ตอนที่แล้วบทที่ 15 ตราประทับปราบมารภายใน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 17 คัมภีร์ลับเตาหยก ภาพมังกรไฟพยัคฆ์วารี

บทที่ 16 กลืนกินปีศาจอีกครั้ง พลังเวทเพิ่มพูน


###

การใช้ร่างมนุษย์บังคับพลังแห่งเทพเจ้าย่อมต้องแลกมาด้วยราคาบางอย่าง

ขณะที่กลืนกินดวงตาผี จางจิ่วหยางตระหนักถึงข้อนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงจงใจใช้ตราประทับฆ่าปีศาจของจงขุยโจมตีอวิ๋นเหนียงจนบาดเจ็บสาหัส เพื่อทำลายพลังและลดความอาฆาตของปีศาจลง

จากนั้นเขาบีบให้อวิ๋นเหนียงต้องเข้าสิง แล้วจึงแปลงร่างเป็นจงขุยในจิตวิญญาณเพื่อสังหารและกลืนกินปีศาจ หวังใช้พลังของจงขุยลบล้างความอาฆาตของปีศาจ

นี่เป็นความคิดที่กล้าหาญมาก แต่น่าเสียดายที่โลกนี้ไม่มีทางลัดให้เดินง่าย ๆ เช่นนั้น

เมื่อเขาแปลงร่างเป็นจงขุย ความอาฆาตของปีศาจอาจไม่มีผลใด ๆ ทว่าทันทีที่พลังของจงขุยกลับเข้าสู่แผนภาพวิญญาณ ผลกระทบจากการกลืนกินปีศาจก็ถาโถมเข้าใส่เขาทันที

หากมิใช่เพราะเขาเพิ่งผ่านการบรรลุทางจิตใจและยกระดับจิตวิญญาณขึ้นได้ ไม่แน่ว่าเขาคงไม่อาจต้านทานความอาฆาตของอวิ๋นเหนียงได้เลย

แต่พลังของทั้งสองยังคงแตกต่างกันมาก ราวกับงูที่พยายามจะกลืนช้าง

จางจิ่วหยางทำได้เพียงปกป้องแก่นวิญญาณของตนเองไว้เพียงเส้นบาง ๆ ขณะล่องลอยอยู่กลางมหาสมุทรแห่งความอาฆาต

ในความสับสน ความทรงจำของอวิ๋นเหนียงปรากฏขึ้นในความคิดของเขาทีละฉากทีละตอน

อวิ๋นเหนียงเคยขายเต้าหู้ที่อำเภออวิ๋นเหอ ด้วยความที่มีหน้าตาสะสวยจึงมักถูกพวกอันธพาลรบกวนเสมอ จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

เขาสั่งคนไปสั่งสอนพวกอันธพาลเหล่านั้น และต่อมาก็เข้ามาทำความรู้จักกับนางด้วยความสุภาพอ่อนน้อม

ต่อมานางได้รู้ว่าชายผู้นั้นคือพ่อค้าใหญ่ที่ร่ำรวยที่สุดในอำเภออวิ๋นเหอ นามว่าลู่เหยาเซิง

แม้ลู่เหยาเซิงจะอายุสี่สิบกว่าแล้ว แต่ด้วยการดูแลตัวเองอย่างดี เขายังคงดูหล่อเหลา พูดจาดีและมีเสน่ห์ อวิ๋นเหนียงจึงเกิดความรู้สึกดี ๆ ต่อเขาในไม่ช้า

ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่นางไม่เข้าใจคือ เหตุใดลู่เหยาเซิงจึงมาซื้อเต้าหู้เฉพาะเวลาค่ำคืนที่ไม่มีผู้คนเสมอ เหมือนกับกลัวว่าจะมีใครเห็น

คืนหนึ่งเมื่อความสัมพันธ์ลึกซึ้งขึ้น ทั้งสองก็ได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งนั้นไป

ไม่นานนัก อวิ๋นเหนียงก็ตั้งครรภ์

นางคิดว่าลู่เหยาเซิงจะรับนางเป็นภรรยา แม้จะเป็นเพียงภรรยารองนางก็ยอม แต่ไม่คาดคิดว่าลู่เหยาเซิงกลับเกรงกลัวภรรยาหลวงจนไม่กล้ารับปาก

แต่ลู่เหยาเซิงสัญญาว่า หากนางให้กำเนิดบุตรชายได้ เขาจะยกย่องนางอย่างสมเกียรติ และอาจถึงขั้นหย่าภรรยาหลวงเพื่อนาง

ด้วยคำหวานเหล่านั้น อวิ๋นเหนียงหลงเชื่อและไม่สนคำซุบซิบนินทาของชาวบ้าน ยอมให้กำเนิดบุตรอย่างเด็ดเดี่ยว แต่ทว่าเด็กที่เกิดกลับเป็นเพศหญิง

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากรู้ว่าเด็กเป็นหญิง ลู่เหยาเซิงก็ไม่เคยกลับมาหานางอีกเลย

อวิ๋นเหนียงคิดจะส่งลูกสาวให้คนอื่นเลี้ยงแล้วออกเดินทางไปที่อื่น แต่เมื่อเห็นใบหน้าเล็ก ๆ ของลูก นางกลับเปลี่ยนใจและตั้งปณิธานว่าจะเลี้ยงลูกให้เติบโตด้วยตัวเอง

หกปีผ่านไป ลูกสาวของนางเติบโตขึ้นเป็นเด็กสาวที่ฉลาดและว่านอนสอนง่าย นางมักจะช่วยแม่ขายเต้าหู้ริมถนน ผู้คนจึงเรียกนางว่า “เต้าหู้น้อย”

มีคนจงใจล้อเลียนว่า “เต้าหู้น้อย เจ้ารู้ไหมว่าพ่อของเจ้าเป็นใคร?”

แต่เด็กหญิงกลับไม่โกรธและตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ซื้อเต้าหู้ก่อนสิ แล้วข้าจะบอก”

ผู้ถามจึงได้แต่เดินจากไปด้วยความอับอาย

สองแม่ลูกใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แม้จะยากจนแต่ก็อบอุ่น จนกระทั่งวันหนึ่ง เด็กหญิงที่เคยช่วยแม่ขายเต้าหู้ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

อวิ๋นเหนียงตามหาลูกอย่างบ้าคลั่งอยู่หลายเดือนจนหมดตัว คืนหนึ่งด้วยความสิ้นหวัง นางเดินมานั่งที่สะพานหินขาวริมแม่น้ำเสี่ยวอวิ๋น

นางคิดจะฆ่าตัวตาย แต่ขณะมองเงาของตัวเองในน้ำ นางก็คิดได้ว่าหากลูกยังมีชีวิตอยู่ อาจกำลังรอให้นางไปตามหาอยู่ที่ใดสักแห่ง

ถ้านางตาย ลูกจะไม่มีใครเหลืออีกเลย

คิดได้ดังนั้น นางจึงล้มเลิกความตั้งใจจะฆ่าตัวตาย และจุดประกายความหวังขึ้นอีกครั้ง แต่ในขณะนั้นเอง มือข้างหนึ่งก็ผลักนางจากด้านหลัง

ตุบ!

อวิ๋นเหนียงตกลงไปในแม่น้ำอันเย็นเยียบซึ่งขณะนั้นเป็นฤดูหนาว นางว่ายน้ำไม่เป็นจึงจมดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดิ้นรน นางมองขึ้นไปเห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่บนสะพานหินขาวในความมืดราง ๆ

ดูเหมือนจะคุ้นตาอยู่บ้าง

......

“พี่จิ่ว! พี่จิ่ว!”

เสียงเรียกดังขึ้นต่อเนื่อง จางจิ่วหยางสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขานั่งตัวตรง พบว่าตนเองยังคงอยู่ริมแม่น้ำเสี่ยวอวิ๋น พิงอยู่ใต้ต้นหลิว

อาหลี่และวิญญาณของลุงเจียง รวมถึงเกาเหริน ต่างมองมาที่เขาด้วยสายตาเป็นห่วง

อันตรายเหลือเกิน!

จางจิ่วหยางถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เมื่อครู่นี้เขาเกือบหลงอยู่ในความทรงจำที่เต็มไปด้วยความอาฆาตของอวิ๋นเหนียง หากมิใช่เพราะยังมีแสงแห่งจิตวิญญาณส่องนำทาง บวกกับได้รับความช่วยเหลือจากพลังภายนอกบางอย่าง เกรงว่าเขาคงไม่ฟื้นขึ้นมาได้อีกเลย

ความประมาทเลินเล่อของเขาเกือบทำให้เกิดหายนะ ครั้งหน้าหากคิดจะกลืนกินปีศาจ คงต้องเลือกพวกที่อ่อนแอกว่าตัวเองเท่านั้น!

“ดีจังเลย พี่จิ่วฟื้นแล้ว!” อาหลี่ดีใจจนออกนอกหน้า

“เจ้าหนู เจ้านี่ชีวิตช่างแข็งนัก!” เกาเหรินพูดพลางหอบหายใจหนักด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ

ตราประทับปราบมารภายในนั้นสิ้นเปลืองพลังเวทมากเกินไป ด้วยพลังขั้นที่สองของเขาจึงแทบไม่อาจทนรับไหว

“แต่ที่เจ้าฟื้นขึ้นมาได้ในครั้งนี้ ต้องขอบคุณท่านลุงเจียงผู้นี้จริง ๆ”

จางจิ่วหยางมองไปที่ลุงเจียง เห็นเขามองกลับมาด้วยสายตาที่ลึกซึ้งเหมือนรู้อะไรบางอย่าง

ในใจของจางจิ่วหยางสั่นไหวเล็กน้อย ลุงเจียงดูเหมือนจะไม่ใช่คนธรรมดาจริง ๆ!

เพียงแต่ถ้าเขาเป็นผู้มีวิชาสูงส่งจริง เหตุใดจึงต้องมาจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของอวิ๋นเหนียง?

ขณะนั้นเอง ลุงเจียงใช้มือทำท่าทางบางอย่าง อาหลี่จึงทำหน้าที่เป็นล่ามแปล

“พี่จิ่ว ท่านพ่อบอกว่า พลังของพี่เติบโตเร็วเกินไป หากไม่มีวิธีควบคุมที่ถูกต้อง จะเป็นอันตรายมาก และอาจ…เดินหาทางตาย”

จางจิ่วหยางหัวเราะ “คงจะหมายถึงเดินเข้าสู่มารภายในใช่ไหม?”

“อืม อืม!” อาหลี่พยักหน้าแรง ๆ พร้อมแสดงความชื่นชม “พี่จิ่วช่างรอบรู้จริง ๆ!”

ลุงเจียงสีหน้าดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะดึงอาหลี่ออกห่างเล็กน้อย

“เดี๋ยวก่อน ๆ!” เกาเหรินเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ “ท่านเจียง หมายความว่าเจ้าหนูนี่…จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยฝึกวิชาใด ๆ เลยหรือ?!”

จางจิ่วหยางไอเบา ๆ ก่อนตอบ “อาจารย์ของข้าตายตั้งแต่ข้ายังเล็ก ข้าจึงได้ฝึกแต่เพียงวิชาฝึกกายเพื่อสุขภาพ ไม่มีเส้นทางการฝึกพลังที่ชัดเจน”

ศาสตร์จงหลี่แปดท่าฟื้นกำลังนั้นเป็นเพียงวิชาสำหรับบำรุงร่างกาย แม้จะมีผลเล็กน้อยต่อการเพิ่มพูนพลังเวท แต่ก็ไม่ใช่วิชาฝึกพลังอย่างแท้จริง

“แล้วเจ้ากลับสามารถฝึกจนเกิดพลังเวทได้จากวิชาฝึกกายเพียงเท่านั้น?!”

