ตอนที่ 23 บรรพชนมหาจักรพรรดิลงมือ บดขยี้กึ่งปราชญ์
ตอนที่ 23 บรรพชนมหาจักรพรรดิลงมือ บดขยี้กึ่งปราชญ์
ฝ่ายสำนักดาบสวรรค์นั้น
พวกเขาเห็นสิ่งใดอยู่กันเล่า?
บรรพชนของพวกเขาถูกบดขยี้จนสิ้น!
บรรพชนลาลับโลกไปเสียแล้ว!
จบสิ้น! ทุกสิ่งจบสิ้นแล้ว!
บรรพชนผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเบิกฟ้าสิ้นชีพลงเช่นนี้ พลังของสำนักจึงลดลงอย่างใหญ่หลวง เกรงว่าจากนี้คงไม่อาจหยิ่งผยองได้ดั่งเดิมแล้ว
นอกจากนี้แล้วยังจะเปิดโอกาสให้สำนักอื่นที่คอยจ้องอยู่ เข้ามาหุบเหยื่อ
คิดได้ดังนี้
พวกเขาใช้ดวงตาเล็กๆอันแหลมคมจ้องมองเหลือบไปยังสามผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเบิกฟ้าที่เหลืออยู่
“ตายไปเถิด! ตายเสียเถิด!”
หากพวกเขาล้มตายลงไป สำนักก็จะกลับมามีความสมดุลอีกครั้ง
…
“โอ้โห! บรรพชนจากสำนักดาบสวรรค์ ถูกบดขยี้จนสิ้น!”
ชายคนหนึ่งอุทานออกมา น่องไก่ในมือเขาหล่นลงพื้น
ผู้แข็งแกร่งของสำนักชิงหยุนสามารถต่อกรกับศัตรูทั้งสี่โดยไม่เสียเปรียบก็พอแล้ว
กลับยิ่งสู้ยิ่งดุเดือด แค่เสียงคำรามก็บดขยี้บรรพชนของสำนักดาบสวรรค์จนกลายเป็นฝุ่นเลือด
ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!
สำนักดาบสวรรค์ นั้นชื่อเสียงเลื่องลือในทางชั่วร้าย เป็นที่เกลียดชังที่ทุกคนอยากจะเห็นพินาศ
หากมิใช่ว่าตนสู้พวกนั้นมิได้ คงจะได้ให้พวกมันลิ้มรสพลังของกระบองเหล็กใหญ่ในมือไปนานแล้ว แต่น่าเสียดายที่พวกมันเก่งเกินไป
ทางฝ่ายขุมอำนาจใหญ่ที่เหลืออยู่อีกสามผู้อาวุโสในขอบเขตเบิกฟ้าก็รู้สึกหวั่นไหวไม่ต่างกัน
ยิ่งไปกว่านั้นที่ท้อใจที่สุดคงหนีไม่พ้นเจ้าสำนักเทียนจีสาขาภาคตะวันออก
“เหตุใดเราทั้งคู่ต่างก็อยู่ในขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุดเหมือนกันแท้ๆ แต่เหตุไฉนเจ้าจึงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?”
อวัยวะภายในทั้งห้าของเขาถูกพลังของชายตรงหน้าสั่นสะเทือนไปไม่เบา
“ฮ่าๆ เท่านี้หรือ? มีความสามารถเท่านี้รึ?”
“ดูเหมือนว่าพวกแมวหมาพเนจรทั้งหลายก็กล้าบุกรุกสำนักชิงหยุนของข้าแล้ว”
เย่ไป๋เห็นศัตรูทั้งสามยิ่งสู้ยิ่งลำบากขึ้นทุกที ขณะสู้ขณะถอย เขาหัวเราะลั่นพลางกล่าวด้วยความดูแคลน
“เจ้าเด็กน้อย อย่ามั่นใจในตนเกินไปนัก ยังมีท่านอาวุโสจากสำนักหลักเทียนจีที่ยังมิได้ออกโรง”
“ขอเชิญท่านผู้อาวุโสโปรดลงมือด้วยเถิด!”
