(อ่านฟรีชั่วคราว) บทที่ 1312 สองยอดฝีมือหยวนหยาง!
ตูม!
ซิงเทียนพุ่งทะยานออกมาอีกครั้ง พร้อมกับดึงกระดูกขนาดใหญ่อันขาวโพลนออกมาจากร่าง ราวกับกระบองขนาดยักษ์ ปักลงบนพื้นด้วยแรงมหาศาล กระแทกไปทางน่าหลานมู่หงอย่างดุดัน
ด้วยความที่รู้ถึงพลังมหาศาลของซิงเทียน น่าหลานมู่หงจึงไม่กล้ารับมือโดยตรง นางสะบัดมือปล่อยพลังวิญญาณออกมาห่อหุ้มไว้ จากนั้นใช้แรงผลักของมันดึงระยะห่างออกมาอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้นนางเหลือบไปเห็นเหวินผิงที่กำลังร่ายกระบี่
ดอกบัวเขียวหกกลีบดอกพุ่งวนไปทั่วฟ้า ราวกับฝูงผึ้งที่เคลื่อนไหวด้วยจิตสังหารอันน่าสะพรึง จากนั้นรวมตัวกันเป็นเส้นตรงพุ่งเข้าใส่นาง
ภายในกลีบบัวเขียวเหล่านั้นมีบางสิ่งแฝงอยู่
สิ่งนั้นคือกระบี่ กระบี่ที่เพียงสัมผัสถึงเจตจำนงอันกว้างใหญ่ภายในก็ทำให้ผู้สัมผัสตกตะลึงจนยืนไม่ติด
“ป่าหมื่นสรรพสิ่ง” น่าหลานมู่หงกล่าวขึ้น พลางร่ายพลังหยวนหยางและพลังวิญญาณเข้าสู่ลูกแก้วในมือพร้อมกันอย่างรุนแรง
วิชา "ป่าหมื่นสรรพสิ่ง" เป็นเคล็ดวิชาลมปราณระดับสวรรค์ชั้นสูงที่ถือเป็นไพ่ตายของนาง ซึ่งสร้างขึ้นโดยยอดฝีมือระดับหยวนหยาง นางบ่มเพาะมันมานานนับร้อยปีจนเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงสมบูรณ์
สำหรับลูกแก้วในมือนั้น คือสมบัติเก่าแก่ของยอดฝีมือหยวนหยาง ซึ่งสร้างขึ้นโดยช่างฝีมือแผนภาพวังวนเจ็ดเกลียววังวน สามารถเสริมพลังของป่าหมื่นสรรพสิ่งให้เพิ่มเป็นสองเท่า
ในระดับต่ำกว่าหยวนหยาง การพบเจอสมบัตินี้ไม่ต่างอะไรจากความตาย
ในอดีตในการต่อสู้ที่เมืองหลวงของอาณาจักรโย่ว หากสวรรค์ไร้ใจรับมือวิชานี้ อาการบาดเจ็บของกายาวิญญาณคงไม่ใช่เพียงหนึ่งส่วนที่ถูกทำลายอย่างง่ายดายเช่นนั้น
หวืด...หวืด....
