ตอนที่ 1670 ชายลึกลับ (ฟรี)
ตอนที่ 1670 ชายลึกลับ
ไม่ว่าศิษย์ของศาลาปีศาจลอยฟ้าจะคาดเดาอะไร พวกเขาไม่เคยที่จะคาดเดาถึงเจียงอาเฉียน เจียงอาเฉียนเสียชีวิตเพื่อที่จะช่วยสีวู่หยา และสีวู่หยาก็เสียชีวิตเพื่อที่จะช่วยเจียงอาเฉียน หลายปีผ่านไป ตอนนี้เจียงอาเฉียนกลับยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าสีวู่หยาอยู่ที่ไหน
หากเจียงอาเฉียนยังมีชีวิตอยู่ บางทีสีวู่หยาก็อาจจะยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน
‘หากเป็นแบบนี้จริงๆ ศิษย์น้องเจ็ด...’ ยู่เฉิงไห่ที่มือสั่นเล็กน้อยเมื่อคิดแบบนั้นต้องสะกดกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การที่เขาจะต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลยนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เขาต้องสะกดกลั้นอารมณ์และเผชิญหน้ากับเรื่องราวตรงหน้าอย่างใจเย็น
เหมือนกับยู่เฉิงไห่ ศิษย์คนอื่นๆ จากศาลาปีศาจลอยฟ้าต่างก็รู้ว่าควรจะต้องทำยังไง พวกเขาทั้งหมดแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย
ตอนนี้ผู้ชมมากมายเริ่มแสดงความคิดเห็น
“พวกเขาดูไม่เหมือนกัน”
“เซียนเต๋าผู้ยิ่งใหญ่เยว่ ท่านแน่ใจแล้วสินะว่าท่านได้ภาพเหมือนที่ถูกต้อง?”
“มันแตกต่างกันมาก! เขาใช่สีวู่หยารึเปล่า?”
ทุกคนที่ไม่ได้ตาบอดสามารถบอกได้ว่าคนในภาพเหมือนนั้นแตกต่างจากฉีเชิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ไป๋เจาจุ้ย หลิงเหว่ยหยาง และฉือเปี่ยวหนู ยืนยันว่าคนตรงหน้าพวกเขานั้นไม่ได้ปลอมตัวมา
“เยว่หยางจื่อ แม่ทัพฉีเชิงดูไม่เหมือนกับคนในภาพเหมือน ท่านจะอธิบายยังไง?” ไป๋เจาจุ้ยที่แววตาเป็นประกายปรับสีหน้าก่อนจะกล่าวอย่างเสียงดัง
ในเมื่อไป๋เจาจุ้ยพูดออกมาแล้ว ทุกคนจึงได้มองดูเยว่หยางจื่อ พวกเขารอคอยคำอธิบายจากเขา
“คนในภาพเหมือนนั้นดูไม่สง่างามเหมือนกับข้า พวกเราจะเป็นคนเดียวกันได้ยังไง?” ฉีเชิงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
เยว่หยางจื่อกับฮัวเจิงหง: “...”
บางคนรู้สึกขยะแขยงเมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้
‘การที่ท่านจะต้องโอ้อวดนั้นไม่เป็นไร แต่นี่มันเป็นเหตุผลที่เพียงพองั้นเหรอ? ที่ท่านจะต้องสวมหน้ากาก?!’