ใบหน้าของเกาเหรินดูเหมือนจะรับความจริงนี้ไม่ไหว เขายืนนิ่งอยู่นานก่อนจะกลับมามองจางจิ่วหยางราวกับเห็นตัวประหลาด

จางจิ่วหยางพยักหน้า แน่นอนว่าเขาไม่อาจเปิดเผยความลับเรื่องการกลืนกินปีศาจได้ จึงได้แต่ยอมรับด้วยหน้าหนา ๆ

เกาเหรินดูเหมือนจะได้รับแรงกระแทกครั้งใหญ่ ใช้เวลานานกว่าจะรวบรวมสติกลับมาได้ เขามองจางจิ่วหยางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างมาก

“ท่านลุงเจียง ท่านพอจะสอนวิชาให้ข้าได้ไหม?” จางจิ่วหยางถามด้วยแววตาเต็มไปด้วยความหวัง

เขารู้ดีว่าคำขอนี้อาจเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะสำหรับผู้ฝึกตนแล้ว วิชาฝึกพลังถือเป็นความลับสูงสุด นอกจากศิษย์ที่แท้จริงหรือบุตรหลานแล้ว มักจะไม่ถ่ายทอดให้ผู้อื่น

แต่จางจิ่วหยางไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว หลังจากกลืนกินปีศาจเข้าไป พลังเวทในร่างของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากกระแสพลังเล็ก ๆ กลายเป็นสายน้ำที่ไหลเชี่ยว ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องดี แต่ปัญหาคือพลังเหล่านี้เริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่ง

พวกมันไหลเวียนในเส้นลมปราณอย่างไร้ทิศทาง ทำให้ร่างกายของจางจิ่วหยางรู้สึกเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้ เขายังรู้สึกเหมือนตัวเองรับพลังมากเกินไป

อวิ๋นเหนียงนั้นแข็งแกร่งกว่าเขามาก จนทำให้จิตวิญญาณของเขารู้สึกเหมือนจะระเบิด พลังจำนวนมากแฝงตัวอยู่ในเลือดเนื้อของเขา ไม่อาจย่อยสลายได้ จำเป็นต้องหาวิธีปลดปล่อยออกมา

หากปล่อยไว้นานโดยไม่มีทางระบาย เกรงว่าจากเรื่องดีอาจกลายเป็นเรื่องร้าย

ลุงเจียงทำท่าทางบางอย่างอีกครั้ง

“พี่จิ่ว ท่านพ่อบอกว่าวิชาของท่านไม่เหมาะกับพี่”

จางจิ่วหยางรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ยังยิ้มรับอย่างเข้าใจ “ไม่เป็นไร เมื่อถึงทางตันย่อมมีทางออกเอง บางทีแผนภาพวิญญาณอาจถ่ายทอดวิชาให้ข้าอีกก็ได้”

แต่ในขณะนั้นเอง อาหลี่พูดขึ้นอีกครั้ง “พี่จิ่ว ท่านพ่อบอกว่าวิชาของท่านลุงอ้วนผู้นี้เหมาะกับพี่มาก และดูเหมือนจะเป็นวิชาที่เก่งกาจมากเลยด้วย!”

“เพียงแต่ว่าเขาไม่มีพรสวรรค์ ฝึกอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ท่านพ่อบอกว่า…เปลืองของ”

เกาเหริน : “…”

คำพูดไร้เดียงสาเช่นนี้ช่างทิ่มแทงหัวใจคนเสียจริง!

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด