บทที่ 148: ความสับสนของนายพล
บทที่ 148: ความสับสนของนายพล
แสงอาทิตย์ยามเย็นโอบกอดผืนโลกด้วยแสงอันอบอุ่น, มอบความสงบเงียบให้กับโลกที่แสนวุ่นวาย
รถหรูแล่นไปตามถนนที่คดเคี้ยวขึ้น, จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้าประตูรั้วของคฤหาสน์หลังใหญ่
“ซิงหยู ถึงบ้านฉันแล้ว!” มู่หรงหยางซั่วพูดพลางโอบไหล่เซียวซิงหยู ชี้นิ้วอีกข้างไปที่ป้ายเหนือประตูรั้ว
เมื่อเซียวซิงหยูเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็เห็นตัวอักษรสีทองสามคำสลักไว้อย่างสวยงามบนป้าย: คฤหาสน์นายพล
ในระบบกองทัพของประเทศมังกร มีเพียงทหารระดับนายพลเท่านั้นที่จะได้รับพระราชทานคฤหาสน์นายพลจากองค์จักรพรรดินี
คฤหาสน์ที่กินพื้นที่เกือบครึ่งภูเขาลูกนี้ คือคฤหาสน์ที่จักรพรรดินีซ่างกวนหลานพระราชทานให้นายพลมู่หรงจิน
“คุณชาย คุณหนู ท่านผู้นี้คือ…” ทหารยามที่ประตูโค้งคำนับให้มู่หรงหยางซั่วและมู่หรงซินซินอย่างนอบน้อม
“เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นของฉัน ฉันกับน้องสาวชวนเขามากินข้าวที่บ้านน่ะ” มู่หรงหยางซั่วอธิบาย
“อ้อ เพื่อนของคุณชายกับคุณหนูเหรอครับ….เชิญครับ เชิญ”
เมื่อเข้ามาในคฤหาสน์ เซียวซิงหยูก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
ถึงแม้คฤหาสน์นี้จะมีพื้นที่กว้างขวาง แต่การตกแต่งกลับดูเรียบง่ายมาก ในสวนมีเพียงต้นไม้และดอกไม้ที่ได้รับการดูแลอย่างดี ไม่มีแม้แต่รูปปั้นหรือเครื่องประดับตกแต่งราคาแพง
จากตรงนี้ ทำให้เห็นได้ว่ามู่หรงจินเป็นคนสมถะ ต่างจากขุนนางคนอื่นๆ ที่ชอบใช้จ่ายฟุ่มเฟือยกับการตกเเต่ง
“พ่อ พวกเรากลับมาแล้ว!”
“กลับมาก็ดีเเล้ว รีบไปล้างมือ…พ่อกำลังผัดกับข้าวอีกอย่างเดียว อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว!” เสียงทุ้มดังมาจากในครัว
“พี่หยางซั่ว พ่อพี่ทำอาหารเองด้วยเหรอ?” เซียวซิงหยูถามอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ใช่ ตั้งแต่ฉันกับน้องอายุหกขวบ พวกเราก็กินอาหารที่พ่อทำมาตลอดนั่นแหละ”
เซียวซิงหยูไม่ได้พูดอะไรต่อ เขารู้ว่าแม่ของมู่หรงหยางซั่วและซินซินเสียไปนานแล้ว
ตลอดช่วงวัยเด็กของทั้งคู่ มู่หรงจินจึงต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ คอยเลี้ยงดูลูกๆทั้งสอง มาด้วยตัวคนเดียว
…..
สิบนาทีต่อมา
อาหารหน้าตาน่ารับประทานก็ถูกจัดวางเรียงรายจนเต็มโต๊ะ
ถึงแม้จะเป็นเพียงอาหารบ้านๆ แต่ฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวคนนี้ก็ไม่ธรรมดาเลย
และพ่อครัวคนที่ว่า ตอนนี้ก็กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามเซียวซิงหยู
ในสายตาของคนทั่วไป เขาคือมู่หรงจิน ผู้บัญชาการกองทัพเรืออันยิ่งใหญ่เเละเกรียงไกร
“สวัสดีครับนายพลมู่หรง ผมเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับบุคคลสำคัญอย่างท่าน” เซียวซิงหยูกล่าวพรางก้มหัวอย่างสุภาพ
มู่หรงจินมองสำรวจชายหนุ่มตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
“พ่อหนุ่ม ฉันได้ยินหยางซั่วบอกว่าเธอเป็นคนร่าเริง แต่ทำไมวันนี้ดูเกร็งๆล่ะ?”
เซียวซิงหยูฝืนยิ้ม เเละในใจกำลังกรีดร้องว่า
“ผมจะไม่เกร็งได้ยังไงล่ะครับ ก็ก่อนหน้านี้ผมเคยสู้กับท่านที่เกาะน้ำแข็งเพลิงมานี่!”
บนใบหน้าของมู่หรงจินยังมีรอยแผลอยู่จางๆ, เเละรอยแผลนั้นเป็นฝีมือของจิ้งจอกเก้าหางเดลลู
มู่หรงจินจ้องมองเซียวซิงหยูอย่างพิจารณา ทันใดนั้นในใจของเขากลับรู้สึกแปลกๆ
“ไม่รู้ทำไม ถึงแม้จะเพิ่งเคยเจอเจ้าหนูนี่เป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกเหมือนเคยเจอที่อื่นอย่างบอกไม่ถูก”
“เเถมยิ่งมองนานๆ ฉันก็ยิ่งรู้สึกกดดัน…”
มู่หรงจินเอามือลูบใบหน้าโดยไม่รู้ตัว แต่เขาก็ไม่คิดสงสัยเลยว่าชายชุดดำที่สามารถเผชิญหน้ากับเขาได้ในตอนนั้น จะเป็นเด็กหนุ่มตรงหน้า
“เซียวซิงหยู ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้น, ลองชิมซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานนี่ดูสิ”
“ขอบคุณครับท่านนายพล”
“เรียกอะไรอย่างนั้น เธอเป็นเพื่อนของหยางซั่วกับซินซิน เรียกฉันว่าคุณอาเถอะ”
“ครับคุณอา ฝีมือทำอาหารของคุณอาสุดยอดไปเลยครับ!”
ฝีมือการทำอาหารของมู่หรงจินไม่ธรรมดาจริงๆ อาหารของเขาอร่อยเทียบกับเชฟมืออาชีพตามร้านอาหารได้เลย เซียวซิงหยูจึงกินข้าวหมดชามในเวลาไม่นาน
“ซิงหยู ฉันเติมข้าวให้นายเอง” มู่หรงหยางซั่วอาสา
“ไม่ต้องหรอกพี่หยางซั่ว ผมเติมเองได้”
“ไม่ได้หรอก นายมาบ้านฉันครั้งแรก ถือเป็นแขกของฉัน ฉันต้องดูแลนายให้ดีสิ”
การได้พบเจอเพื่อนที่จริงใจในยุคสมัยที่ผู้คนต่างมีเบื้องหลังเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องโชคดีสำหรับเซียวซิงหยู
บนโต๊ะอาหาร ด้วยอารมณ์ขันและคารมคมคายของเซียวซิงหยู ทำให้เขาเข้ากับครอบครัวนี้ได้อย่างรวดเร็ว
มู่หรงจินมองเซียวซิงหยูด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยปากชมจากใจจริง
“เซียวซิงหยู ฉันได้ดูการแข่งขันซูเปอร์โนวาผ่านวิดีโอในอินเทอร์เน็ตแล้วนะ”
“หลังจากดูจบ ฉันรู้สึกอย่างเดียวเลยว่าคลื่นลูกหลังกำลังไล่ซัดคลื่นลูกเก่า เด็กรุ่นใหม่อย่างเธอนี่น่าเกรงขามจริงๆ!”
บุคคลสำคัญทุกคนที่เคยพบกับเซียวซิงหยู ต่างก็พูดคำว่า “น่าเกรงขาม” ออกมาโดยไม่รู้ตัว
ไม่ต้องพูดถึงพรสวรรค์และความสามารถของเซียวซิงหยู เเม้แต่ไหวพริบในการต่อสู้และความสุขุมเยือกเย็น มันก็ล้วนมากล้นเกินวัยของเขา
เเละสิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติของบุคคลสำคัญทั้งนั้น
“คุณอามู่หรงชมเกินไปแล้วครับ ผมแค่โชคดีนิดหน่อยน่ะครับ”
“ฮ่าๆๆ เจ้าหนูนี่ถ่อมตัวจริงๆ”
มู่หรงจินผ่านสมรภูมิรบมานับครั้งไม่ถ้วน พบเจออัจฉริยะมามากมาย…สายตาในการมองคนของเขาจึงค่อนข้างแม่นยำกว่าคนปกติ
เขารู้ดีว่าที่เซียวซิงหยูมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่เพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะพรสวรรค์และสติปัญญาอันน่าทึ่งของเขา
แม้กระทั่งตอนนี้ที่กำลังดื่มเหล้าพูดคุยกัน บางครั้งมู่หรงจินก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างแวบเข้ามาในหัว…เขารู้สึกเหมือนมีผ้าคลุมบางๆปกปิดใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้เอาไว้ ทำให้เขาไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้
“พ่อ! ผมมีข่าวดีจะบอก เรียงความวิชาทฤษฎีของผมได้รางวัลชนะเลิศระดับวิทยาลัย พ่อต้องให้รางวัลผมนะ!” หยางซั่วพูดอย่างตื่นเต้นพลางเปิดกระเป๋าออกมา
มู่หรงจินขมวดคิ้ “พ่อจำได้ว่าลูกเรียนวิชาทฤษฎีไม่เก่งนี่ เรียงความได้รางวัลชนะเลิศ? ลอกเขามาหรือเปล่า?”
…………………
มู่หรงหยางซั่วหยิบใบรับรองออกจากกระเป๋านักเรียนของเขา
มู่หรงจินดึงไปมองดูใกล้ๆ ในใบรับรองอ่านได้ชัดเจนว่า: [ขอแสดงความยินดีกับมู่หรงหยางซั่ว ผู้ชนะรางวัลที่หนึ่งด้านเรียงความ ด้วยบทความของเขา "พ่อของฉันคือพลเรือเอก"]
รางวัลนี้ทำให้บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไป
มู่หรงจินจับหน้าผากแล้วยกยิ้มอย่างนึกถึงบางสิ่ง: "เจ้าเด็กนี่...สมเเล้วที่จะเป็นลูกของฉัน!"
เมื่อเห็นฉากนี้ เซียวซิงหยูก็ถามอย่างสงสัย "ซินซิน พ่อของเธอเป็นอะไรหรือเปล่า"
"ตอนที่พ่ออยู่ในโรงเรียน เขาก็เขียนเรียงความ "พ่อของฉันคือพลเรือเอก" และได้รับรางวัลชนะเลิศเหมือนพี่ชายนี่เเหละ" มู่หรงซินซินตอบตามความเป็นจริง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซียวซิงหยูก็นึกขึ้นได้ว่าตระกูลมู่หรงเป็นพลเรือเอกมาหลายชั่วอายุคน
แต่เมื่อหลายปีก่อนปู่ของพวกเขาเเละคนของตระกูลมู่หรงมากมายเสียชีวิตในทะเล…ปัจจุบัน สมาชิกสายเลือดตรงของตระกูลมู่หลงจึงมีเเค่มู่หรงจินและพี่น้องมู่หรง คนอื่นๆทั้งหมดเสียชีวิตในสนามรบและสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ
สายเลือดของตระกูลมู่หรงเต็มไปด้วยความภักดี, นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตระกูลมู่หรงจึงเป็นที่รักของผู้คนมากที่สุดในบรรดาสี่ตระกูลหลัก
…..
หลังจากชื่นชมมู่หรงหยางซั่วเเล้ว พวกเขาก็เริ่มทานอาหารกันต่อ
มู่หรงซินซินกำลังจะทานของที่เธอชอบ ทันใดนั้นเธอก็มองเห็นความลำบากของเซียวซิงหยูจากหางตาของเธอ
โต๊ะทานอาหารมีขนาดใหญ่และมีจานให้เลือกหลากหลาย, หนึ่งในอาหารคือกุ้งตุ๋นซึ่งอยู่ห่างจากเซียวซิงหยูมาก
เซียวซิงหยู่เหยียดแขนออกไปหลายครั้ง แต่ตะเกียบของเขาก็ไม่สามารถหยิบกุ้งตุ๋นได้เลย
เเละในฐานะแขกที่มาครั้งแรก การยืนขึ้นเพื่อรับอาหารถือเป็นการไม่สุภาพอย่างเห็นได้ชัด…เซียวซิงหยู่จึงยอมแพ้เพียงแค่นั้น
เเต่ทันใดนั้นเอง กุ้งตุ๋นก็ตกลงไปในชามของเซียวซิงหยูเเละฉากนี้ทำให้มู่หรงจินถึงกับตะลึงอย่างมาก!
เเละนั่นก็เป็นเพราะ เมื่อครู่นี้มู่หรงซินซินคีบกุ้งตุ๋นแล้วใส่ลงในชามของเซียวซิงหยู
มู่หรงจินตกตะลึงอยู่เป็นเวลานาน และหัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยคลื่นของความสับสน
“ฉันเลี้ยงดูลูกสาวคนนี้มามากกว่าสิบปี…เเต่เธอไม่เคยทำอะไรให้ฉันเเบบนี้เลย”
เซียวซิงหยู่ดูเหมือนเขากำลังเพลิดเพลินกับการเคี้ยวกุ้งแสนอร่อย, เขาจึงไม่ทันสังเกตเห็นอาการมึนงงของมู่หรงจิน
“ซินซิน ขอบคุณนะ”
“นายอยากกินอะไรอีกล่ะ ถ้าไปไม่ถึง ฉันช่วยนายหยิบมันขึ้นมาได้”
เเต่ก่อนที่เซียวซิงหยูจะได้พูดอะไร มู่หรงซินซินก็รีบคีบอาหารอีกครั้ง
“ลองปลากะพงนึ่งสิ รสชาติดีมาก”
“หมูผัดพริกก็อร่อยนะ ต้องเอามาผสมกับซุปด้วย”
“และไก่ผัดขิงอันนี้ของพ่อฉันก็น่าลองเหมือนกัน”
เซียวซิงหยู่ยอมรับของทุกอย่างจากมู่หรงซินซินและกินอย่างมีความสุข
“พ่อ ทำไมถึงนิ่งเเบบนั้นล่ะ” มู่หรง หยางซั่วยกมือขึ้นแล้วโบกมือต่อหน้ามู่หรงจิน
“ลูกสาวของฉันป่วยหรือเปล่า? ทำไมเธอถึงพูดมากมายขนาดนี้?”
“ฉันจำได้ว่าเด็กคนนี้ไม่เคยคุยกับฉันเกินสองประโยคเลย!”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเเน่?”
………………