“เยว่หยางจื่อ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ฮัวเจิงหงที่มองดูฉีเชิงขมวดคิ้วเล็กน้อยถาม ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไร เห็นได้ชัดว่าฉีเชิงนั้นดูไม่เหมือนกับคนในภาพเหมือน ข้อเท็จจริงนั้นสำคัญกว่าคำพูด
“ต่อให้เขาจะไม่ใช่สีวู่หยา แต่สิ่งที่ข้าพูดก็ยังคงเป็นเรื่องจริง! พวกเขามาที่ดินแดนแห่งความว่างเปล่าก็เพราะว่าพวกเขามีแผนการใหญ่!” เยว่หยางจื่อที่เซถอยหลังไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อกล่าวอย่างกะทันหันเมื่อตั้งสติได้
“แผนการอะไรกัน? บอกข้ามาสิ” ฉีเชิงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
“พวกท่านทั้งหมดอยากจะเข้าไปในแกนกลางของเสาหลักแห่งหายนะก็เพื่อที่จะทำความเข้าใจเต๋าที่ยิ่งใหญ่ เมื่อกลายเป็นสิ่งมีชีวิตสูงสุดแล้ว พวกท่านก็คิดที่จะโค่นล้มสิบวิหาร! เยว่ฉีถูกปิศาจเฒ่าศาลาปีศาจลอยฟ้าสังหาร!” เยว่หยางจื่อกล่าว
“ทุกท่าน พวกท่านมาที่นี่ก็เพราะว่าพวกท่านอยากจะเข้าไปในแกนกลางของเสาหลักไม่ใช่เหรอ?” ฉีเชิงที่กางแขนออกมองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยถาม
“แน่นอน! คนที่ไม่อยากจะเป็นสิ่งมีชีวิตสูงสุดก็คงจะมีแค่พวกโง่เท่านั้นแหละ!” ใครบางคนตะโกน
“ใครบ้าง? ที่ไม่อยากจะเข้าไปในแกนกลางของเสาหลัก?”
ทุกคนต่างก็แสดงความคิดเห็น
“แบบนี้แสดงว่าทุกคนมีแผนการรึเปล่า?” ฉีเชิงที่ยักไหล่และมองดูเยว่หยางจื่อกล่าว
เยว่หยางจื่อ: “...”
เยว่หยางจื่อไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรผิด?
“นอกจากนั้นข้าก็ยังไม่ใช่คนจากศาลาปีศาจลอยฟ้า และการตายของเยว่ฉีไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า” ฉีเชิงกล่าวต่อ
“เขาเป็นถึงศิษย์คนแรกของศาลาปีศาจลอยฟ้า เขาก็น่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น!” เยว่หยางจื่อที่ตกตะลึงชั่วครู่ชี้นิ้วยู่เฉิงไห่หลังจากที่ตั้งสติได้
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และการตายของเยว่ฉีก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า” ยู่เฉิงไห่กล่าวอย่างชัดเจน
“อ้อ! การที่เจ้าจะบอกว่าไม่ได้เกี่ยวก็คงจะไม่ได้เกี่ยวข้องสินะ?” เยว่หยางจื่อกล่าวอย่างเย้ยหยัน
“ข้าสงสัยว่าเจ้าคงจะไม่มีรูตูด” ฉีเชิงที่ส่ายหัวกล่าว
“???”
“นี่เจ้าด่าข้างั้นเหรอ?” เยว่หยางจื่อกล่าวอย่างไม่พอใจ
“มีอะไรรึเปล่า? ข้าบอกว่าเจ้าไม่มีรูตูด ในเมื่อข้าพูดแบบนั้นแล้ว มันก็ต้องเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?” ฉีเชิงกล่าวอย่างใสซื่อ
ทุกคนหัวเราะ
ไม่ว่าจะยังไง ความหมายนั้นชัดเจน ทุกคนสามารถพูดอะไรก็ได้ ตราบใดที่ไม่มีหลักฐาน
“การที่เจ้าพูดว่ามีแผนการ แล้วมันจะมีแผนการได้ยังไง? พวกเจ้าคิดว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์และสิบวิหารเป็นอะไรงั้นเหรอ? ยังไงซะข้า ฉีเชิง ก็ยังจะทำอย่างเต็มที่เกี่ยวกับดินแดนแห่งความว่างเปล่า ข้าไม่เคยทำอะไรที่ทำให้ดินแดนแห่งความว่างเปล่าต้องผิดหวัง” ฉีเชิงกล่าวอย่างชัดเจน
“หลายปีก่อน เจ้าวิหารเคยมาที่มหาสมุทรไม่มีที่สิ้นสุดสามครั้งเพื่อที่จะพบกับจักรพรรดิขาว ตอนนั้นเขาบอกว่าเขาอยากจะรับคนที่มีความสามารถ การที่ข้าจะต้องมาที่ดินแดนแห่งความว่างเปล่าและถูกดูหมิ่นนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย บางทีข้าควรจะต้องอยู่ที่ดินแดนที่สาบสูญต่อไป”
“ฉีเชิง หากเจ้าอยากจะกลับไป ประตูแห่งเกาะที่สาบสูญจะเปิดต้อนรับเจ้าเสมอ” ไป๋เจาจุ้ยกล่าวเสริม
เยว่หยางจื่อ: “...”