เจ้าสำนักเทียนจีเห็นทั้งสามคนที่ร่วมมือกันยังไม่อาจเอาชนะได้ เกรงว่าหากสู้ต่อไปคงไม่ต่างกับชะตากรรมของบรรพชนสำนักดาบสวรรค์จึงหันไปตะโกนขึ้นเรือรบใหญ่
“ช่างเป็นพวกไร้ค่าเสียจริง!
สุดท้ายก็ต้องให้ข้าลงมือเอง”
บนเรือรบใหญ่ที่สุดของฝ่ายสำนักต่างๆ ปรากฏชายชราผมหงอกใบหน้าอ่อนวัยเหินออกมาสู่ท้องฟ้า
ชายชรานั้นยืนด้วยท่าทางมือไขว้หลัง มองลงมายังคนของสำนักชิงหยุนด้วยแววตาหยิ่งผยอง
“ชายชราคนนี้เป็นใครกัน? เหตุใดเจ้าสำนักเทียนจีจึงต้องเรียกเขาว่า ท่านอาวุโสผู้อาวุโส?”
“เจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว นี่คือผู้อาวุโสแห่งสำนักหลักเทียนจีในดินแดนภาคกลาง! สำนักเทียนจีของพวกเราที่นี่เป็นเพียงสาขาเล็กๆเท่านั้นเอง”
ภาคกลาง! สำนักเทียนจี!
ผู้คนรอบข้างได้เปิดหูเปิดตาอีกครั้ง ด้วยการปรากฏตัวของผู้แข็งแกร่งจากภาคกลาง
เมื่อผู้อาวุโสท่านนี้ลงมือ สามอาวุโสในขอบเขตเบิกฟ้าที่เหลืออยู่รีบถอยหลังไปทันที
ชายชราผู้นี้น่ากลัวเกินไป
“โอ้โห ชายแก่ เจ้าก็มารนหาที่ตายด้วยหรือ?”
เย่ไป๋เห็นว่าชายชราผู้มาใหม่มีระดับการบ่มเพาะที่ไม่อาจคาดเดาได้ ดวงตาจึงเคร่งขรึมขึ้น แต่ก็ยังคงปากกล้าไม่หยุด
“เจ้าเด็กโง่ ตอนที่ข้าตระเวนไปทั่วดินแดนภาคกลาง เจ้ายังมัวเล่นดินโคลนอยู่เลย
วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้าไก่ดินสุนัขดอน ได้เห็นถึงพลังที่แท้จริงเสียที!”
ชายชรานั้นพูดจบก็ระเบิดพลังการบ่มเพาะออกมา พลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทาง
แรงกดดันจากกลิ่นอายแห่งขอบเขตปราชญ์ปะทุออกมาจากร่างของชายชรา สร้างความรู้สึกไร้ผู้ต้านทานได้
แรงปะทะที่รุนแรงทำให้เรือรบของฝ่ายพันธมิตรต่างๆ ถูกผลักถอยหลังไปอย่างรุนแรง
ผู้คนที่อยู่ไกลออกไปซึ่งกำลังเฝ้าดูเหตุการณ์ต่างถูกแรงกดดันกดทับจนไม่อาจขยับตัวได้
แต่ฝั่งของเฟิงชิงหยางนั้นกลับไม่มีท่าทีใดๆ ยังคงยืนหยัดอย่างสงบเยือกเย็น
“ท่านอาจารย์ ชายชราคนนี้แข็งแกร่งมาก!”
สำหรับสือฮ่าวและหลินไป๋แล้ว ชายชราผู้นี้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่พวกเขาเคยพบเห็นจนถึงตอนนี้
แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้เลยว่า ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ข้างกายพวกเขานั้น คือผู้บ่มเพาะที่อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิ
ด้วยการตบเพียงครั้งเดียว ชายชราผู้นี้คงตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ก็แค่แมลง” เฟิงชิงหยางกล่าวด้วยความไม่ไยดี
เฟิงชิงหยางเปิดระบบขึ้นมาเพื่อตรวจสอบข้อมูลของชายชราผู้นี้
เขาอยู่ในระดับครึ่งก้าวสู่ขอบเขตปราชญ์หรือก็คือ กึ่งปราชญ์!
หลังจากขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุด ก็คือขอบเขตปราชญ์ แต่ระหว่างสองขอบเขตนี้นั้นเป็นความแตกต่างอันใหญ่หลวง เปรียบเสมือนการยกระดับสู่ชีวิตใหม่อย่างสมบูรณ์
ไม่รู้มีอัจฉริยะในอดีตจำนวนเท่าใดที่ต้องหยุดอยู่ที่ขอบเขตนี้
ผู้ที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์ได้นั้น ต้องแปรสภาพพลังวิญญาณทั้งหมดให้กลายเป็นพลังปราชญ์ที่บริสุทธิ์ หากยังไม่สามารถแปรสภาพได้ทั้งหมดจะเรียกว่ากึ่งปราชญ์
แม้แต่กึ่งปราชญ์ก็มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุด สิบขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุดก็ไม่อาจต่อกรกับกึ่งปราชญ์ได้
ในหมู่ผู้บ่มเพาะยังมีคำกล่าวที่เล่าลือกันว่า: “เบิกฟ้า ดูดกลืนพลังปราชญ์ ยืนหยัดขึ้นเป็นปราชญ์ได้ในทันที!”
“คิดจะข่มขู่ใครกัน ชายแก่
คิดว่ามีแต่พวกเจ้าที่ผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งหรือไร?
ข้าเป็นเพียงผู้อาวุโสสายนอกของสำนักชิงหยุนเท่านั้น ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าข้ามีอีกมากมาย เจ้าจงรอรับมือเถิด!”
เมื่อชายชราปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งขอบเขตปราชญ์ออกมา ย่อมทำให้เย่ไป๋รู้ตัวดีว่าเขาไม่อาจต่อกรได้ จึงถอยกลับมา
ผู้อาวุโสสายนอก!
นี่กำลังล้อเล่นหรือ? เพียงผู้อาวุโสสายนอกกลับสามารถบดขยี้พลังของเหล่าขุมอำนาจในแคว้นหลิงโจวได้ สำนักชิงหยุนนี้มีพลังแข็งแกร่งเพียงใดกัน
หรือว่าสำนักชิงหยุนเป็นสำนักโบราณที่ซ่อนตัวและมีพลังเทียบเท่ากับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของภาคกลาง?
ผู้คนต่างเริ่มจินตนาการอย่างคาดเดาเมื่อได้ยินคำพูดของหลินไป๋
“ข้าไม่ชอบให้ใครมองข้าจากที่สูง ดังนั้นเจ้าต้องตาย!”
ผู้อาวุโสสำนักเทียนจียังครุ่นคิดคำพูดของเย่ไป๋
แต่ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงจากชายหนุ่มขอบเขตผู้ไร้มลทินด้านล่างที่กล่าวว่าตนต้องตาย?
"ฮ่าๆ ช่างเป็นพวกเขลาจริงๆ พูดอะไรโง่ๆ ออกมา!"
"ให้ข้าตายอย่างนั้นหรือ เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็น..."
ยังไม่ทันได้กล่าวจบ
บรรพชนหลี่ชิงหยุนยื่นมือออกมาบีบเขาอย่างรวดเร็ว
เพียงการบีบเบาๆ ก็ทำให้ร่างของเขาระเบิดแตกกระจาย ทันที
เลือดอันบริสุทธิ์ของปราชญ์โปรยปรายจากฟากฟ้า หล่อเลี้ยงพื้นดินด้วยความอุดมสมบูรณ์
กลิ่นอายแห่งปราชญ์พลันสลายไปในสายลม แรงกดดันวิญญาณกที่ทับถมอยู่บนร่างของผู้คนก็พลันจางหายไปสิ้น
"เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว"
เกิดอะไรขึ้น?
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที
เมื่อครู่ผู้อาวุโสของสำนักเทียนจียังเย่อหยิ่งผยองอยู่ แต่กลับ
ถูกบดขยี้เพียงพริบตา
ผู้คนต่างตกตะลึง ผู้ที่ถูกสังหารนั้นเป็นถึงผู้บ่มเพาะจากภาคกลาง!
เป็นผู้ที่อยู่เหนือขอบเขตเบิกฟ้า แต่กลับถูกจับขึ้นเหมือนลูกไก่แล้วบดขยี้!
"ท่าน!"
ฝ่ายขุมอำนาจใหญ่ต่างๆหวาดกลัวจนขาอ่อนแรง
ผู้ที่ขลาดกลัวถึงกับตกใจจนไม่อาจกลั้นตนเองไว้ได้บริเวณรอบๆพลันเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคลุ้ง
พวกเขาได้ไปยั่วยุสำนักเช่นไรนี่กันแน่
แม้แต่ผู้บ่มเพาะจากภาคกลางยังถูกบดขยี้!
หากรู้แต่แรก ก็จะเข้ามาขอขมาสำนักชิงหยุนอย่างนอบน้อมแล้วแท้ๆ
แต่ในโลกนี้ไม่มี "ยาแก้เสียใจ" หรอก
"ทุกคนที่เข้าร่วมการจู่โจมครานี้ ห้ามให้เหลือแม้แต่คน
เดียว"
เขาหาใช่คนใจบุญแต่อย่างไร ใครเล่าจะยอมปล่อยศัตรูที่ตั้งใจมาทำลายตนเองให้หลุดมือไป เพียงเพื่อจะกลายเป็นภัยใน
อนาคต?
จงจำไว้ว่า "หญ้าป่าที่เผาไม่หมด เมื่อสายลมแห่งฤดูใบไม้
ผลิพัดผ่าน มันก็จะงอกใหม่อีกครั้ง"
"รับทราบ ท่านเจ้าสำนัก"
หลี่ชิงหยุนรับคำสั่งแล้วเริ่มการสังหารอย่างไม่ลังเล
"อย่าฆ่าพวกเรา!"
"พวกเราจะไม่กล้าอีกแล้ว ขอท่านเจ้าสำนักชิงหยุนโปรดเมตตา!"
"พวกเรายินดีสวามิภักดิ์ต่อสำนักชิงหยุน และยอมมอบทรัพยากรทั้งหมดให้!"
แต่เฟิงชิงหยางเพียงยักไหล่และกล่าวเบาๆ "ช่างเขลาเสียจริง ฆ่าพวกเจ้าแล้ว ทรัพยากรพวกนั้นก็เป็นของข้าอยู่ดี"
ส่วนการยอมสวามิภักดิ์ต่อสำนักชิงหยุน? ขอโทษที ข้า
ไม่ต้องการ
ทันใดนั้น บรรพชนขอบเขตมหาจักรพรรดิสะบัดแขนเสื้อ ด้วยแรงมหาศาล เกิดเป็นกระแสพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่กรีดผ่านท้องฟ้าและพุ่งตรงไปยังบรรดาขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลาย
ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีด พวกเขาถูกฉีกกระชากจนกลายเป็นเศษซากที่ปลิวหายไปในสายลม
เหลือเพียงผู้ชมจำนวนมหาศาลที่ยืนอยู่รอบนอก
เฟิงชิงหยางก้าวเดินอย่างเชื่องช้าขึ้นไปข้างหน้า ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"ข้าขอกล่าวเพียงประโยคเดียว
นับจากนี้ไป แคว้นหลิงโจวจะอยู่ใต้การปกครองของสำนักชิง
หยุน
ผู้ใดเห็นด้วย ผู้ใดคัดค้าน?"