ลูกแก้วสั่นสะเทือนรุนแรง ปลดปล่อยคลื่นพลังออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อสกัดการโจมตีของซิงเทียนและการพุ่งทะยานของกลีบบัวเขียวหกกลีบ แต่มันไม่อาจหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของซิงเทียนและเหวินผิงที่ค่อย ๆ เข้ามาใกล้
เมื่อซิงเทียนอยู่ห่างจากน่าหลานมู่หงเพียงร้อยจั้ง ลูกแก้วพลันปลดปล่อยแสงสีเขียวสว่างจ้าออกมาจนทุกสิ่งรอบตัวกลายเป็น “ป่า”
ในป่าแห่งนี้ น่าหลานมู่หงคือผู้ปกครอง
ลำแสงสีเขียวพุ่งขึ้นจากพื้นปกคลุมไปทั่วสำนักอมตะ จากนั้นเริ่มเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ปัดกวาดทุกสิ่งที่อยู่ภายในป่าให้แตกสลาย
เบื้องหลังของน่าหลานมู่หงปรากฏเงาหญิงสาวสีเขียวกำลังขับขานบทเพลงด้วยน้ำเสียงกังวาน
พร้อมกับการขับขาน ลำแสงสีเขียวทั้งหมดดูราวกับมีดวงตา มันพุ่งเข้าใส่เหวินผิงและซิงเทียนอย่างบ้าคลั่ง ทุกครั้งที่มันสัมผัสสิ่งใด ดอกไม้สีเขียวจะบานสะพรั่งออกมา
ดอกไม้แต่ละดอกแสดงพลังราวกับหมัดของยอดฝีมือครึ่งก้าวสู่หยวนหยาง และที่สำคัญคือไม่มีที่ว่างให้หลบหนี เพราะแต่ละลำแสงห่างกันเพียงหนึ่งฉื่อเท่านั้น
ตูม...ตูม....ตูม....
ลำแสงสีเขียวฟาดลงอย่างบ้าคลั่ง ทุกจุดในสำนักอมตะถูกกระแทกจนสั่นสะเทือน เหล่าสมดชิกสำนักอมตะที่ซ่อนตัวอยู่ในอาคารต่างพากันตกใจจนใจสั่น
“นี่คือพลังของอันดับหนึ่งแห่งรายนามสวรรค์หรือ?” เทียนเสียนตกตะลึงจนแทบพูดไม่ออก
เหล่าศิษย์ใหม่ในสำนักเองก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว หากไม่ใช่เพราะผู้เฒ่าและศิษย์อาวุโสเช่นหยางเล่อเล่อยังคงยืนอย่างมั่นคงในอาคาร พวกเขาคงหนีไปแล้ว
แม้แต่เหวินผิงที่เฝ้ามองฉากนี้ยังอดที่จะถอนหายใจไม่ได้ หากเป็นยอดฝีมือครึ่งก้าวหยวนหยางธรรมดาโดยไม่มีสมบัติช่วยชีวิต คงต้องตายอย่างแน่นอน
“น่าเสียดาย เจ้าให้ข้ามีเวลาพัฒนา” เหวินผิงกล่าว แม้ไม่มีเจตจำนงกระบี่ชิงเหลียนคุ้มกัน กายาบัวเขียวสวรรค์เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้เขารอดพ้นจากการโจมตีทั้งหมดนี้อย่างไม่ระคายเคือง
สำหรับซิงเทียน ยิ่งไร้เทียมทานเข้าไปใหญ่ มันเพิกเฉยต่อการโจมตีทุกอย่าง
ลำแสงสีเขียวและดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ไม่สามารถหยุดยั้งการเคลื่อนที่ของมันได้เลย เพราะพลังแห่งความตายซ่อมแซมบาดแผลของมันได้ในทันที
ซิงเทียนยังคงไล่ล่าตีใส่น่าหลานมู่หง ราวกับทุกสิ่งรอบตัวเป็นเพียงภาพลวงตา ยิ่งตี ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ซิงเทียนไล่ล่าอยู่ด้านหน้า ขณะที่กระบี่ชิงเหลียนปกป้องอยู่ด้านหลัง แม้อยู่ในเคล็ดวิชาลมปราณของตนเอง แต่น่าหลานมู่หงกลับทำได้เพียงหลบหนี
“ทำไมกัน?” น่าหลานมู่หงถามด้วยความโกรธ “ช่องเขาเฉาเทียนปีหนึ่งผลิตพลังหยวนหยางได้เพียงหนึ่งสาย”
ในสายตาของนาง เหวินผิงและซิงเทียนร่วมมือกันเช่นนี้ ย่อมไร้เทียมทานในระดับต่ำกว่าขอบเขตหยวนหยาง ไม่มีผู้ใดในโลกหยวนหยางที่เว้นแต่ยอดฝีมือระดับหยวนหยางจะสามารถหยุดยั้งพวกเขาได้
เหวินผิงไม่ได้ตั้งใจสนใจคำพูดเหล่านั้น แต่ทันใดนั้นเอง น่าหลานมู่หงที่หลบเลี่ยงไม่ทันก็ถูกกระบองกระดูกของซิงเทียนฟาดเข้าอย่างจัง ร่างของนางกระเด็นตกลงไปยังสำนักอมตะขุนเขา ทำให้เหวินผิงเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“เจ้าคิดว่ายังมีโอกาสทะลวงสู่ระดับหยวนหยางอีกหรือ?”