คำพูดของฉีเชิงกับไป๋เจาจุ้ยนั่นทำให้ผู้คนมากมายประทับใจ
ทุกคน รวมไปถึงคนจากสิบวิหาร เริ่มรู้สึกว่าเยว่หยางจื่อเป็นคนทรยศ
“ท่านเป็นถึงรักษาการณ์ผู้นำแห่งโถงผู้ควบคุมสัตว์ร้าย ท่านน่าจะรู้ว่าเยว่ฉีออกจากดินแดนแห่งความว่างเปล่าไปตั้งแต่เมื่อไหร่? เท่าที่ข้ารู้ เขาได้พาวิหคเซียนแห่งวิหารซีเหอไปด้วยก่อนที่เขาจะจากไป” ฉีเชิงที่ยังไม่จบกล่าว
“จริง เยว่ฉีพานวิหคเซียนไป เรื่องนี้ได้รับการตรวจสอบแล้ว พวกเขาทั้งคู่ถูกหลิงกวง เทพเพลิงสังหาร วิหารศักดิ์สิทธิ์รู้ว่าภูเขานั่นถูกเพลิงเทพเผา” หลานซีเหอกล่าว
ตอนนี้หลานซีเหอได้สนับสนุนคำพูดของฉีเชิง ทุกคนยิ่งเชื่อว่าเยว่หยางจื่อใส่ร้ายฉีเชิง
เยว่หยางจื่อพูดไม่ออก เขารู้สึกอึดอัดมาก
“ท่านฮัว พวกเราเป็นสหายร่วมงาน แต่ท่านพาเขามาที่นี่ก็เพราะท่านสงสัยข้า” ฉีเชิงที่ฉวยโอกาสกล่าว
“เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปได้ยังไงกัน? ข้ารู้ว่าเยว่หยางจื่อคิดไม่ดี ข้าพาเขามาที่นี่ก็เพื่อที่จะดูว่าเขาคิดจะทำอะไร” ฮัวเจิงหงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูฝืนๆ
“เจ้ามัน!” เยว่หยางจื่อรู้สึกอึดอัด
“เยว่หยางจื่อ เจ้ารู้รึเปล่าว่าเจ้าทำผิดอะไร?”
“เขาต่างหาก? ที่เป็นสีวู่หยา!” เยว่หยางจื่อที่ตกใจและถอยห่างออกไปรู้สึกเหมือนกับว่าทุกคนกำลังจ้องมองเขา เขามองไปรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง เขามองดูทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินที่ยืนอยู่อย่างเงียบๆ ก่อนจะตะโกน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงรึเปล่า เยว่หยางจื่อก็ยังคิดว่าเขาต้องชี้นิ้วใส่ใครสักคน ยังไงซะสถานการณ์ในตอนนี้ก็คงไม่แย่ไปกว่านี้อีกแล้ว
“ท่านยังจะคิดดื้อดึงอยู่อีกงั้นเหรอ? ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะเป็นแบบนี้?” ฉีเชิงที่ขมวดคิ้วกล่าว
“ทำไมทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินธรรมดาๆ ถึงได้มีพลังฝึกฝนเช่นนี้? หากข้าเดาไม่ผิด เขาเป็นสิ่งมีชีวิตสูงสุดแน่!” เยว่หยางจื่อกล่าว
“ทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินเป็นถึงสิ่งมีชีวิตสูงสุดงั้นเหรอ?”
ทุกคน รวมไปถึงจักรพรรดิทั้งสามและสิบวิหารต่างก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างที่จะแปลก การที่ยอดฝีมือคนหนึ่งจะยอมเป็นทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะเข้าใจ
“สีวู่หยา! เจ้าปิดบังได้แนบเนียนจริงๆ! ข้าเกือบจะถูกเจ้าหลอกแล้ว!” เยว่หยางจื่อกล่าวอย่างเสียงดัง
ตอนนี้เยว่หยางจื่อดูไม่เหมือนกับรักษาการณ์ผู้นำแห่งโถงผู้ควบคุมสัตว์ร้ายอีกต่อไปแล้ว
“ท่านฮัว ท่านจะไม่พาเขาคนนี้ไปลงโทษงั้นเหรอ?” ฉีเชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“เขามีความผิด! เขามีความผิด! เขาต้องเป็นสีวู่หยาแน่!” เยว่หยางจื่อยังคงตะโกน
ทุกคนงุนงงอีกครั้ง
“ความจริงชัดเจนอยู่แล้ว ทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงิน พาเขาไป” ฉีเชิงกล่าว
ทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินพยักหน้าเล็กน้อย
ฟิ้ว!
ทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินพุ่งเข้าหาเยว่หยางจื่อเหมือนกับดาวตก ตอนนี้ความเร็วและพลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นสามเท่า
ตูม!
ฮัวเจิงหงที่ปลดปล่อยดอกบัวสีแดงออกมาในขณะที่ทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินกำลังจะมาถึงตัวเยว่หยางจื่อ
ดอกบัวสีแดงปรากฏขึ้นระหว่างทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินกับเยว่หยางจื่อ
“ข้าจะเป็นคนลงโทษเขาเอง ส่วนเจ้า เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมาซะ!” ฮัวเจิงหงที่ตกใจในพลังของทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินกล่าว
ฮัวเจิงหงที่ยืนอยู่บนดอกบัวสิบสองกลีบปลดปล่อยพลังงานออกมาโจมตีทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงิน
ตูม!
มิติสั่นสะเทือน พื้นดินสั่นสะเทือน เสาหลักแห่งหายนะแห่งดินแดนหุบเหวอันยิ่งใหญ่ส่งเสียงดังเอี๊ยดๆ
ทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินที่พลิกตัวกลางอากาก่อนจะศยื่นมือออกไป เปลวเพลิงปรากฏขึ้นรอบๆ มือของเขาก่อนจะหายไป เขาหยุดหลังจากที่บินไปได้ 300 ฟุต
ทุกอย่างเงียบงันราวกับสุสาน
ต่อให้ทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินจะเป็นถึงสิ่งมีชีวิตสูงสุดก็จริง แต่การที่เขาจะสามารถป้องกันการโจมตีของฮัวเจิงหงได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ตอนนี้สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงิน
แคร็ก!
หมวกของทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินแตก
ถึงแม้ว่าพลังฝึกฝนของทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินจะน่าทึ่งมากแค่ไหน แต่มันก็ยังคงด้อยกว่าฮัวเจิงหงเล็กน้อย
พลังของฮัวเจิงหงนั้นเทียบได้กับจุ้ยฉาน การโจมตีของนางมีไว้เพื่อที่จะบีบบังคับให้ทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินเปิดเผยใบหน้า นางไม่ได้มีเจตนาที่จะฆ่า
“???” ดวงตาของทุกคนจับจ้องไปที่ทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินเมื่อหมวกแตก
ใบหน้าของทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินนั้นเหี่ยวย่น ผิวหนังของเขาดูเหมือนกับเปลือกไม้ เขามีดวงตาที่ลึกล้ำ ผมของเขานั้นยุ่งเหยิง ไม่ว่าจะมองยังไง เขาก็ไม่ใช่ชายนักปราชญ์ในภาพเหมือน ชายคนนี้เป็นเพียงแค่ชายชราที่ผ่านโลกมามากเท่านั้น
“นกยักษ์เขียว!” เยว่หยางจื่อที่สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินกระโดดขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะตะโกน
“เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใส่ร้ายแม่ทัพฉีเชิง?!” ฮัวเจิงหงที่กล่าวอย่างเย็นชาพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า ดอกบัวสีแดงผลิบาน ไม่นานนักท้องฟ้าก็ยังคงเต็มไปด้วยดอกบัวสีแดงมากมาย
ทุกคนมองดูดอกบัวสีแดงมากมายที่กำลังล้อมรอบเยว่หยางจื่อ
“ร่วงลงไปซะ!”
ตูม!
ดอกบัวสีแดงมากมายที่เรียงตัวกันเป็นแถวเหมือนกับมังกรโจมตีหน้าอกของเยว่หยางจื่อ เขากระอักเลือด
ตูม!
ฮัวเจิงหงโจมตีด้วยฝ่ามือ นางจัดการเยว่หยางจื่อ
เยว่หยางจื่อที่ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดสลบไป ผู้ฝึกยุทธสองคนรีบพุ่งเข้ามาหาและมัดร่างของเขา
“พาเขาไป” ฮัวเจิงหงกล่าว
“ครับ”
“แม่ทัพฉีเชิง วันนี้มีหลายเรื่องที่เข้าใจผิดกัน ข้าต้องขอโทษท่านด้วย” ฮัวเจิงหงที่หันไปหาฉีเชิงกับทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินกำหมัดคำนับและกล่าว
“เรื่องเล็กน้อย ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ ท่านฮัว” ฉีเชิงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม เขาดูใจกว้างมาก
“ข้าไม่คิดเลยว่าโถงถูเว่ยจะมียอดฝีมือแบบนี้อยู่ด้วย ยินดีที่ได้รู้จัก” ฮัวเจิงหงที่มองดูทหารองครักษ์ชุดเกราะสีเงินกล่าว
“เขาเป็นสหายที่ดีที่สุดของข้าในดินแดนดอกบัวทองคำ ในอดีตพวกเราต่างก็ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน พวกเราไม่เพียงแต่จะกินข้าวด้วยกันเท่านั้น แต่พวกเรายังคงร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาโดยตลอด เขาเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว ดังนั้นจึงได้ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นถึงอัจฉริยะ 100 ปีก่อน เขาได้ไปที่เสาหลักแห่งหายนะจั่วเอ๋อก่อนจะได้รับพลังจากดินแดนแห่งความว่างเปล่า หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตสูงสุด ท่านฮัว พอใจกับคำอธิบายนี้รึเปล่า?” ฉีเชิงกล่าว
“แม่ทัพฉีเชิง ท่านคงจะเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าไม่ได้สงสัยในตัวท่านหรอก ที่มาของวีรบุรุษนั้นไม่ได้สำคัญ ไม่ว่าจะยังไง พวกเราก็ยังคงต้องทำงานเพื่อที่จะรักษาสมดุลของโลกเอาไว้ วันนี้เรื่องนี้คงจะต้องจบลงเพียงเท่านี้ ข้าคงต้องขอตัวก่อน” ฮัวเจิงหงกล่าว
“พวกท่านคิดว่าจะไปๆ มาๆ ได้ง่ายๆ แบบนี้งั้นเหรอ? บนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก” เสียงหนึ่งดังมาจากท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ ในขณะที่ฮัวเจิงหงกำลังจะจากไป
รถม้าลอยฟ้าคันหนึ่งบินเข้ามาทางทิศตะวันตกอย่างช้าๆ
ผู้ฝึกยุทธสองคนที่ตอนนี้ออร่าไม่ธรรมดายืนอยู่เคียงข้างกันบนดาดฟ้าของรถม้า พวกเขากำลังมองดูดินแดนเมฆา