับมาใช้เป็นสถานที่ฝึกฝนศิษย์ เพื่อรับมรดกของบรรดาบรรพชน”

ฮวาชิงหยูค่อยๆลดเสียงลงเมื่อกล่าวถึงเรื่องราวนี้

การกล่าวถึงเหตุการณ์ในอดีตนี้ ไม่มีชาวภาคตะวันออกคนใดไม่รู้สึกสะเทือนใจ บรรพชนทั้งหลายทำศึกกับเผ่าปีศาจ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ร่วมมือกันอย่างแนบแน่น เหล่ากองกำลังใหญ่ต่างพากันออกมาปะทะ

นั่นคือช่วงเวลาที่ภาคตะวันออกเป็นเอกภาพที่สุด

ครั้งหนึ่ง ภาคตะวันออกเคยรุ่งเรืองถึงเพียงนั้น

บรรดายอดอัจฉริยะช่วงชิงกันอย่างเข้มข้น ผู้แข็งแกร่งเกิดขึ้นมากมาย มีแดนศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วน ถึงขั้นเคยมีมหาจักรพรรดิเกิดขึ้นมา

แต่ทั้งหมดนั้นถูกบดขยี้ในศึกครั้งนั้น แม้แต่เหล่าบรรพชนที่ยังหลงเหลือจากสงคราม ก็ล้วนถูกกาลเวลาทำให้ถูกลืมเลือนไปทีละคน

คนรุ่นก่อนค่อยๆร่วงโรยไปดั่งใบไม้ร่วงในสายลม

กล่าวได้ว่าเป็นยุคที่ขาดตอนก็มิใช่เรื่องเกินจริง

“อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย มาคุยกันเรื่องแดนลับดีกว่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสมรภูมิหลักนั้นอยู่ในส่วนลึก โอกาสล้ำค่าและมรดกต่างๆ ก็อยู่ในที่ลึกเช่นกัน พวกเราควรรีบไปกันเถิด”

ฮวาชิงหยูพูดจบก็เห็นศิษย์พี่ทั้งสองไม่แสดงท่าทีตอบสนอง แต่กำหมัดแน่น

“เผ่าปีศาจ! สักวันข้าจะกำจัดพวกมันให้หมดสิ้น!”

สือฮ่าวกัดฟันกล่าว

พวกเขาล้วนยังเยาว์วัย มีความฝันของเหล่าชายหนุ่มในใจที่จะขจัดมารเพื่อปกป้องวิถีแห่งธรรม

ช่างเถิด สำนักชิงหยุนของเราย่อมออกโรงเอง!

“ดี! คำพูดของพี่ชายท่านนี้ช่างถูกต้องยิ่งนัก

เหล่าปีศาจนั้นสมควรถูกกำจัดให้สิ้นซาก!”

เสียงหัวเราะอันสดใสดังมา ชายหนุ่มรูปงามใบหน้าเปรียบดังหยกเดินเข้ามาหา โดยมีศิษย์อีกยี่สิบคนตามหลังมา

“พี่ชายท่านนี้ ท่านมาจากสำนักใดกัน

ความคิดของเราดูจะตรงกันยิ่งนัก เหตุใดจึงไม่ร่วมเดินทางไปด้วยกันเล่า?”

หวังเถิงเดินเข้ามาใกล้จึงเห็นชื่อปักบนชุดของสือฮ่าวและคนอื่นๆ

สำนักชิงหยุน

สือฮ่าวและพรรคพวกต่างระมัดระวังมองกลุ่มคนที่เดินเข้ามา

อย่ามีใจคิดร้ายต่อผู้อื่น แต่ต้องมีใจป้องกันผู้อื่นเอาไว้

โดยเฉพาะในแดนลับแห่งนี้ ที่อาจกลืนกินผู้คนจนไม่เหลือซาก

“สหายอย่าได้ตื่นตระหนก ข้าคือหวังเถิงจากแดนศักดิ์สิทธิ์ตงซวน เหล่าศิษย์ที่ตามหลังล้วนเป็นคนของแดนศักดิ์สิทธิ์

เมื่อครู่ ความคิดของเจ้าและข้าเหมือนกันยิ่งนัก เป้าหมายสูงสุดของข้าหวังเถิงก็คือบรรลุการบ่มเพาะ แล้วกำจัดเผ่าปีศาจให้สิ้นซาก”

“สือฮ่าว จากสำนักชิงหยุน”

“เกรงใจไปไย การขจัดมารปกป้องวิถีแห่งธรรมนั้น เป็นหน้าที่ของเหล่าผู้บ่มเพาะเช่นพวกเรา”

เมื่อได้ยินคำของหวังเถิง สือฮ่าวก็แสดงฐานะตัวตนออกมาเช่นกัน

“สำนักชิงหยุน…

นั่นคือสำนักที่เพิ่งมีชื่อเสียงก้องกังวานและครอบครองแคว้นหลิงโจวอยู่ใช่หรือไม่?

ที่แท้ก็เป็นศิษย์อัจฉริยะจากสำนักระดับจ้าว ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนดูกล้าแกร่งถึงเพียงนี้

พี่สือ ในแดนลับศักดิ์สิทธิ์โบราณนี้มีอันตรายอยู่ทั่ว เหตุใดพวกเราจึงไม่ร่วมมือกันเดินทางเล่า?”

ในแดนลับ การร่วมมือกับผู้แข็งแกร่งย่อมเป็นสิ่งดีที่สุด อีกทั้งอุดมการณ์ของสือฮ่าวและหวังเถิงก็ดูจะสอดคล้องกัน

สือฮ่าวจึงหันไปสอบถามความคิดเห็นของศิษย์น้องหลินไป๋และศิษย์น้องหญิงฮวาชิงหยู

ทั้งสองต่างเห็นพ้องต้องกัน

เมื่อมีผู้คนมากขึ้น พลังย่อมทวีคูณ

“เช่นนั้น ก็ไปกันเถิด พี่หวัง”

กลุ่มคนทั้งหมดมุ่งหน้าลึกเข้าไปในแดนลับ กระดูกแห้งบนเส้นทางเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายอันชั่วร้ายก็ค่อยๆ หนักอึ้งขึ้นตามๆกัน

ระหว่างทาง พวกศิษย์จากสำนักต่างๆ เริ่มปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

สายตาหลายคู่จับจ้องมายังกลุ่มของสือฮ่าว

ด้วยการเข้าร่วมของสือฮ่าวและสองสหาย กลุ่มของหวังเถิงกลายเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในแดนลับนี้

แน่นอนว่า ไม่สามารถรับประกันได้ว่าพวกศิษย์จากสำนักอื่นๆ จะไม่รวมตัวกันเช่นกัน แต่สามารถพูดได้ว่า กลุ่มของพวกเขามีคุณภาพสูงที่สุด

“นั่นคือคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ตงซวนใช่หรือไม่?”

“แปลกจริง ศิษย์สามคนที่เดินนำหน้านั่นเป็นใครกันเล่า? เหตุใดถึงได้เดินเคียงข้างกับศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ตงซวน?”

“เจ้าจะไปสนใจเรื่องของพวกเขาทำไมเล่า? พวกเขาเป็นการรวมพลังระหว่างผู้แข็งแกร่ง”

“ไม่เหมือนพวกเราที่อ่อนแอต้องมาแย่งชิงกันเอง”

“ไปเถิด ไปทางทิศตะวันออก ข้ามีน้องชายส่งข่าวมาว่าทางนั้นดูเหมือนจะมีบางอย่างอยู่ บางทีอาจจะเป็นโอกาสล้ำค่าก็เป็นได้”

ในส่วนลึกของแดนลับศักดิ์สิทธิ์โบราณ ภายในพระราชวังอันมืดมิดแห่งหนึ่ง

“ฮ่าฮ่าฮ่า! มีเหยื่อเลือดสดใหม่มากมายที่มาเยือนแล้ว”

สัตว์อสูรตัวหนึ่งที่มีเขาคู่หนึ่งโผล่พ้นหัว ร่างกายทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย กล่าวขึ้น

ร่างของมันดูเหมือนจะเลือนรางไม่มั่นคง

“จริงด้วย ท่านผู้อาวุโส

เลือดสดๆ พวกนี้ช่างน่าลิ้มลองนัก ข้าชักจะกลืนน้ำลายแทบไม่ทันแล้ว"

เดิมทีเหล่าปีศาจพวกนี้ถูกสังหารจนสิ้นชีพ แต่ด้วยดินแดนแห่งนี้เป็นสนามรบหลักของการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ กลิ่นอายชั่วร้ายจึงอบอวลไปทั่ว ทะยานขึ้นสู่ฟ้า

เหล่าปีศาจบางตนกลับคืนชีพขึ้นมาได้อีกครั้ง หลังจากถูกหล่อเลี้ยงด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายมาอย่างยาวนาน

"อย่าเพิ่งรีบร้อน ตอนนี้พลังของพวกเรานั้น ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด ข้าต้องการเวลาเพื่อเสริมพลังอีกสักระยะ

ทว่าข้ารู้สึกได้ว่า เหล่าเด็กน้อยที่เข้ามาในดินแดนนี้ ล้วนแล้วแต่มีพลังฝีมือไม่สูงนัก ข้าจะวางกับดักแล้วจับพวกมันทั้งหมดให้ราบคาบ

ถึงตอนนั้น เราจะได้ลิ้มรสเลือดสดใหม่กัน ฮ่าฮ่าฮ่า!"

"กุ่ยซา เจ้านำคนไปจัดการเรื่องนี้เสียเถิด

เมื่อจัดการสำเร็จ ข้าจะมอบเหยื่อเลือดสดๆ ยี่สิบตนเป็นรางวัลแก่เจ้า"

"ขอบพระคุณท่าน ข้าจะรีบไปจัดการทันที"

ในส่วนลึกเบื้องล่างของพระราชวัง ปีศาจมีจำนวนหลายพันตนที่กำลังถูกหล่อเลี้ยงด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายมหาศาล

"เจ้าพวกแดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้าพวกผู้บ่มเพาะของภาคตะวันออกที่ชั่วร้าย! รอข้าออกไปเมื่อไร ข้าจะแยกเนื้อพวกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ ทีละคน!"

4 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด