ตอนที่แล้วบทที่ 419 โลกแห่งความจริง (ตึกผี  ตอนที่ 7)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 421  โลกแห่งความจริง (ตึกผี  ตอนที่ 9)

บทที่ 420  โลกแห่งความจริง (ตึกผี  ตอนที่ 8)


บทที่ 420  โลกแห่งความจริง (ตึกผี  ตอนที่ 8)

เมื่อฟังเรื่องที่คาโรลเล่า รอยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบว่า “ที่นั่นก็มีตำนานแบบนั้นเหมือนกับที่ประเทศเรามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสวรรค์และนรก”

คาโรลพยักหน้าเห็นด้วย “พวกเราก็แค่ฟังไว้สนุก ๆ เท่านั้นเอง”

รอยวางถ้วยชาลงก่อนจะหยิบกุญแจรถขึ้นมา “พอดีวันนี้ เรย์ลี่ กับ แอนนา เลิกเรียนแล้ว ฉันจะไปรับพวกเขา ลูกจะไปด้วยไหม? พวกเขาคิดถึงลูกมาก”

คาโรลยิ้มและตอบว่า “ไปด้วยค่ะ”

แม่ลูกขึ้นรถไปพร้อมกัน มุ่งหน้าไปยังโรงเรียนของน้องชายและน้องสาว ปกติแล้วเด็ก ๆ จะมีพี่เลี้ยงมารับ แต่เพราะวันนี้รอยหยุดพักอยู่บ้าน เธอจึงตั้งใจไปรับลูกด้วยตัวเอง

เมื่อมาถึงหน้าโรงเรียน ทั้งสองรอไม่นานก็เห็นเด็กสองคน หนึ่งคนสูง หนึ่งคนเตี้ย เดินออกมาจากประตูโรงเรียน และมีคุณครูเดินตามออกมาด้วย

เมื่อเห็นว่าเป็นแม่และพี่สาวที่ไม่ได้เจอกันมานานมารับ พวกเขาก็วิ่งเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้น

“คาโรล เราคิดถึงพี่มาก!”

“คาโรล พี่อยู่ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง?”

คาโรลโอบกอดน้องทั้งสอง ในขณะที่รอยจับมือทักทายครูที่มาส่งเด็ก ๆ

ครูเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดี หลังจากจับมือกับรอยและพูดคุยกันสองสามประโยค เขาหันไปมองคาโรล “อ๋อ นี่เองที่เป็นพี่สาวของเด็ก ๆ ก่อนหน้านี้ได้ยินพวกเขาพูดถึงพี่สาวอยู่บ่อย ๆ”

รอยยิ้มตอบ “พวกเขาสนิทกันมากค่ะ”

หลังจากพูดคุยกันเพียงเล็กน้อย ครูก็เดินกลับเข้าไปในโรงเรียน ขณะที่คาโรลหันไปมองครูคนนั้น และบังเอิญเขาเองก็หันมามอง ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้าหนีไปด้วยความเขินอาย

เมื่อคาโรลอยู่บ้าน น้องชายและน้องสาวก็มักจะเข้ามาเล่นและพูดคุยกับเธอเสมอ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่เธอเริ่มสนทนากับครูคนนั้นผ่านข้อความที่น้อง ๆ ช่วยส่งต่อ

วิลสัน เป็นชายหนุ่มผู้มีเสน่ห์ ด้วยความหลงใหลในงานด้านการสอน เขาจึงเลือกที่จะเป็นครู แม้ว่าครอบครัวของเขาจะมีฐานะดีพอ ๆ กับครอบครัวของคาโรล

เมื่อคาโรลพูดคุยกับวิลสันมากขึ้น เธอพบว่าเขาเป็นคนที่มีความรู้กว้างขวางและมีอารมณ์ขัน ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้น คาโรลก็อาสารับหน้าที่ไปรับส่งน้อง ๆ เอง ไม่เพียงเพื่อใช้เวลากับพวกเขาให้มากขึ้น แต่ยังเพื่อหาโอกาสได้พบกับวิลสันอีกด้วย

เช้าวันหนึ่ง คาโรลออกจากบ้านก่อนเวลา เธอขับรถออกมาจากโรงจอดรถ ขณะที่น้องทั้งสองวิ่งตามมาเตรียมขึ้นรถ

ในย่านคนรวย บ้านแต่ละหลังตั้งอยู่ห่างกันมาก จึงไม่ค่อยเห็นคนเดินผ่านไปมา แต่วันนั้นขณะที่คาโรลยืนอยู่ข้างประตูฝั่งคนขับ เธอเห็นหญิงคนหนึ่งเดินผ่าน และในวินาทีนั้นเอง เธอได้กลิ่นที่แปลกประหลาด มันไม่ได้เหม็น แต่กลับชัดเจนจนทำให้เธอสะดุดใจ

เมื่อคาโรลหันไปมองหญิงคนนั้น หญิงสาวดูเหมือนจะรู้ตัวและหันกลับมา “สวัสดีค่ะ คุณมาส่งเด็ก ๆ ไปโรงเรียนหรือเปล่า?”

คาโรลพยักหน้า “ใช่ค่ะ ใกล้จะสายแล้ว”

ถึงแม้จะไม่ได้สายจริง ๆ แต่คาโรลไม่อยากสนทนากับผู้หญิงคนนี้ต่อ

เมื่อได้ยินว่าคาโรลรีบ หญิงสาวก็พูดด้วยท่าทีเข้าใจ “งั้นรีบไปเถอะค่ะ ฉันอยู่บ้านหลังนั้นเอง ถ้ามีเวลาแวะมาที่บ้านฉันได้นะ”

คาโรลตอบกลับด้วยมารยาท “ขอบคุณสำหรับความกรุณาค่ะ”

เด็กทั้งสองขึ้นรถด้วยตัวเองแล้ว คาโรลสังเกตเห็นรอยเปื้อนบางจุดที่ไม่ชัดเจนตรงข้างลำตัวหญิงคนนั้น เธอจึงกล่าว “คุณผู้หญิงค่ะ ดูเหมือนตรงนี้จะมีอะไรติดอยู่นะคะ เราคงต้องไปแล้ว ลาก่อนค่ะ”

หญิงสาวลูบที่เอวข้างตัวแล้วส่งยิ้มให้คาโรล

เมื่อรถขับออกไปได้สักพัก หญิงสาวเลิกชายเสื้อบริเวณข้างลำตัว เผยให้เห็นรอยสักลึกลับที่ดูน่ากลัว และในขณะที่เธอมองรอยสักนั้น รอยสักกลับขยับได้ราวกับมีชีวิต

“อย่ารีบร้อนเลย ของสังเวยที่เหมาะสมได้ถูกเลือกไว้ให้คุณแล้ว” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมมองตามทิศทางที่รถของคาโรลขับออกไป

...

เจิ้งซูอี๋หลับสนิทตลอดคืน และเมื่อตื่นขึ้นมา เธอรู้สึกสดชื่นกว่าที่เคย

เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ พวกเพื่อน ๆ ในหอพักชวนเธอออกไปกินข้าวนอกบ้านและอาสาเลี้ยงมื้อนี้ ทุกคนในหอพักรู้เรื่องราวที่เธอเจอแล้ว ทำให้ความกดดันในใจของเจิ้งซูอี๋ลดลง แม้ว่าจะไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมด แต่เรื่องของตึกผีก็เป็นสิ่งที่เธอไม่อยากให้เพื่อนคนอื่นรู้ กลัวว่าจะโดนดึงเข้าไปในตึกผีด้วยกัน เธอคงรู้สึกผิดจนไม่อาจให้อภัยตัวเองได้

พวกเธอไปถึงใจกลางเมือง ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนในวันหยุดสุดสัปดาห์ ร้านอาหารเกือบทุกร้านเต็มไปด้วยลูกค้า แต่ที่นั่งยังมีระยะห่างพอสมควร

เจิ้งซูอี๋นั่งอยู่ข้างเสิ่นชงหราน พลางจิบเครื่องดื่ม “พวกเธอรู้เรื่องนี้แล้ว หรานหรานก็บอกว่าจะช่วยฉัน ฉันเองก็บอกที่บ้านแล้ว แต่พวกเธออย่าได้ตามฉันไปด้วยความอยากรู้อีกนะ ถ้าโดนผีตามมาด้วย ฉันคงไม่อาจให้อภัยตัวเองได้”

ข่งเซี่ยชิงและตู๋ซือหยุ่นพยักหน้าอย่างจริงจัง

ข่งเซี่ยชิงพูดขึ้น “ฉันถึงว่า ทำไมก่อนหน้านี้เธอถึงฝันร้ายจนร้องไห้หนักขนาดนั้น เสียดายที่กระดาษยันต์ของหรานหรานกันผีไม่ให้เข้าฝันเธอไม่ได้”

เจิ้งซูอี๋ก้มหน้าด้วยความเงียบงัน ฝันร้ายครั้งนั้นเกิดขึ้นหลังจากเธอเข้าสู่ตึกผีเป็นครั้งแรก ในฝัน เทพเจ้าแห่งความกลัวที่มองไม่เห็นตัวคอยหลอกหลอนและเตือนเธออย่างชัดเจนว่าไม่ให้พูดถึงตึกผี

เสิ่นชงหรานตบข้อมือเธอเบา ๆ “ไม่ต้องกังวลนะ ฉันจะช่วยเธอเรื่องนี้ เชื่อว่ามันจะจบลงในไม่ช้า”

คำปลอบใจของเสิ่นชงหรานทำให้เจิ้งซูอี๋รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เพราะเธอเห็นกับตาว่าเสิ่นชงหรานมีความสามารถมากแค่ไหน

หลังจากนั้น เมื่ออยู่ในโรงเรียน พวกเธอในหอพักจะอยู่ใกล้ชิดเจิ้งซูอี๋มากขึ้นกว่าเดิม คอยอยู่เป็นเพื่อนเธอตลอดเวลา เพราะกลัวว่าเธอจะถูกผีคุกคามเมื่อต้องอยู่คนเดียว

เจิ้งซูอี๋มาจากครอบครัวที่มีฐานะดีเช่นเดียวกับข่งเซี่ยชิง ทั้งสองเป็นลูกคนเดียวในครอบครัว เรื่องตึกผีจึงเป็นสิ่งที่เธอไม่กล้าบอกใครในบ้าน แต่เรื่องที่ถูกผีตาม ครอบครัวของเธอรับรู้แล้ว และได้ติดต่อกับหน่วยงานพิเศษเพื่อขอความช่วยเหลือ

เสิ่นชงหรานไม่กลัวว่าการพูดถึงตึกผีจะนำมาซึ่งการแก้แค้นใด ๆ เพราะช่วงนี้สถานการณ์ของเจิ้งซูอี๋สงบลงมาก ทางครอบครัวเจิ้งก็กำลังขอความคุ้มครองให้กับลูกสาวจากหน่วยงานพิเศษ

ตามคำแนะนำของเสิ่นชงหราน หน่วยงานพิเศษไม่ได้ปิดบังว่ามีคนเก่งอย่างเธอคอยดูแลอยู่ ทำให้ครอบครัวเจิ้งโล่งใจ แม้พวกเขาจะไม่รู้เรื่องระบบภารกิจ แต่พวกเขาเชื่อมั่นในความสามารถของเพื่อนร่วมหอของลูกสาว

ก่อนหน้านี้ ครอบครัวของเจิ้งซูอี๋มีความคิดที่จะพาเธอไปวัดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเหยียนจิงเพื่อทำพิธีขับไล่สิ่งชั่วร้าย แต่ด้วยความที่พระอาจารย์ในวัดมีงานยุ่งมาก พวกเขาต้องรอคิวอีกยาวนาน

หลังจากเจิ้งซูอี๋รู้ว่าพ่อแม่ทราบเกี่ยวกับตัวตนของเสิ่นชงหราน เธอจึงบอกพวกเขาว่าเพื่อนคนนี้เคยช่วยชีวิตเธอไว้

กระทั่งหนึ่งสัปดาห์ต่อมา วันหนึ่งเจิ้งซูอี๋ได้รับข้อความจากตึกผีอีกครั้ง คราวนี้ให้เธอไปยังสถานที่ที่กำหนดไว้ และย้ำไม่ให้บอกเสิ่นชงหราน

แต่ผีในตึกผีคงคาดไม่ถึงว่า แม้เจิ้งซูอี๋จะไม่กล้าพูด แต่ความใส่ใจของเพื่อนร่วมหอพักที่มีต่อเธอเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ขณะที่เธอได้รับข้อความนั้น กำลังเป็นเวลารับประทานอาหารพอดี เจิ้งซูอี๋นิ่งไปพักหนึ่ง แต่พยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและกินข้าวต่อไป

เสิ่นชงหรานผู้มีสัมผัสไวรู้ทันทีถึงความเปลี่ยนแปลงของเจิ้งซูอี๋

เธอไม่เสียเวลา ส่งข้อความในกลุ่มทันที เพื่ออัปเดตเกี่ยวกับเรื่องตึกผี เวินซวีที่กลับมาจากต่างจังหวัดแล้ว รวมถึงเฟิงอี้เฉินและกู่เถียนเถียน ต่างก็กำลังรอข่าวสารอยู่

หลังมื้ออาหาร เสิ่นชงหรานหลบเลี่ยงไม่ให้เพื่อนร่วมหอพักอีกสองคนรู้ ก่อนจะถามเจิ้งซูอี๋อย่างเงียบ ๆ

“อีกแล้วใช่ไหม? ผีตามรังควานอีกแล้ว?”

"เจิ้งซูอี๋ก้มหน้าลงอย่างเงียบ ๆ ไม่กล้าพูดอะไรออกมา เธอคิดว่า ถ้าเสิ่นชงหรานยังไม่รู้ที่ตั้งของตึกผี นั่นอาจหมายความว่าเสิ่นชงหรานยังไม่ได้ตกเป็นเป้าหมายของมัน"

เธอวางแผนไว้แล้วว่าครั้งนี้จะเข้าไปในตึกผีอีกครั้งและร่วมมือกับคนในชั้นล่าง เพื่อหาประตูชีวิตให้เจอโดยเร็วที่สุดและหนีออกมา

เมื่อเห็นว่าเจิ้งซูอี๋ไม่ตอบ เสิ่นชงหรานไม่ได้ถามเซ้าซี้ เธอเข้าใจว่ามันคือคำสั่งจากตึกผี จึงพูดเพียงว่า

“ไม่ต้องกังวล ไปตามที่มันบอกเถอะ แต่อย่าลืมอุปกรณ์ป้องกันตัวที่ฉันให้ไปนะ แค่โยนออกไปตามใจชอบ มันจะเกาะติดกับเป้าหมายที่เธอเลือกเอง”

เธอให้ยันต์หุ่นเชิดแก่เจิ้งซูอี๋ เพื่อใช้ควบคุมสมาชิกในกลุ่มที่อาจตามมาทำร้ายเธอ

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เจิ้งซูอี๋ก็พยักหน้ารับ “ฉันจะระวัง และจะจัดการควบคุมคนพวกนั้นให้ได้ตั้งแต่แรก”

...........

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด