ตอนที่แล้วบทที่ 34 คุณพอจะมีแนวคิดคร่าว ๆ ไหมครับ?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 36 เรื่องแบบนี้มัน.. ใหญ่ไปหน่อยไหม

บทที่ 35 ผมจะมาพูดถึงแผนพัฒนาของเรา


บทที่ 35 ผมจะมาพูดถึงแผนพัฒนาของเรา

ท่ามกลางสายตาที่คาดหวังของทุกคน เฉินจิ่วซือก็ใคร่ครวญเล็กน้อย "อย่างแรก ธุรกิจของหมู่บ้านจะต้องแยกจากการบริหาร พวกเราสามารถให้สมาชิกคณะกรรมการหมู่บ้านของหมู่บ้านหยุนเฟิงบางส่วนเข้าร่วมคณะกรรมการหมู่บ้านใหม่ได้ แต่ในระยะเวลาอันสั้นนี้ พวกเขาไม่สามารถที่จะเข้ามาแทรกแซงบริษัทหยุนซีโวลเคโนของเราได้"

"แต่สำหรับบริษัทหยุนซีโวลเคโน ใครมีความสามารถก็เข้ามาได้"

บริษัทหยุนซีโวลเคโนในตอนนี้เทียบเท่ากับเศรษฐกิจของหมู่บ้านหยุนซี

การเซ็นสัญญากล้วยไม้สกุลหวายก็เป็นของที่นี่ การสร้างโรงงานก็เป็นของที่นี่ การพัฒนาถ้ำภูเขาไฟก็ยังคงเป็นของที่นี่ เรียกได้ว่าทั้งหมู่บ้านหยุนซี ธุรกิจทั้งหมดที่สามารถสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจล้วนอยู่ในบริษัทนี้ทั้งหมด

ซึ่งคณะกรรมการหมู่บ้านในตอนนี้ก็มีอำนาจในการพูดอยู่บ้าง ซึ่งมันก็ถือว่าอันตรายแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงว่าในอนาคตจะต้องดึงคนเข้ามาเพิ่มอีก

เรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญต้องทำ ก็ควรจะให้ผู้เชี่ยวชาญทำ มันถึงจะเหมาะสมที่สุด

การแยกธุรกิจออกจากหมู่บ้านนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น!

เมื่อเฉินจิ่วซือพูดจบ สมาชิกคณะกรรมการหมู่บ้านก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

เมื่อธุรกิจของหมู่บ้านแยกออกไป อำนาจในการพูดของพวกเขาก็จะลดลงไปอีก

แต่เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่จะมีการรวมฝ่ายบริหารของอีกหมู่บ้านเข้ามา การที่ธุรกิจของหมู่บ้านแยกออกไปนั้น มันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่จำเป็นขึ้นมาทันที

ในช่วงเวลาของการขยายตัวแบบนี้ แนวคิดเรื่องการที่ยอมจะลดอำนาจของทั้งหมู่บ้านหรือยอมลดอำนาจของตัวเอง ความคิดทั้งสองนี้เริ่มที่จะต่อสู้กันอย่างรุนแรงในหัวของพวกเขา

เมื่อทุกคนเงียบนิ่งไป ด้านฝูเก๋อที่เป็นผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งของเฉินจิ่วซือ ก็รู้สึกว่าทุกอย่างพร้อมแล้วและกำลังจะพูดบางอย่างออกมา

แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาก่อน "ผมคิดว่าเรื่องนี้จำเป็นมาก"

"บริษัทหยุนซีโวลเคโนเป็นรากฐานของพวกเรา เราจะต้องควบคุมให้ดี ไม่ให้ใครมามีอิทธิพลได้ สมาชิกคณะกรรมการหมู่บ้านสามารถที่จะเปลี่ยนรุ่นไปได้เรื่อยๆ แต่ถ้าเกิดมีคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเข้ามาสักครั้ง หมู่บ้านทั้งหมดก็คงจะต้องพังตามไปด้วยใช่ไหมล่ะ"

"ถึงแม้ว่าจะไม่มีเรื่องนี้ แต่การแยกธุรกิจออกจากหมู่บ้านก็จำเป็นอยู่ดี อย่างน้อยก็ต้องลดอิทธิพลของคณะกรรมการหมู่บ้านที่มีต่อบริษัท โดยให้คงอำนาจบางส่วนของหมู่บ้านเอาไว้ก็พอ"

เฉินจิ่วซือมองไปที่คนที่พูดด้วยความแปลกใจ

เขาไม่คิดเลยว่าจ้าวหงเย่จะพูดแบบนี้ออกมา

ดูเหมือนว่าในช่วงเวลานี้ 'ผู้ใหญ่บ้านคนเก่า' คนนี้จะเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว

ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่เสนอความคิดแย้งออกมาและไม่ได้คิดที่จะแย่งตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านอีกแล้ว แต่การที่คนที่มีบุคลิกขี้ระแวงแบบเขาสามารถพูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้นั้น มันก็ถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว

เมื่อคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในหมู่บ้านได้แสดงความคิดเห็นออกมา แล้วคนที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับสองก็แสดงการสนับสนุน แล้วนักบัญชีที่ดูแลเรื่องการเงินของหมู่บ้านก็เห็นด้วย แม้การแยกธุรกิจออกจากหมู่บ้านที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก แต่ด้วยความเห็นของทั้งสามคนสำคัญของหมู่บ้าน มันก็ถูกแยกออกมาได้อย่างง่ายดาย

หลังจากนั้น เฉินจิ่วซือก็เสนอแนวคิดการรวมศูนย์ห้าประการ

การบริหารเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์

การจัดสรรทรัพยากรแบบรวมศูนย์

การจัดการบุคลากรแบบรวมศูนย์

การจ่ายสวัสดิการแบบรวมศูนย์

การวางแผนการสร้างหมู่บ้านแบบรวมศูนย์

หลังจากที่สองหมู่บ้านรวมกันแล้ว ทั้งห้าข้อนี้จะถูกรวมเข้าด้วยกันซึ่งจะใช้ฝ่ายบริหารเดียวกันทั้งหมด

แบบนี้ถึงจะสามารถสร้างความเป็นธรรมได้และจะไม่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย

ในเมื่อเรื่องการแยกธุรกิจออกจากหมู่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้านยังเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์ เรื่องทั้งห้านี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรแล้ว

สิทธิและหน้าที่รวมกันทั้งหมด ก็ถือว่าสมเหตุสมผล

แต่ในใจของทุกคน พวกเขาก็รู้สึกว่ามันยังขาดอะไรไปบางอย่างอยู่ดี

ในตอนนั้นเอง เฉินจิ่วซือก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดว่า

"ใช่แล้ว ถึงจะบอกว่าเป็นสวัสดิการแบบรวมศูนย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรวมกันในตอนนี้ สถานการณ์ที่ดีของพวกเราในตอนนี้เป็นสิ่งที่ผู้ปลูกกล้วยไม้สกุลหวายกลุ่มแรกสร้างขึ้นมา ฉะนั้น ผมขอเสนอว่า ในอีกสามปีข้างหน้า จะต้องให้เงินอุดหนุนพิเศษเพิ่มเติมแก่ผู้ปลูกกล้วยไม้สกุลหวายกลุ่มแรก"

ถ้าชาวบ้านทั้งหมดรวมถึงชาวบ้านใหม่ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ สามารถได้รับผลประโยชน์ของหมู่บ้านได้เหมือนๆ กันในทันที ชาวบ้านเก่าก็อาจจะรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม แต่ถ้าไม่ให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้านใหม่ มันก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่เท่าเทียม

ในตอนแรก เขาอาจจะคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ แต่มันก็อาจจะไประเบิดเอาตอนหลังก็เป็นได้!

ใจคนก็เป็นแบบนี้

ดังนั้นหลังจากที่คิดทบทวนดูแล้ว เฉินจิ่วซือก็คิดว่าสิ่งที่สมเหตุสมผลที่สุดก็คือการให้รางวัลเพิ่มเติมแก่คนกลุ่มนี้ที่ลุยฝ่าความยากลำบากมาด้วยกันกับเขา

ในหมู่ชาวบ้านเก่าเองก็ไม่ได้ปลูกกล้วยไม้สกุลหวายกันทุกบ้าน

สถานการณ์ในตอนนี้นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขา พวกเขาก็จะเป็นเหมือนกับชาวบ้านใหม่ ซึ่งชาวบ้านใหม่ก็จะไม่รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ยุติธรรมแต่อย่างใด

เงินอุดหนุนพิเศษจำนวนสามปีก็ถือว่าเป็นการให้ค่าเหนื่อยแก่คนที่ลงมือมาตั้งแต่แรก

แน่นอนว่า ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป การลงทุนของชาวบ้านเก่าและใหม่จะถูกบันทึกไว้ทั้งหมด เมื่อมีคนใหม่เข้ามาในภายหลัง คนเหล่านี้ที่ถือว่าเป็นรุ่นที่สอง ก็จะได้รับเงินมากกว่าคนใหม่ไปตามกระบวนการนี้เช่นกัน

เมื่อทุกอย่างถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจน ความยุติธรรมก็จะถูกแสดงออกมา

ถ้ายังมีคนรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม นั่นก็เป็นปัญหาของเขาแล้ว

"เป็นวิธีที่ดี!"

"การลงทุนลงแรงของผู้ปลูกกล้วยไม้สกุลหวายเก่าแก่ ก็ควรจะได้รับผลตอบแทนที่มากกว่าจริงๆ"

"อันนี้ดี คนที่ลงทุนมากก็ควรจะได้มาก มันสมเหตุสมผลแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรเลยแล้วได้ผลตอบแทนเท่ากับคนอื่น มันก็จะมีปัญหาตามมาแน่ๆ!"

หลังจากที่ไตร่ตรองกันแล้ว ทุกคนก็เห็นด้วย

วิธีนี้ดีจริงๆ!

หลังจากนั้น พวกเขาก็พูดคุยกันถึงเรื่องการจัดการและการจัดวางคนในกรณีที่รวมหมู่บ้านหยุนเฟิงเข้ามา..

..และเมื่อทุกอย่างมีระเบียบแบบแผนที่ชัดเจน เฉินจิ่วซือก็โทรศัพท์ให้คนไปรับเซี่ยงหมิงหลางและคนอื่นๆ เข้ามาพูดคุย..

"ผู้ใหญ่บ้านเซี่ยง ได้เดินชมแล้วเป็นยังไงบ้างครับ การพัฒนาของหมู่บ้านของพวกเราช่วงนี้ถือว่าโอเคเลยใช่ไหมครับ"

"ทำไมยังเรียกผมว่าผู้ใหญ่บ้านอีกล่ะ เรียกชื่อผมเฉยๆ ก็พอแล้ว" เซี่ยงหมิงหลางทำหน้ายิ้มแย้ม "ถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือมันทำให้ผมทึ่งมากจริงๆ ไอ้ที่ดินหินดำๆ ที่บรรพบุรุษของพวกเราไม่สามารถจะเอาชนะได้ ในตอนนี้กลับกลายเป็นไก่ที่ออกไข่เป็นทองคำไปแล้ว"

"มันก็เป็นไก่ที่ออกไข่ทองคำให้พวกเราทั้งหมดนั่นแหละครับ" เฉินจิ่วซือหัวเราะ "หลังจากที่พวกเราได้พูดคุยกันแล้ว การรวมสองหมู่บ้านก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ก็มีบางอย่างที่จำเป็นต้องพูดให้เข้าใจกันก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมาทีหลังก็คงจะแก้ไขได้ยาก"

เมื่อได้ยินเฉินจิ่วซือเกริ่นขึ้นมาดังนั้น อีกฝ่ายก็ทำสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที

ในใจของเซี่ยงหมิงหลางเต็มไปด้วยความกังวล

ครั้งนี้พวกเขาตัดสินใจมาอย่างหนักแน่นมาก

ถ้าถูกปฏิเสธขึ้นมา

หรือถ้าถูกยื่นข้อเสนอที่ยากลำบากขึ้นมา

ถ้าพวกเขาไม่สามารถที่จะโน้มน้าวให้คนในหมู่บ้านของตัวเองยอมรับเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้...

ความเป็นไปได้อันมากมายนั้นทำให้พวกเขาเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เห็นสภาพของหมู่บ้านหยุนซีในตอนนี้

สถานการณ์ของหมู่บ้านหยุนซีดีกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก!

พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่

และตอนนี้พวกเขาก็ถูกนำตัวเข้ามาในห้องประชุมแล้ว

ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่อยู่ในห้องประชุมนี้ก็เป็นเพื่อนเก่ากันทั้งนั้น

พวกเขารู้จักกันมาหลายสิบปีแล้ว

แต่ตอนนี้ สถานการณ์กลับดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเดิม

ตอนนี้ พวกเขาเป็นเหมือนนักเรียนที่ถูกพามาที่ห้องผู้อำนวยการเพราะไม่ได้ทำการบ้าน

ด้านเฉินจิ่วซือก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาบอกเรื่องแผนการรวมสองหมู่บ้าน การแบ่งแยก และการรวมศูนย์ห้าประการให้ฟัง รวมไปถึงเรื่องเงินอุดหนุนในอนาคตด้วย

เฉินจิ่วซือพูดข้อสรุปการประชุมทั้งหมดโดยไม่อ้อมค้อม

"สมเหตุสมผล มันสมเหตุสมผลแล้ว!"

เมื่อเซี่ยงหมิงหลางยิ่งฟังก็ยิ่งตื่นเต้น พอได้ไตร่ตรองแล้ว เขาก็พูดได้เพียงว่าสมเหตุสมผลแล้วจึงพูดต่อ "ถ้าไม่มีการลงทุนในระยะแรกของคนกลุ่มนั้น ก็คงจะไม่มีสถานการณ์แบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงเงินอุดหนุนสามปีเลย แม้แต่สิบปี หรือตลอดชีวิต ผมก็คิดว่ามันก็คุ้มค่า"

"ถ้าจะมีใครมาสร้างปัญหาเพราะเรื่องนี้ ผมจะหักขาเขาเอง!"

"ส่วนการบริหารเศรษฐกิจ ทรัพยากร บุคลากรแบบรวมศูนย์ การสร้างหมู่บ้านแบบรวมศูนย์ ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ ทั้งหมดก็เพื่อที่จะพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว"

"ส่วนเรื่องสวัสดิการแบบรวมศูนย์ ผมว่าเก็บไว้ก่อนก็ได้ พวกเราก็เป็นคนใหม่ ไม่จำเป็นต้องได้รับอะไรมากมายขนาดนั้น"

ตอนนี้ไม่ใช่แค่เซี่ยงหมิงหลางเท่านั้น แต่คนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านหยุนเฟิงทุกคนต่างก็ตื่นเต้นกันไปหมด

สิ่งที่เฉินจิ่วซือเสนอมานั้นมากกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้มาก

เรื่องราวง่ายดายกว่าที่คาดไว้

ในช่วงเวลาที่สับสนนี้ พวกเขาก็เหมือนจะเห็นภาพในอนาคตที่ไม่ไกล ภาพที่คนในหมู่บ้านต่างก็มาเข้าแถวขอบคุณพวกเขาที่พาหมู่บ้านหยุนเฟิงเข้าร่วมกับหมู่บ้านหยุนซี

"ไม่ครับ ในเมื่อรวมกันแล้ว ทุกคนก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ควรที่จะต้องได้สวัสดิการร่วมกัน"

เฉินจิ่วซือไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการที่จะลองเชิงหรือคิดแบบนั้นจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ "สวัสดิการในระยะแรกก็คงจะไม่ได้มีอะไรมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของคนชรา เด็ก นักเรียน คนพิการ จากนั้น หลังจากที่รายได้ของพวกเรามั่นคงแล้ว ก็จะค่อยๆ กระจายสวัสดิการที่เหลือไปสู่ชาวบ้านทุกคน"

"เรื่องนี้ก็ตกลงกันตามนี้เลยนะครับ.."

"..แต่หลังจากนี้ ผมจะพูดถึงแผนการพัฒนาของผมให้ทุกคนฟังแบบคร่าวๆ !"

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด