ตอนที่แล้วตอนที่ 22 เลือดสาดกระเซ็น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 24 ปกครองแคว้นหลิงโจว สร้างเมืองชิงหยุน

ตอนที่ 23 บรรพชนมหาจักรพรรดิลงมือ บดขยี้กึ่งปราชญ์


ตอนที่ 23 บรรพชนมหาจักรพรรดิลงมือ บดขยี้กึ่งปราชญ์

ฝ่ายสำนักดาบสวรรค์นั้น

พวกเขาเห็นสิ่งใดอยู่กันเล่า?

บรรพชนของพวกเขาถูกบดขยี้จนสิ้น!

บรรพชนลาลับโลกไปเสียแล้ว!

จบสิ้น! ทุกสิ่งจบสิ้นแล้ว!

บรรพชนผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเบิกฟ้าสิ้นชีพลงเช่นนี้ พลังของสำนักจึงลดลงอย่างใหญ่หลวง เกรงว่าจากนี้คงไม่อาจหยิ่งผยองได้ดั่งเดิมแล้ว

นอกจากนี้แล้วยังจะเปิดโอกาสให้สำนักอื่นที่คอยจ้องอยู่ เข้ามาหุบเหยื่อ

คิดได้ดังนี้

พวกเขาใช้ดวงตาเล็กๆอันแหลมคมจ้องมองเหลือบไปยังสามผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเบิกฟ้าที่เหลืออยู่

“ตายไปเถิด! ตายเสียเถิด!”

หากพวกเขาล้มตายลงไป สำนักก็จะกลับมามีความสมดุลอีกครั้ง

“โอ้โห! บรรพชนจากสำนักดาบสวรรค์ ถูกบดขยี้จนสิ้น!”

ชายคนหนึ่งอุทานออกมา น่องไก่ในมือเขาหล่นลงพื้น

ผู้แข็งแกร่งของสำนักชิงหยุนสามารถต่อกรกับศัตรูทั้งสี่โดยไม่เสียเปรียบก็พอแล้ว

กลับยิ่งสู้ยิ่งดุเดือด แค่เสียงคำรามก็บดขยี้บรรพชนของสำนักดาบสวรรค์จนกลายเป็นฝุ่นเลือด

ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!

สำนักดาบสวรรค์ นั้นชื่อเสียงเลื่องลือในทางชั่วร้าย เป็นที่เกลียดชังที่ทุกคนอยากจะเห็นพินาศ

หากมิใช่ว่าตนสู้พวกนั้นมิได้ คงจะได้ให้พวกมันลิ้มรสพลังของกระบองเหล็กใหญ่ในมือไปนานแล้ว แต่น่าเสียดายที่พวกมันเก่งเกินไป

ทางฝ่ายขุมอำนาจใหญ่ที่เหลืออยู่อีกสามผู้อาวุโสในขอบเขตเบิกฟ้าก็รู้สึกหวั่นไหวไม่ต่างกัน

ยิ่งไปกว่านั้นที่ท้อใจที่สุดคงหนีไม่พ้นเจ้าสำนักเทียนจีสาขาภาคตะวันออก

“เหตุใดเราทั้งคู่ต่างก็อยู่ในขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุดเหมือนกันแท้ๆ แต่เหตุไฉนเจ้าจึงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?”

อวัยวะภายในทั้งห้าของเขาถูกพลังของชายตรงหน้าสั่นสะเทือนไปไม่เบา

“ฮ่าๆ เท่านี้หรือ? มีความสามารถเท่านี้รึ?”

“ดูเหมือนว่าพวกแมวหมาพเนจรทั้งหลายก็กล้าบุกรุกสำนักชิงหยุนของข้าแล้ว”

เย่ไป๋เห็นศัตรูทั้งสามยิ่งสู้ยิ่งลำบากขึ้นทุกที ขณะสู้ขณะถอย เขาหัวเราะลั่นพลางกล่าวด้วยความดูแคลน

“เจ้าเด็กน้อย อย่ามั่นใจในตนเกินไปนัก ยังมีท่านอาวุโสจากสำนักหลักเทียนจีที่ยังมิได้ออกโรง”

“ขอเชิญท่านผู้อาวุโสโปรดลงมือด้วยเถิด!”

