บทที่ 35 ผมจะมาพูดถึงแผนพัฒนาของเรา
บทที่ 35 ผมจะมาพูดถึงแผนพัฒนาของเรา
ท่ามกลางสายตาที่คาดหวังของทุกคน เฉินจิ่วซือก็ใคร่ครวญเล็กน้อย "อย่างแรก ธุรกิจของหมู่บ้านจะต้องแยกจากการบริหาร พวกเราสามารถให้สมาชิกคณะกรรมการหมู่บ้านของหมู่บ้านหยุนเฟิงบางส่วนเข้าร่วมคณะกรรมการหมู่บ้านใหม่ได้ แต่ในระยะเวลาอันสั้นนี้ พวกเขาไม่สามารถที่จะเข้ามาแทรกแซงบริษัทหยุนซีโวลเคโนของเราได้"
"แต่สำหรับบริษัทหยุนซีโวลเคโน ใครมีความสามารถก็เข้ามาได้"
บริษัทหยุนซีโวลเคโนในตอนนี้เทียบเท่ากับเศรษฐกิจของหมู่บ้านหยุนซี
การเซ็นสัญญากล้วยไม้สกุลหวายก็เป็นของที่นี่ การสร้างโรงงานก็เป็นของที่นี่ การพัฒนาถ้ำภูเขาไฟก็ยังคงเป็นของที่นี่ เรียกได้ว่าทั้งหมู่บ้านหยุนซี ธุรกิจทั้งหมดที่สามารถสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจล้วนอยู่ในบริษัทนี้ทั้งหมด
ซึ่งคณะกรรมการหมู่บ้านในตอนนี้ก็มีอำนาจในการพูดอยู่บ้าง ซึ่งมันก็ถือว่าอันตรายแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงว่าในอนาคตจะต้องดึงคนเข้ามาเพิ่มอีก
เรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญต้องทำ ก็ควรจะให้ผู้เชี่ยวชาญทำ มันถึงจะเหมาะสมที่สุด
การแยกธุรกิจออกจากหมู่บ้านนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น!
เมื่อเฉินจิ่วซือพูดจบ สมาชิกคณะกรรมการหมู่บ้านก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เมื่อธุรกิจของหมู่บ้านแยกออกไป อำนาจในการพูดของพวกเขาก็จะลดลงไปอีก
แต่เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่จะมีการรวมฝ่ายบริหารของอีกหมู่บ้านเข้ามา การที่ธุรกิจของหมู่บ้านแยกออกไปนั้น มันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่จำเป็นขึ้นมาทันที
ในช่วงเวลาของการขยายตัวแบบนี้ แนวคิดเรื่องการที่ยอมจะลดอำนาจของทั้งหมู่บ้านหรือยอมลดอำนาจของตัวเอง ความคิดทั้งสองนี้เริ่มที่จะต่อสู้กันอย่างรุนแรงในหัวของพวกเขา
เมื่อทุกคนเงียบนิ่งไป ด้านฝูเก๋อที่เป็นผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งของเฉินจิ่วซือ ก็รู้สึกว่าทุกอย่างพร้อมแล้วและกำลังจะพูดบางอย่างออกมา
แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาก่อน "ผมคิดว่าเรื่องนี้จำเป็นมาก"
"บริษัทหยุนซีโวลเคโนเป็นรากฐานของพวกเรา เราจะต้องควบคุมให้ดี ไม่ให้ใครมามีอิทธิพลได้ สมาชิกคณะกรรมการหมู่บ้านสามารถที่จะเปลี่ยนรุ่นไปได้เรื่อยๆ แต่ถ้าเกิดมีคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเข้ามาสักครั้ง หมู่บ้านทั้งหมดก็คงจะต้องพังตามไปด้วยใช่ไหมล่ะ"
"ถึงแม้ว่าจะไม่มีเรื่องนี้ แต่การแยกธุรกิจออกจากหมู่บ้านก็จำเป็นอยู่ดี อย่างน้อยก็ต้องลดอิทธิพลของคณะกรรมการหมู่บ้านที่มีต่อบริษัท โดยให้คงอำนาจบางส่วนของหมู่บ้านเอาไว้ก็พอ"
เฉินจิ่วซือมองไปที่คนที่พูดด้วยความแปลกใจ
เขาไม่คิดเลยว่าจ้าวหงเย่จะพูดแบบนี้ออกมา
ดูเหมือนว่าในช่วงเวลานี้ 'ผู้ใหญ่บ้านคนเก่า' คนนี้จะเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว
ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่เสนอความคิดแย้งออกมาและไม่ได้คิดที่จะแย่งตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านอีกแล้ว แต่การที่คนที่มีบุคลิกขี้ระแวงแบบเขาสามารถพูดเรื่องแบบนี้ออกมาได้นั้น มันก็ถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว
เมื่อคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในหมู่บ้านได้แสดงความคิดเห็นออกมา แล้วคนที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับสองก็แสดงการสนับสนุน แล้วนักบัญชีที่ดูแลเรื่องการเงินของหมู่บ้านก็เห็นด้วย แม้การแยกธุรกิจออกจากหมู่บ้านที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยาก แต่ด้วยความเห็นของทั้งสามคนสำคัญของหมู่บ้าน มันก็ถูกแยกออกมาได้อย่างง่ายดาย
หลังจากนั้น เฉินจิ่วซือก็เสนอแนวคิดการรวมศูนย์ห้าประการ
การบริหารเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์
การจัดสรรทรัพยากรแบบรวมศูนย์
การจัดการบุคลากรแบบรวมศูนย์
การจ่ายสวัสดิการแบบรวมศูนย์
การวางแผนการสร้างหมู่บ้านแบบรวมศูนย์
หลังจากที่สองหมู่บ้านรวมกันแล้ว ทั้งห้าข้อนี้จะถูกรวมเข้าด้วยกันซึ่งจะใช้ฝ่ายบริหารเดียวกันทั้งหมด
แบบนี้ถึงจะสามารถสร้างความเป็นธรรมได้และจะไม่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย
ในเมื่อเรื่องการแยกธุรกิจออกจากหมู่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้านยังเห็นด้วยเป็นเอกฉันท์ เรื่องทั้งห้านี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรแล้ว
สิทธิและหน้าที่รวมกันทั้งหมด ก็ถือว่าสมเหตุสมผล
แต่ในใจของทุกคน พวกเขาก็รู้สึกว่ามันยังขาดอะไรไปบางอย่างอยู่ดี
ในตอนนั้นเอง เฉินจิ่วซือก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดว่า
"ใช่แล้ว ถึงจะบอกว่าเป็นสวัสดิการแบบรวมศูนย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรวมกันในตอนนี้ สถานการณ์ที่ดีของพวกเราในตอนนี้เป็นสิ่งที่ผู้ปลูกกล้วยไม้สกุลหวายกลุ่มแรกสร้างขึ้นมา ฉะนั้น ผมขอเสนอว่า ในอีกสามปีข้างหน้า จะต้องให้เงินอุดหนุนพิเศษเพิ่มเติมแก่ผู้ปลูกกล้วยไม้สกุลหวายกลุ่มแรก"
ถ้าชาวบ้านทั้งหมดรวมถึงชาวบ้านใหม่ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ สามารถได้รับผลประโยชน์ของหมู่บ้านได้เหมือนๆ กันในทันที ชาวบ้านเก่าก็อาจจะรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม แต่ถ้าไม่ให้ความเป็นธรรมกับชาวบ้านใหม่ มันก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่เท่าเทียม
ในตอนแรก เขาอาจจะคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ แต่มันก็อาจจะไประเบิดเอาตอนหลังก็เป็นได้!
ใจคนก็เป็นแบบนี้
ดังนั้นหลังจากที่คิดทบทวนดูแล้ว เฉินจิ่วซือก็คิดว่าสิ่งที่สมเหตุสมผลที่สุดก็คือการให้รางวัลเพิ่มเติมแก่คนกลุ่มนี้ที่ลุยฝ่าความยากลำบากมาด้วยกันกับเขา
ในหมู่ชาวบ้านเก่าเองก็ไม่ได้ปลูกกล้วยไม้สกุลหวายกันทุกบ้าน
สถานการณ์ในตอนนี้นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขา พวกเขาก็จะเป็นเหมือนกับชาวบ้านใหม่ ซึ่งชาวบ้านใหม่ก็จะไม่รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ยุติธรรมแต่อย่างใด
เงินอุดหนุนพิเศษจำนวนสามปีก็ถือว่าเป็นการให้ค่าเหนื่อยแก่คนที่ลงมือมาตั้งแต่แรก
แน่นอนว่า ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป การลงทุนของชาวบ้านเก่าและใหม่จะถูกบันทึกไว้ทั้งหมด เมื่อมีคนใหม่เข้ามาในภายหลัง คนเหล่านี้ที่ถือว่าเป็นรุ่นที่สอง ก็จะได้รับเงินมากกว่าคนใหม่ไปตามกระบวนการนี้เช่นกัน
เมื่อทุกอย่างถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจน ความยุติธรรมก็จะถูกแสดงออกมา
ถ้ายังมีคนรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม นั่นก็เป็นปัญหาของเขาแล้ว
"เป็นวิธีที่ดี!"
"การลงทุนลงแรงของผู้ปลูกกล้วยไม้สกุลหวายเก่าแก่ ก็ควรจะได้รับผลตอบแทนที่มากกว่าจริงๆ"
"อันนี้ดี คนที่ลงทุนมากก็ควรจะได้มาก มันสมเหตุสมผลแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรเลยแล้วได้ผลตอบแทนเท่ากับคนอื่น มันก็จะมีปัญหาตามมาแน่ๆ!"
หลังจากที่ไตร่ตรองกันแล้ว ทุกคนก็เห็นด้วย
วิธีนี้ดีจริงๆ!
หลังจากนั้น พวกเขาก็พูดคุยกันถึงเรื่องการจัดการและการจัดวางคนในกรณีที่รวมหมู่บ้านหยุนเฟิงเข้ามา..
..และเมื่อทุกอย่างมีระเบียบแบบแผนที่ชัดเจน เฉินจิ่วซือก็โทรศัพท์ให้คนไปรับเซี่ยงหมิงหลางและคนอื่นๆ เข้ามาพูดคุย..
"ผู้ใหญ่บ้านเซี่ยง ได้เดินชมแล้วเป็นยังไงบ้างครับ การพัฒนาของหมู่บ้านของพวกเราช่วงนี้ถือว่าโอเคเลยใช่ไหมครับ"
"ทำไมยังเรียกผมว่าผู้ใหญ่บ้านอีกล่ะ เรียกชื่อผมเฉยๆ ก็พอแล้ว" เซี่ยงหมิงหลางทำหน้ายิ้มแย้ม "ถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือมันทำให้ผมทึ่งมากจริงๆ ไอ้ที่ดินหินดำๆ ที่บรรพบุรุษของพวกเราไม่สามารถจะเอาชนะได้ ในตอนนี้กลับกลายเป็นไก่ที่ออกไข่เป็นทองคำไปแล้ว"
"มันก็เป็นไก่ที่ออกไข่ทองคำให้พวกเราทั้งหมดนั่นแหละครับ" เฉินจิ่วซือหัวเราะ "หลังจากที่พวกเราได้พูดคุยกันแล้ว การรวมสองหมู่บ้านก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ก็มีบางอย่างที่จำเป็นต้องพูดให้เข้าใจกันก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมาทีหลังก็คงจะแก้ไขได้ยาก"
เมื่อได้ยินเฉินจิ่วซือเกริ่นขึ้นมาดังนั้น อีกฝ่ายก็ทำสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที
ในใจของเซี่ยงหมิงหลางเต็มไปด้วยความกังวล
ครั้งนี้พวกเขาตัดสินใจมาอย่างหนักแน่นมาก
ถ้าถูกปฏิเสธขึ้นมา
หรือถ้าถูกยื่นข้อเสนอที่ยากลำบากขึ้นมา
ถ้าพวกเขาไม่สามารถที่จะโน้มน้าวให้คนในหมู่บ้านของตัวเองยอมรับเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้...
ความเป็นไปได้อันมากมายนั้นทำให้พวกเขาเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เห็นสภาพของหมู่บ้านหยุนซีในตอนนี้
สถานการณ์ของหมู่บ้านหยุนซีดีกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก!
พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่
และตอนนี้พวกเขาก็ถูกนำตัวเข้ามาในห้องประชุมแล้ว
ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่อยู่ในห้องประชุมนี้ก็เป็นเพื่อนเก่ากันทั้งนั้น
พวกเขารู้จักกันมาหลายสิบปีแล้ว
แต่ตอนนี้ สถานการณ์กลับดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเดิม
ตอนนี้ พวกเขาเป็นเหมือนนักเรียนที่ถูกพามาที่ห้องผู้อำนวยการเพราะไม่ได้ทำการบ้าน
ด้านเฉินจิ่วซือก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาบอกเรื่องแผนการรวมสองหมู่บ้าน การแบ่งแยก และการรวมศูนย์ห้าประการให้ฟัง รวมไปถึงเรื่องเงินอุดหนุนในอนาคตด้วย
เฉินจิ่วซือพูดข้อสรุปการประชุมทั้งหมดโดยไม่อ้อมค้อม
"สมเหตุสมผล มันสมเหตุสมผลแล้ว!"
เมื่อเซี่ยงหมิงหลางยิ่งฟังก็ยิ่งตื่นเต้น พอได้ไตร่ตรองแล้ว เขาก็พูดได้เพียงว่าสมเหตุสมผลแล้วจึงพูดต่อ "ถ้าไม่มีการลงทุนในระยะแรกของคนกลุ่มนั้น ก็คงจะไม่มีสถานการณ์แบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงเงินอุดหนุนสามปีเลย แม้แต่สิบปี หรือตลอดชีวิต ผมก็คิดว่ามันก็คุ้มค่า"
"ถ้าจะมีใครมาสร้างปัญหาเพราะเรื่องนี้ ผมจะหักขาเขาเอง!"
"ส่วนการบริหารเศรษฐกิจ ทรัพยากร บุคลากรแบบรวมศูนย์ การสร้างหมู่บ้านแบบรวมศูนย์ ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ ทั้งหมดก็เพื่อที่จะพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว"
"ส่วนเรื่องสวัสดิการแบบรวมศูนย์ ผมว่าเก็บไว้ก่อนก็ได้ พวกเราก็เป็นคนใหม่ ไม่จำเป็นต้องได้รับอะไรมากมายขนาดนั้น"
ตอนนี้ไม่ใช่แค่เซี่ยงหมิงหลางเท่านั้น แต่คนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านหยุนเฟิงทุกคนต่างก็ตื่นเต้นกันไปหมด
สิ่งที่เฉินจิ่วซือเสนอมานั้นมากกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้มาก
เรื่องราวง่ายดายกว่าที่คาดไว้
ในช่วงเวลาที่สับสนนี้ พวกเขาก็เหมือนจะเห็นภาพในอนาคตที่ไม่ไกล ภาพที่คนในหมู่บ้านต่างก็มาเข้าแถวขอบคุณพวกเขาที่พาหมู่บ้านหยุนเฟิงเข้าร่วมกับหมู่บ้านหยุนซี
"ไม่ครับ ในเมื่อรวมกันแล้ว ทุกคนก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ควรที่จะต้องได้สวัสดิการร่วมกัน"
เฉินจิ่วซือไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการที่จะลองเชิงหรือคิดแบบนั้นจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ "สวัสดิการในระยะแรกก็คงจะไม่ได้มีอะไรมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของคนชรา เด็ก นักเรียน คนพิการ จากนั้น หลังจากที่รายได้ของพวกเรามั่นคงแล้ว ก็จะค่อยๆ กระจายสวัสดิการที่เหลือไปสู่ชาวบ้านทุกคน"
"เรื่องนี้ก็ตกลงกันตามนี้เลยนะครับ.."
"..แต่หลังจากนี้ ผมจะพูดถึงแผนการพัฒนาของผมให้ทุกคนฟังแบบคร่าวๆ !"