ฉัวะ!
กระบี่ชิงเหลียนฟาดลงมาดั่งสายฟ้าฟาด น่าหลานมู่หงที่เพิ่งโดนกระบองกระดูกของซิงเทียนเล่นงานไปหมาด ๆ ยังไม่ทันตั้งตัวก็ถูกกระบี่ชิงเหลียนจ่อเข้าสู่กลางอกในทันที
“กายาวิญญาณของข้า...” น่าหลานมู่หงรีบเร่งพลังเพื่อปกป้องตนเอง พร้อมทั้งยื่นมือหมายจะคว้ากระบี่ชิงเหลียน แต่ไม่ทันไร กระบี่ชิงเหลียนก็ทะลุผ่านอกนางไปแล้ว
กายาวิญญาณของนางเปราะบางดุจเต้าหู้เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่ชิงเหลียน
พรวด!
ในขณะที่ความโกรธและความตกตะลึงยังคงแผ่กระจายไปทั่ว น่าหลานมู่หงรู้สึกได้ถึงเลือดสด ๆ ที่ทะลักออกมาท่วมกาย แต่นางไม่อาจใส่ใจสิ่งเหล่านั้นได้ เพราะกระบองกระดูกของซิงเทียนกำลังพุ่งเข้ามาอีกครั้ง
ตูม!
ครั้งนี้น่าหลานมู่หงหลบได้ แต่ไม่พ้นเสียทีเดียว แรงกระแทกจากกระบองกระดูกที่ฟาดลงข้างกายทำให้นางกระเด็นลอยขึ้นสู่อากาศ ร่างกายเสียการควบคุมชั่วครู่ แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ แต่กระบี่ชิงเหลียนก็กลับมาจ่อที่อกของนางอีกครั้ง
“ไม่!”
พรวด!
กระบี่ชิงเหลียนแทงทะลุอกของนางอีกครั้ง น่าหลานมู่หงกัดฟันฝืนความเจ็บปวด พลางหยิบสมบัติช่วยชีวิตออกมาจากแหวนเก็บของ
แต่...
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เจ้าคิดว่าเย่เยว่พวกนั้นตายได้อย่างไร? ใครบ้างจะไม่มีสมบัติช่วยชีวิต?” เหวินผิงพูดพลางใช้จิตสั่งการ กระบี่ชิงเหลียนนับร้อยเล่มพุ่งเข้าโจมตีน่าหลานมู่หงจนจมอยู่ในหมู่กระบี่
น่าหลานมู่หงในตอนนี้ตกใจจนขวัญกระเจิง สมบัติช่วยชีวิตไม่มีผลใด ๆ
กำแพงมิติของสำนักอมตะก็ไม่อาจทำลายได้
จะพุ่งออกไปข้างนอก?
นางสัมผัสได้ว่าค่ายกลของสำนักกำลังล้อมรอบอยู่ทุกทิศทาง ในตอนนี้ดูเหมือนว่านางไม่มีหนทางหลบหนีอีกแล้ว
เมื่อเผชิญหน้ากับเหวินผิงและซิงเทียนที่ร่วมมือกัน นางไม่มีแม้แต่โอกาสจะตอบโต้ หากเป็นเพียงคนใดคนหนึ่ง นางยังอาจจะสู้ได้และมีโอกาสพลิกสถานการณ์ แต่ตอนนี้...
“ทำไมกัน?” น่าหลานมู่หงตะโกนด้วยความโกรธ ความไม่พอใจ และความเกลียดชังในน้ำเสียงต่อเหวินผิง
เหวินผิงไม่ได้สนใจคำพูดของนาง เขาเตรียมจะปลิดชีพน่าหลานมู่หงโดยไม่ลังเล พลางใช้จิตสั่งให้ซิงเทียนชาร์จพลังในกระบองกระดูก พลังแห่งความตายหลั่งไหลออกมาจากบัวเขียวปรโลกสู่กระบองอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่น่าหลานมู่หงยังคงกรีดร้อง น้ำเสียงของนางแฝงด้วยความบ้าคลั่ง
“ทำไม? ทำไมกัน?!”
หลังจากเสียงกรีดร้องเงียบลง แสงสีเขียวที่เคลื่อนไหวรุนแรงก็เริ่มช้าลง เงาสีเขียวที่อยู่เบื้องหลังนางค่อย ๆ เลือนหายไปจนสิ้น
“หืม?”
เหวินผิงหยุดชะงักไปชั่วครู่
เพราะเขารู้สึกว่ากระบี่ชิงเหลียนถูกขัดขวาง
เมื่อใช้พลังจิตสำรวจดู ก็พบว่าน่าหลานมู่หงได้เข้าไปหลบอยู่ในวัตถุรูปทรงพีระมิดที่สูงสองคนยืนซ้อนกัน
เหวินผิงลองฟาดกระบี่ชิงเหลียนใส่หลายครั้ง จากนั้นจึงสั่งให้ซิงเทียนโจมตีด้วยพลังเต็มกำลังที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่กล้ารับ
ตูม!
เสียงระเบิดดังก้องกังวาน แต่พีระมิดนั้นยังคงไม่ไหวติง
ทันใดนั้น น่าหลานมู่หงในพีระมิดตะโกนด่าทอเหวินผิงด้วยความแค้นเคือง “หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตหยวนหยางได้! ด้วยสมบัติล้ำค่านี้ ข้าสามารถเข้าสู่สมบัติของช่องเขาเฉาเทียนและครอบครองพลังหยวนหยางได้สำเร็จ! ทุกอย่างพังพินาศเพราะเจ้า!”
“หืม? สมบัติของช่องเขาเฉาเทียน นี่คือเหตุผลที่สวรรค์ไร้ใจยอมเข้าร่วมกับหอปกฟ้าอย่างนั้นหรือ?” เหวินผิงพูดพร้อมกับเก็บกระบี่ชิงเหลียนหลังจากลองโจมตีอีกไม่กี่ครั้ง
น่าหลานมู่หงไม่ได้ตอบคำถาม แต่ยังคงมองเหวินผิงด้วยสายตาอาฆาต พร้อมกับกล่าวเตือนว่า “ด้วยสมบัตินี้ เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ สมบัติมหัศจรรย์ของขอบเขตหยวนหยาง มีเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตหยวนหยางเท่านั้นที่จะสามารถทำลายได้ หากข้ากลับไปไม่ได้ภายในสามวัน สวรรค์ไร้ใจจะปิดค่ายกลซ่อนเร้นของช่องเขาเฉาเทียน!”
เมื่อกล่าวจบ น่าหลานมู่หงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอาฆาตแค้น
“ข้าอาจจะเข้าสู่ขอบเขตหยวนหยางไม่ได้ แต่ถึงเวลานั้น พวกเจ้าก็ต้องตายทั้งหมด!”
“ทุบต่อไป” เหวินผิงกล่าวอย่างเบื่อหน่าย สั่งให้ซิงเทียนเริ่มทุบอย่างหนักหน่วงเพื่อดูว่าพอจะทุบแตกได้หรือไม่ หากทุบไม่ได้ก็เลิกทุบ แล้วจะขนสมบัตินี้ไปขังไว้ในห้องแห่งหนึ่งที่ห้องโถงหลัก จากนั้นรอจนเขาทะลวงสู่ขอบเขตหยวนหยางสำเร็จค่อยฆ่าทิ้ง
ไม่นานนัก
ตามที่คาดไว้ว่าทุบไม่แตก
เหวินผิงสั่งให้ซิงเทียนหยุด “ยกมันขึ้นมาแล้วตามข้าไป”
หลังจากพูดจบ เหวินผิงก็พุ่งตรงไปยังวิหารศิลปะวังวน
ซิงเทียนยกสมบัติขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วตามติดไปทันที
เมื่อถึงหน้าวิหารศิลปะวังวน เหวินผิงสั่งให้ซิงเทียนวางสมบัตินั้นลงตรงหน้าจ้าวแห่งการพิทักษ์ทั้งสองคน จากนั้นเขากล่าวถามว่า “ประหลาดใจหรือไม่?”
ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น น่าหลานมู่หงถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความตกใจ
นางสามารถใช้พลังจิตสำรวจไปยังผู้เฒ่าทั้งสองตรงหน้าได้ และเมื่อสำรวจไปยังจ้าวแห่งการพิทักษ์ทั้งสองคน นางแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่สัมผัสได้
“เป็นไปไม่ได้?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?”
“ทำไมกัน?”
“สองยอดฝีมือขอบเขตหยวนหยาง!”
นางไม่สามารถสัมผัสถึงระดับขอบเขตของผู้เฒ่าทั้งสองได้ แต่เพราะเช่นนั้นเอง นางจึงมั่นใจว่าทั้งสองคนนี้คือยอดฝีมือขอบเขตหยวนหยาง เพราะในระดับต่ำกว่าขอบเขตหยวนหยาง ไม่มีทางหลบเลี่ยงการตรวจจับพลังจิตของนางได้
เหวินผิงถามอีกครั้ง “คิดหรือยังว่าจะตายแบบไหนดี?”
น่าหลานมู่หงกล่าวด้วยความโกรธปนหวาดกลัว “ทำไม? สำนักอมตะมีสองยอดฝีมือขอบเขตหยวนหยางคอยปกปักรักษา แล้วทำไมยังต้องมายุ่งกับช่องเขาเฉาเทียน…”
สองยอดฝีมือขอบเขตหยวนหยาง!
หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรก ข้าคงหนีไปไกลแล้ว
ทำไมเจ้าไม่บอกก่อนหน้านี้เล่า!
เหวินผิงยิ้มเบา ๆ พร้อมกล่าวถาม “อยากมีชีวิตรอด หรืออยากตาย?”
“ข้าอยากรอด! ข้าอยากรอด!” น่าหลานมู่หงรีบพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวสาร
เมื่อสำนักอมตะมีสองยอดฝีมือขอบเขตหยวนหยางปกปักรักษา นางจะดื้อรั้นต่อต้านไปเพื่ออะไร?
มีใครกล้าบุกรุกช่องเขาเฉาเทียนหรือ?
มีใครกล้าแตะต้องช่องเขาเฉาเทียนหรือ?
ใครจะกล้าเป็นศัตรูกับสองยอดฝีมือขอบเขตหยวนหยางเพียงเพื่อช่องเขาเฉาเทียนที่ผลิตพลังหยวนหยางได้เพียงปีละหนึ่งสายกัน?
“บอกมาซิ สมบัติของช่องเขาเฉาเทียนนั้นเป็นเช่นไร?” ในตอนนี้กายาวิญญาณของเหวินผิงกำลังกลืนพลังหยวนหยางอย่างรวดเร็ว เขาจึงต้องการพลังหยวนหยางเพิ่มเติม
การสร้างอาคารพิเศษเพื่อผลิตพลังหยวนหยางย่อมไม่ทันการณ์ เพราะจ้าวแห่งการพิทักษ์สามารถข่มขู่คนอย่างน่าหลานมู่หงได้ แต่ไม่อาจข่มขู่ศัตรูนอกช่องเขาเฉาเทียนได้
.
(จบตอน)