เจ้าสำนักเทียนจีเห็นทั้งสามคนที่ร่วมมือกันยังไม่อาจเอาชนะได้ เกรงว่าหากสู้ต่อไปคงไม่ต่างกับชะตากรรมของบรรพชนสำนักดาบสวรรค์จึงหันไปตะโกนขึ้นเรือรบใหญ่

“ช่างเป็นพวกไร้ค่าเสียจริง!

สุดท้ายก็ต้องให้ข้าลงมือเอง”

บนเรือรบใหญ่ที่สุดของฝ่ายสำนักต่างๆ ปรากฏชายชราผมหงอกใบหน้าอ่อนวัยเหินออกมาสู่ท้องฟ้า

ชายชรานั้นยืนด้วยท่าทางมือไขว้หลัง มองลงมายังคนของสำนักชิงหยุนด้วยแววตาหยิ่งผยอง

“ชายชราคนนี้เป็นใครกัน? เหตุใดเจ้าสำนักเทียนจีจึงต้องเรียกเขาว่า ท่านอาวุโสผู้อาวุโส?”

“เจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว นี่คือผู้อาวุโสแห่งสำนักหลักเทียนจีในดินแดนภาคกลาง! สำนักเทียนจีของพวกเราที่นี่เป็นเพียงสาขาเล็กๆเท่านั้นเอง”

ภาคกลาง! สำนักเทียนจี!

ผู้คนรอบข้างได้เปิดหูเปิดตาอีกครั้ง ด้วยการปรากฏตัวของผู้แข็งแกร่งจากภาคกลาง

เมื่อผู้อาวุโสท่านนี้ลงมือ สามอาวุโสในขอบเขตเบิกฟ้าที่เหลืออยู่รีบถอยหลังไปทันที

ชายชราผู้นี้น่ากลัวเกินไป

“โอ้โห ชายแก่ เจ้าก็มารนหาที่ตายด้วยหรือ?”

เย่ไป๋เห็นว่าชายชราผู้มาใหม่มีระดับการบ่มเพาะที่ไม่อาจคาดเดาได้ ดวงตาจึงเคร่งขรึมขึ้น แต่ก็ยังคงปากกล้าไม่หยุด

“เจ้าเด็กโง่ ตอนที่ข้าตระเวนไปทั่วดินแดนภาคกลาง เจ้ายังมัวเล่นดินโคลนอยู่เลย

วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้าไก่ดินสุนัขดอน ได้เห็นถึงพลังที่แท้จริงเสียที!”

ชายชรานั้นพูดจบก็ระเบิดพลังการบ่มเพาะออกมา พลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทาง

แรงกดดันจากกลิ่นอายแห่งขอบเขตปราชญ์ปะทุออกมาจากร่างของชายชรา สร้างความรู้สึกไร้ผู้ต้านทานได้

แรงปะทะที่รุนแรงทำให้เรือรบของฝ่ายพันธมิตรต่างๆ ถูกผลักถอยหลังไปอย่างรุนแรง

ผู้คนที่อยู่ไกลออกไปซึ่งกำลังเฝ้าดูเหตุการณ์ต่างถูกแรงกดดันกดทับจนไม่อาจขยับตัวได้

แต่ฝั่งของเฟิงชิงหยางนั้นกลับไม่มีท่าทีใดๆ ยังคงยืนหยัดอย่างสงบเยือกเย็น

“ท่านอาจารย์ ชายชราคนนี้แข็งแกร่งมาก!”

สำหรับสือฮ่าวและหลินไป๋แล้ว ชายชราผู้นี้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่พวกเขาเคยพบเห็นจนถึงตอนนี้

แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้เลยว่า ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ข้างกายพวกเขานั้น คือผู้บ่มเพาะที่อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิ

ด้วยการตบเพียงครั้งเดียว ชายชราผู้นี้คงตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ก็แค่แมลง” เฟิงชิงหยางกล่าวด้วยความไม่ไยดี

เฟิงชิงหยางเปิดระบบขึ้นมาเพื่อตรวจสอบข้อมูลของชายชราผู้นี้

เขาอยู่ในระดับครึ่งก้าวสู่ขอบเขตปราชญ์หรือก็คือ กึ่งปราชญ์!

หลังจากขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุด ก็คือขอบเขตปราชญ์ แต่ระหว่างสองขอบเขตนี้นั้นเป็นความแตกต่างอันใหญ่หลวง เปรียบเสมือนการยกระดับสู่ชีวิตใหม่อย่างสมบูรณ์

ไม่รู้มีอัจฉริยะในอดีตจำนวนเท่าใดที่ต้องหยุดอยู่ที่ขอบเขตนี้

ผู้ที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์ได้นั้น ต้องแปรสภาพพลังวิญญาณทั้งหมดให้กลายเป็นพลังปราชญ์ที่บริสุทธิ์ หากยังไม่สามารถแปรสภาพได้ทั้งหมดจะเรียกว่ากึ่งปราชญ์

แม้แต่กึ่งปราชญ์ก็มีความแข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุด สิบขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุดก็ไม่อาจต่อกรกับกึ่งปราชญ์ได้

ในหมู่ผู้บ่มเพาะยังมีคำกล่าวที่เล่าลือกันว่า: “เบิกฟ้า ดูดกลืนพลังปราชญ์ ยืนหยัดขึ้นเป็นปราชญ์ได้ในทันที!”

“คิดจะข่มขู่ใครกัน ชายแก่

คิดว่ามีแต่พวกเจ้าที่ผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งหรือไร?

ข้าเป็นเพียงผู้อาวุโสสายนอกของสำนักชิงหยุนเท่านั้น ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าข้ามีอีกมากมาย เจ้าจงรอรับมือเถิด!”

เมื่อชายชราปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งขอบเขตปราชญ์ออกมา ย่อมทำให้เย่ไป๋รู้ตัวดีว่าเขาไม่อาจต่อกรได้ จึงถอยกลับมา

ผู้อาวุโสสายนอก!

นี่กำลังล้อเล่นหรือ? เพียงผู้อาวุโสสายนอกกลับสามารถบดขยี้พลังของเหล่าขุมอำนาจในแคว้นหลิงโจวได้ สำนักชิงหยุนนี้มีพลังแข็งแกร่งเพียงใดกัน

หรือว่าสำนักชิงหยุนเป็นสำนักโบราณที่ซ่อนตัวและมีพลังเทียบเท่ากับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของภาคกลาง?

ผู้คนต่างเริ่มจินตนาการอย่างคาดเดาเมื่อได้ยินคำพูดของหลินไป๋

“ข้าไม่ชอบให้ใครมองข้าจากที่สูง ดังนั้นเจ้าต้องตาย!”

ผู้อาวุโสสำนักเทียนจียังครุ่นคิดคำพูดของเย่ไป๋

แต่ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงจากชายหนุ่มขอบเขตผู้ไร้มลทินด้านล่างที่กล่าวว่าตนต้องตาย?

"ฮ่าๆ ช่างเป็นพวกเขลาจริงๆ พูดอะไรโง่ๆ ออกมา!"

"ให้ข้าตายอย่างนั้นหรือ เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็น..."

ยังไม่ทันได้กล่าวจบ

บรรพชนหลี่ชิงหยุนยื่นมือออกมาบีบเขาอย่างรวดเร็ว

เพียงการบีบเบาๆ ก็ทำให้ร่างของเขาระเบิดแตกกระจาย ทันที

เลือดอันบริสุทธิ์ของปราชญ์โปรยปรายจากฟากฟ้า หล่อเลี้ยงพื้นดินด้วยความอุดมสมบูรณ์

กลิ่นอายแห่งปราชญ์พลันสลายไปในสายลม แรงกดดันวิญญาณกที่ทับถมอยู่บนร่างของผู้คนก็พลันจางหายไปสิ้น

"เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว"

เกิดอะไรขึ้น?

