ตอนที่ 29 กายาฟีนิกซ์ศักดิ์สิทธิ์ ฮวาชิงหยู มหาจักรพรรดินีมู่ซุยเซียน
ตอนที่ 29 กายาฟีนิกซ์ศักดิ์สิทธิ์ ฮวาชิงหยู มหาจักรพรรดินีมู่ซุยเซียน
“ผู้อาวุโส ท่านพ่ออนุญาตให้ข้าเข้าไปในแดนลับศักดิ์สิทธิ์โบราณแล้ว
ตอนนี้ข้าสามารถหาสมุนไพรสำหรับรักษาบาดแผลให้ผู้อาวุโสได้แล้ว”
“ช่างเป็นเด็กที่มีน้ำใจจริงๆ หยูเอ๋อร์”
เสียงเย็นชาของสตรีคนหนึ่งดังขึ้นในจิตใจของฮวาชิงหยู
“ผู้อาวุโส นี่คือสิ่งที่ข้าสัญญากับท่าน ข้าควรทำเช่นนี้”
หากจะกล่าวถึงการที่นางสามารถปลุกกายาฟีนิกซ์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ก็เป็นเพราะนางได้พบเจอกับเหตุการณ์ที่แปลกประหลาด
เมื่อเดือนก่อน นางออกเดินทางท่องเที่ยวและได้พบกับหุบเขาแห่งหนึ่ง ขณะเดินทางผ่านนางได้เก็บแหวนลักษณะพิเศษชิ้นหนึ่งมาจากที่นั่น เมื่อนางมองไปที่แหวนก็รู้สึกว่ามันงดงามจึงนำกลับมา
ไม่คาดคิดว่าในแหวนชิ้นนั้นมีวิญญาณที่ถูกทิ้งเอาไว้ ซึ่งก็คือผู้อาวุโสที่นางพูดถึง
นางสัญญาว่าจะช่วยผู้อาวุโสหาโอสถรักษาจิตวิญญาณและเก็บรักษาแหวนไว้อย่างดี ผู้อาวุโสใช้พลังมากมายในการช่วยนางปลุกกายาฟีนิกซ์ศักดิ์สิทธิ์
แต่ยังไม่มีเคล็ดวิชาที่เหมาะสม ทำให้นางไม่สามารถใช้พลังทั้งหมดของกายาฟีนิกซ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ สำหรับเรื่องนี้ ผู้อาวุโสก็ได้กล่าวว่าไม่สามารถช่วยเหลือได้
โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะสื่อสารกันด้วยจิตสำนึก
ที่พระราชวังฉีหลินขณะนี้เต็มไปด้วยผู้คน
หลังจากที่พวกเขาหารือเกี่ยวกับเรื่องต่างๆภายในแดนลับศักดิ์สิทธิ์โบราณแล้ว พวกเขาก็แยกย้ายกันไป รอคอยการเปิดแดนลับศักดิ์สิทธิ์โบราณในไม่ช้า
เช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมา ในแดนลับศักดิ์สิทธิ์โบราณนั้น ไม่ว่าจะเป็นพลังอำนาจของแต่ละฝ่ายขนาดไหน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่มีผู้ครอบครอง จะเป็นของผู้ที่มีความสามารถ ผู้ที่มีพลังสามารถยึดครองได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งส่วนตัว
หากศิษย์ถูกฆ่าภายในแดนลับศักดิ์สิทธิ์โบราณ ใดๆ ก็ไม่สามารถโทษใครได้ แม้แต่สำนักใดๆหรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใดๆก็ไม่สามารถเอาผิดย้อนหลังได้ มิฉะนั้นจะถูกกลุ่มอื่นๆรุมโจมตี จึงเห็นได้ถึงความโหดร้ายของสถานที่แห่งนี้
นี่ก็เป็นสิ่งที่ผู้นำของหลายฝ่ายเห็นชอบกัน โดยสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งฝึกฝนที่เต็มไปด้วยโอกาส ใครที่สามารถกลับออกมามีชีวิตรอด ย่อมมีโอกาสกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงของขุมอำนาจ หากล้มเหลวก็แสดงว่าพลังยังอ่อนแอและโชคไม่ดี
สำนักจึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคอยปกป้องศิษย์ที่ตายไปแล้ว ซึ่งแสดงถึงพลังที่อ่อนแอ
“เช่นนั้นก็พอเถิด พวกท่านได้หารือกันจนอิ่มหนำแล้ว ตอนนี้แดนลับศักดิ์สิทธิ์โบราณจะเปิดในเร็วๆนี้ โปรดพักผ่อนที่เมืองหลวงของข้าเถิด”
ราชาแห่งราชวงศ์ฉีหลินกล่าวพร้อมยิ้ม
【“ตรวจพบศิษย์อัจฉริยะคนที่สาม โปรดไปยังจุดหมายทันที การทำภารกิจให้สำเร็จจะได้รับรางวัลมากมาย”】
“ที่แท้นางเป็นองค์หญิงของราชวงศ์ฉีหลินนี่เอง”
“ยังมีโอกาสพิเศษอีกหรือ?”
เฟิงชิงหยางเปิดแผงข้อมูลส่วนตัวของนางและพึมพำในใจ
【“ฮวาชิงหยู: องค์หญิงแห่งราชวงศ์ฉีหลิน
ขอบเขต: แก่นทองคำขั้นปลาย
ร่างกาย: กายาฟีนิกซ์ศักดิ์สิทธิ์
โอกาสพิเศษ: เมื่อเดือนที่แล้วได้พบแหวนที่บรรจุจิตวิญญาณของมหาจักรพรรดินีมู่ซุยเซียนแห่งภาคกลาง ด้วยความช่วยเหลือจากนาง ทำให้ปลุกกายาฟีนิกซ์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นได้”】
“มหาจักรพรรดินีมู่ซุยเซียนคือผู้ใด? ใช่ยายแก่หรือไม่?”
“พวกเจ้าสองคนไปหาที่พักผ่อนกันเถิด ข้าจะไปทำธุระบางอย่าง”
เฟิงชิงหยางกล่าวกับสือฮ่าวและหลินไป๋ก่อนที่จะหันหลังจากไป
“อา ท่านอาจารย์จะไปทำอะไรหรือ?”
หลินไป๋เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่ทราบ หรือท่านอาจารย์มีคนรู้จักอยู่ที่นี่?”
“ไปเถอะไปเถอะ ศิษย์น้อง”
“ดีเลย เราไปเที่ยวในเมืองกันดีกว่า ครั้งที่แล้วท่านอาจารย์กับเจ้าออกมาด้วยกันไม่พาข้าไป”
สือฮ่าวพาหลินไป๋ไปยังตัวเมือง
“พูดถึงเรื่องนั้น ศิษย์น้อง
เรื่องที่เจ้าไม่ได้พูดถึงคือ คู่หมั้นของเจ้าล่ะ? เหตุใดเจ้าถึงไม่ได้เอ่ยถึงนางเลย?
ครั้งที่แล้วที่เจ้ากลับบ้านไปคงสร้างความประหลาดใจให้กับนางสิไม่น้อยสินะ?”
สือฮ่าวถามด้วยความอิจฉา
“มันช่างน่าเศร้าเหลือเกิน ศิษย์น้องยังมีคู่หมั้น ส่วนข้าผู้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ถึงสิบแปดปีแล้ว ยังไม่เคยได้จับมือหญิงสาวเลย…”
“อย่าพูดถึงนางเลย ศิษย์พี่”
หลินไป๋ตอบอย่างเบาๆ “ข้าฝึกถึงขั้นที่จิตใจไร้สตรีแล้ว เมื่อดึงกระบี่ออกมาจะเป็นเทพเองแล้ว”
สือฮ่าวเห็นศิษย์น้องพูดออกมาอย่างร่าเริง แต่ในดวงตากลับเผยแววทุกข์ระทมสามส่วน เขาจึงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดวันนั้นเมื่อศิษย์น้องกลับมา บุคลิกภาพของเขาถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนั้น
หญิงสาว ช่างน่ากลัวจริงๆ!
โชคดีที่เขายังไม่ได้… ไม่รู้ว่าจะรู้สึกดีใจหรือควรขอบคุณดี…
ข้างนอกพระราชวัง ฮวาชิงหยูเดินไปเรื่อยๆก็พบว่ามีเงาคนตามมาเบื้องหลัง
“หรือว่าจะเป็นพวกตามราวี? กล้าหาญจริงๆ ที่มาจับตาดูข้า!”
บุรุษผู้นี้กล้ามาก!
“ใครอยู่ที่นั่น? ออกมา!”
ฮวาชิงหยูหันหลังตะโกน
เมื่อคำพูดของนางเพิ่งจบลง ชายหนุ่มรูปงามในชุดคลุมสีฟ้าครามเดินเข้ามา
เมื่อเห็นเขา ฮวาชิงหยูค่อยๆผ่อนคลายความระมัดระวัง ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาผู้นี้คงไม่ใช่พวกตามราวีที่นางพูดถึง
แต่นางก็ยังคงถามอย่างระมัดระวัง “ท่านคือผู้ใด เหตุใดถึงตามข้ามาตลอด?”
มือของนางวางอยู่ที่กระบี่เล่มเล็กที่ติดตัวอยู่ พร้อมที่จะออกมือได้ทันที
“เจ้าคือฮวาชิงหยู ใช่หรือไม่?”
เฟิงชิงหยางมองไปที่หญิงสาวแล้วถาม
“เขารู้ชื่อข้าได้อย่างไร?”
นางเป็นถึงองค์หญิงสามแห่งราชวงศ์ฉีหลิน น่าจะเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งแผ่นดิน แต่เพราะร่างกายพิเศษของนางไม่สามารถปลุกขึ้นได้ จึงไม่เคยปรากฏตัวต่อสาธารณะ
ผู้คนล้วนแต่รู้เพียงว่าในราชวงศ์มีองค์หญิงสามผู้ลึกลับแห่งราชวงศ์นี้ แต่ไม่มีผู้ใดทราบอะไรเกี่ยวกับนางมากไปกว่านั้น
“เหตุใดท่านถึงรู้ชื่อข้าได้ล่ะ?
แล้วท่านมีเรื่องอันใดหรือ?”
ฮวาชิงหยูขมวดคิ้วเล็กน้อยถาม
“ใต้แผ่นฟ้านี้ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าไม่รู้ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าไม่เข้าใจ”
“รู้ทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดที่ไม่รู้เหรอ?”
“พูดเกินจริงไปหรือไม่?”
ฮวาชิงหยูไม่รู้จะพูดอะไรดี คนผู้นี้คงจะไปสืบหาชื่อของนางมาจากที่ไหน
“การมาครั้งนี้ ข้านำโอกาสในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเจ้ามาให้ เพียงไม่รู้ว่าเจ้าจะสามารถไขว่คว้าโอกาสนี้ไว้ได้หรือไม่”
“เปลี่ยนแปลงโชคชะตา? ท่านกล่าวถึงสิ่งใด?”
ฮวาชิงหยูอยากฟังว่าคนผู้นี้จะทำอะไรอีก
“ก็ง่ายนิดเดียว แค่นับถือข้าเป็นอาจารย์ เข้าร่วมกับสำนักชิงหยุน ข้าจะรับรองว่าเจ้าจะก้าวหน้าตามที่ใจปรารถนา”
“โอ้! นี่แค่การรับสมัครคนเข้าร่วมสำนัก”
ฮวาชิงหยูคิดว่าคนผู้นี้จะทำอะไรมากกว่านี้ เสียเวลาตั้งนานก็แค่ เป็นการรับสมัครศิษย์เข้าสำนักเท่านั้นเอง ถ้ารู้แต่แรกก็คงไม่ต้องพูดเสียยืดยาวแบบนี้
“แล้วเหตุใดข้าต้องเข้าร่วมสำนักชิงหยุนของท่านเล่า?
สำนักชิงหยุนของท่านเทียบกับราชวงศ์ฉีหลินของข้าจะเป็นอย่างแล้วเป็นอย่างไร?”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง เฟิงชิงหยางยิ้มเบาๆก่อนจะกล่าวตอบ
“พลิกฝ่ามือก็ทำลายได้”
“ฮึ่ม! แล้วสำนักชิงหยุนของท่านเทียบกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะเป็นอย่างไร?”
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์? แค่พวกมดปลวกเท่านั้น สมควรจะถูกเหยียบย่ำ”
“โอ้! พูดจาหยิ่งยโสจริงๆ!”
นางสาบานว่า นี่คือสองประโยคที่หยิ่งยโสที่สุดที่นางเคยได้ยินตั้งแต่จำความได้
สามารถทำลายขุมอำนาจระดับจ้าวได้ด้วยการพลิกมือหรือ? เหยียบย่ำดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือ?
แต่ทว่าจิตวิญญาณในแหวนกลับเห็นด้วยกับคำพูดของเฟิงชิงหยาง ในช่วงเวลาที่นางยิ่งใหญ่ที่สุด พวกนี้ยังไม่คู่ควรที่จะช่วยถูรองเท้าของนางเลย
เห็นด้วยก็เห็นด้วย แต่นางก็ไม่คิดเลยว่า บุรุษผู้นี้ที่อยู่ในขอบเขตผู้ไร้มลทินขั้นต้นจะพูดเช่นนั้นได้
หรือว่าเขามีผู้สนับสนุนจากอำนาจใหญ่จากภาคกลาง?
“ข้าพูดถูกใช่หรือไม่ มหาจักรพรรดินีมู่ซุยเซียน?”
ก่อนที่ฮวาชิงหยูจะตอบกลับ ชายหนุ่มข้างหน้าก็พูดประโยคที่ทำให้นางงุนงงอีกครั้ง
“มหาจักรพรรดินีมู่ซุยเซียน? ท่านพูดถึงใคร?”
“เขากำลังพูดกับใครกัน?”
จิตวิญญาณในแหวนตกใจอย่างยิ่ง เขารู้ได้อย่างไร?!
หรือจะเป็นคนของมหาจักรพรรดิอู๋เฉินส่งมา?
ไม่สิ พวกเขาคิดว่าจิตวิญญาณของข้าแตกดับไปแล้ว คงหาข้าถึงที่นี่ไม่ได้
“แล้วบุคคลผู้นี้คือ…?”
“อยากรู้หรือ? หากปรารถนาจะรู้มากกว่านี้ ก็เข้าร่วมกับสำนักชิงหยุนของข้าก่อนเถิด สำนักของข้าก็ไม่มีหน้าที่ต้องมานั่งพูดพร่ำกับเจ้าในที่นี้หรอก”
ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ดีจริง!
แม้จิตวิญญาณของมหาจักรพรรดินีจะยังไม่สมบูรณ์ แต่ยังพอใช้ได้อยู่ ถือว่าหามาเป็นอาวุโสสายในของสำนักได้เลย จะได้มีอาวุโสหญิงในสำนักเสียที
“หยูเอ๋อร์ ตอบรับเขาเถิด”
“ท่านผู้อาวุโส…”
มู่ซุยเซียนส่งเสียงผ่านจิตสำนึกให้ฮวาชิงหยู
ไม่ต้องสนใจว่าชายคนนี้จะเป็นอย่างไร การที่เขารู้ถึงตัวตนของนาง ย่อมไม่ธรรมดา
“ดี ข้าจะเข้าร่วมสำนักชิงหยุน”
“ฮวาชิงหยูคารวะท่านอาจารย์”
ผู้อาวุโสช่วยชีวิตนางมากมาย ย่อมไม่คิดร้ายต่อนางแน่นอน