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที

เมื่อครู่ผู้อาวุโสของสำนักเทียนจียังเย่อหยิ่งผยองอยู่ แต่กลับ

ถูกบดขยี้เพียงพริบตา

ผู้คนต่างตกตะลึง ผู้ที่ถูกสังหารนั้นเป็นถึงผู้บ่มเพาะจากภาคกลาง!

เป็นผู้ที่อยู่เหนือขอบเขตเบิกฟ้า แต่กลับถูกจับขึ้นเหมือนลูกไก่แล้วบดขยี้!

"ท่าน!"

ฝ่ายขุมอำนาจใหญ่ต่างๆหวาดกลัวจนขาอ่อนแรง

ผู้ที่ขลาดกลัวถึงกับตกใจจนไม่อาจกลั้นตนเองไว้ได้บริเวณรอบๆพลันเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคลุ้ง

พวกเขาได้ไปยั่วยุสำนักเช่นไรนี่กันแน่

แม้แต่ผู้บ่มเพาะจากภาคกลางยังถูกบดขยี้!

หากรู้แต่แรก ก็จะเข้ามาขอขมาสำนักชิงหยุนอย่างนอบน้อมแล้วแท้ๆ

แต่ในโลกนี้ไม่มี "ยาแก้เสียใจ" หรอก

"ทุกคนที่เข้าร่วมการจู่โจมครานี้ ห้ามให้เหลือแม้แต่คน

เดียว"

เขาหาใช่คนใจบุญแต่อย่างไร ใครเล่าจะยอมปล่อยศัตรูที่ตั้งใจมาทำลายตนเองให้หลุดมือไป เพียงเพื่อจะกลายเป็นภัยใน

อนาคต?

จงจำไว้ว่า "หญ้าป่าที่เผาไม่หมด เมื่อสายลมแห่งฤดูใบไม้

ผลิพัดผ่าน มันก็จะงอกใหม่อีกครั้ง"

"รับทราบ ท่านเจ้าสำนัก"

หลี่ชิงหยุนรับคำสั่งแล้วเริ่มการสังหารอย่างไม่ลังเล

"อย่าฆ่าพวกเรา!"

"พวกเราจะไม่กล้าอีกแล้ว ขอท่านเจ้าสำนักชิงหยุนโปรดเมตตา!"

"พวกเรายินดีสวามิภักดิ์ต่อสำนักชิงหยุน และยอมมอบทรัพยากรทั้งหมดให้!"

แต่เฟิงชิงหยางเพียงยักไหล่และกล่าวเบาๆ "ช่างเขลาเสียจริง ฆ่าพวกเจ้าแล้ว ทรัพยากรพวกนั้นก็เป็นของข้าอยู่ดี"

ส่วนการยอมสวามิภักดิ์ต่อสำนักชิงหยุน? ขอโทษที ข้า

ไม่ต้องการ

ทันใดนั้น บรรพชนขอบเขตมหาจักรพรรดิสะบัดแขนเสื้อ ด้วยแรงมหาศาล เกิดเป็นกระแสพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่กรีดผ่านท้องฟ้าและพุ่งตรงไปยังบรรดาขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลาย

ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีด พวกเขาถูกฉีกกระชากจนกลายเป็นเศษซากที่ปลิวหายไปในสายลม

เหลือเพียงผู้ชมจำนวนมหาศาลที่ยืนอยู่รอบนอก

เฟิงชิงหยางก้าวเดินอย่างเชื่องช้าขึ้นไปข้างหน้า ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"ข้าขอกล่าวเพียงประโยคเดียว

นับจากนี้ไป แคว้นหลิงโจวจะอยู่ใต้การปกครองของสำนักชิง

หยุน

ผู้ใดเห็นด้วย ผู้ใดคัดค้าน?"

4 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด