ตอนที่ 19 การสมรู้ร่วมคิดของสำนักต่างๆ
ตอนที่ 19 การสมรู้ร่วมคิดของสำนักต่างๆ
“คุณชาย พวกเขาตามมาแล้ว!”
ฉินหรั่วเสวี่ยกล่าวด้วยความตื่นตกใจ ตอนนี้นางไม่มีเรี่ยวแรงที่จะสู้ต่อแล้ว พลังวิญญาณในร่างของนางหมดสิ้น ยังไม่ทันจะฟื้นตัว ก็ไม่สามารถหลบหนีได้
“ไม่เป็นไร ข้าบอกแล้วว่าจะพาเจ้ามาอยู่กับสำนักชิงหยุน รับรองความปลอดภัย
กลัวอะไรนัก? เมื่อมีสำนักของข้าอยู่ เจ้ากลัวอะไร?”
เฟิงชิงหยางพูดด้วยท่าทีไม่แยแส
“เย่ไป๋ พาพวกมันไปพบกับยมทูตเถิด”
“ขอรับ ท่านเจ้าสำนัก”
ในโลกแห่งการบ่มเพาะ ผู้อ่อนแอกว่าต้องถูกบดขยี้ ผู้แข่งแกร่ง บอกให้มีชีวิตก็ต้องมีชีวิต บอกให้ตายก็ต้องตาย
จากนั้นเขาก็เดินหน้าต่อไปโดยไม่หันหลังกลับ
ฉินหรั่วเสวี่ยคิดในใจว่า น่าจะมีผู้แข็งแกร่งจากสำนักชิงหยุน ที่คอยตามมาดูแลอยู่
……
ในขณะนั้น เซิงเต้าหรงแม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์ต้าโจว พร้อมด้วยทหารของเขาขี่ม้าตามมา ถึงแม้เขาจะไม่เห็นสามคนที่ตามหา แต่กลับมีชายคนหนึ่งในชุดคลุมดำขวางทางอยู่ข้างหน้า
“เฮ้ ทำไมขวางทางข้า? ถ้าไม่ย้ายออกไป ข้าจะฆ่าเจ้าด้วย”
“ฝีมือก็ไม่ได้ดีเท่าไร แต่ปากนี่เสียงดังจริงๆ
วันนี้ ข้าฆ่าคนประเภทที่โอ้อวดเช่นเจ้ามาหลายคนแล้ว”
“ฮ่าฮ่า ปากดีนัก”
“ด้วยขวานเบิกภูเขาในมือข้า ข้าฆ่าคนมามากนักไม่รู้กี่พัน เพิ่มเจ้าอีกคนไปจะเป็นเช่นไร”
“ฆ่า! จับจักรพรรดินีให้ได้!”
เย่ไป๋ หัวเราะเยาะขึ้น แล้วพ่นลมหายใจออกไป ก็ทำให้พวกศัตรูตายหมดสิ้น
พวกกระจอกแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้มือของเขาเอง
……
อีกด้านหนึ่ง เฟิงชิงหยางและคนอื่นๆได้กลับถึงสำนักชิงหยุนแล้ว
การเดินทางรวดเร็วทันใจ
ณ สำนักชิงหยุน
“ท่านอาจารย์ ศิษย์น้อง พวกท่านกลับมาแล้ว!”
สือฮ่าวกำลังเล่นหมากรุกกับชายชราคนหนึ่ง เมื่อรู้สึกถึงการมาถึงของผู้คน ก็รีบเดินออกมาเพื่อตรวจสอบ
สือฮ่าวมองไปที่หลินไป๋ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปในตัวศิษย์น้องของเขา แปลกใจนิดหน่อย ใบหน้าไม่ได้เปลี่ยน แต่บุคลิกกลับดูคมเข้มยิ่งขึ้น
“ศิษย์พี่”
ในขณะเดียวกัน สือฮ่าวก็มองไปที่หญิงสาวข้างกายเฟิงชิงหยาง
ครั้งแรกที่เห็นรู้สึกประทับใจมาก!
“ท่านอาจารย์นี่ เสน่ห์เยอะจริงๆ เพิ่งส่งสองคนไปเมื่อสองวันก่อน ตอนนี้ก็พาหญิงสาวคนนี้มาอีกแล้ว”
“สมกับเป็นท่านอาจารย์!”
ฉินหรั่วเสวี่ยถึงกับตกตะลึง!
นางคิดว่า สำนักชิงหยุนคงจะเป็นแค่ขุมอำนาจชั้นนำ แต่… นี่มัน… ที่นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหมหรือไม่! แต่ก็ไม่ถูก ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะเทียบได้กับภาพตรงหน้านี้หรือ?
ในฐานะจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์ต้าโจว ฉินหรั่วเสวี่ยย่อมรู้จักหลายสิ่งหลายอย่าง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในภาคตะวันออกไม่มีความลึกลับหรือความอุดมสมบูรณ์เช่นนี้
เมื่อมองไปไกลๆ
พฤกษาและศาลาโค้งงาม ล้วนเปล่งประกายราวกับมีท้องฟ้าและเมฆมาห่อหุ้ม
ภาพเหล่านี้แทบทำให้นางต้องทบทวนมุมมองที่มีต่อโลกใหม่
“ท่านอาจารย์ แม่นางผู้นี้คือใครหรือ?
คงจะไม่ใช่อาจารย์หญิงในอนาคตของพวกเรากะมั้ง?”
สือฮ่าวเห็นใบหน้าที่มอมแมมของฉินหรั่วเสวี่ย ก็เริ่มจินตนาการไปถึงเรื่องราวว่า หญิงสาวถูกไล่ล่ามา และท่านเจ้าสำนักช่วยนางไว้ ก่อนจะได้มาเป็นภรรยา
“เจ้าเด็กคนนี้ คิดมากเกินไปหรืออย่างไร?”
เฟิงชิงหยางรู้สึกอับอายเล็กน้อย
ฉินหรั่วเสวี่ยเองก็รู้สึกหน้าแดงขึ้นมาไม่น้อย
“แค่รับมาทำหน้าที่ชงน้ำชาเท่านั้นเอง ใช่ไหมท่านจักรพรรดินี?”
“ท่านรู้ได้อย่างไร!”
“ท่านเจ้าสำนัก ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังท่าน ตอนนี้ราชวงศ์ต้าโจวเปลี่ยนแปลงแล้ว ข้าไม่ใช่จักรพรรดินีอีกต่อไป”
“จักรพรรดินี! แค่ชงน้ำชา!
ท่านอาจารย์เก่งจริงๆ!”
“ไม่เป็นไร ข้าแค่ไม่ชอบการถูกปิดบังเท่านั้น”
“ท่านเจ้าสำนัก”
ในขณะนั้นชายชราคนหนึ่งที่กำลังเล่นหมากรุกอยู่กับสือฮ่าวก็เดินเข้ามา
“ท่านผู้อาวุโส ท่านก็ออกมาหรือ ข้าจะบอกว่าฝีมือหมากรุกของท่านนั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก ชนะข้าไปได้หลายพันเท่าเลยทีเดียว!”
หลี่ชิงหยุนยิ้มแล้วลูบเคราของตนเอง
ในฐานะที่เป็นผู้มีพลังบ่มเพาะขอบเขตมหาจักรพรรดิ เขาก็ถือว่าภูมิภาคนี้เป็นกระดานหมาก และทุกชีวิตในนั้นเป็นหมากเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น
“ขอแนะนำให้พวกเจ้ารู้จัก ท่านผู้นี้เป็นบรรพชนของสำนักชิงหยุน”
“บรรพชน!”
สือฮ่าวรู้ทันทีว่าชายชราที่กำลังเล่นหมากรุกอยู่กับเขาคือหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนัก แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นบรรพชนที่มีพลังอันไร้ขีดจำกัด
“ถูกต้องแล้ว พวกเจ้าสองคนต้องฝึกฝนให้ดีในสองวันข้างหน้า เมื่อถึงวันที่สาม แดนลับศักดิ์สิทธิ์จะเปิดขึ้น แล้วพวกเจ้าต้องไปชิง…ที่นั่นเต็มไปด้วยแหล่งทรัพยากรและโอกาสที่สามารถใช้เป็นการทดสอบที่ดี”
“ฝึกฝนให้ดี อย่าทำให้สำนักชิงหยุนของเราเสื่อมเสีย”
“ขอรับ ท่านอาจารย์”
สือฮ่าวและหลินไป๋เมื่อเห็นท่านอาจารย์พูดเรื่องสำคัญ ก็รีบตั้งใจและเคร่งขรึมขึ้นในทันที
“บรรพชน ท่านไปเดินเล่นที่อื่นเถิด ตอนนี้ยังไม่ต้องการให้ท่านออกมือ”
เฟิงชิงหยางกำลังจะเดินจากไป แต่ทันใดนั้นก็สะดุดความคิดขึ้นมา
“ชุดศิษย์ยังไม่ได้แจกพวกเขาเลย ทั้งๆที่ตอนนี้สำนักของเราก็ยังมีสมาชิกไม่มาก แต่เดิมตั้งใจจะรอจนกระทั่งเราสร้างชื่อเสียงในภาคตะวันออกและเปิดรับศิษย์ใหม่ก่อน แต่เพราะต้องไปแดนลับศักดิ์สิทธิ์ เราต้องทำให้ผู้คนเห็นว่าเรามีความพร้อม”
“รอเดี๋ยว
พวกเจ้าก็เข้าร่วมสำนักมาหลายวันแล้ว ชุดศิษย์ยังไม่ได้ให้พวกเจ้า วันนี้จะให้พวกเจ้าเลย”
“ระบบ รับชุดศิษย์สำนักสองชุด” เฟิงชิงหยางกล่าวในใจ
ในพริบตา แสงสีทองสาดกระจาย พร้อมกับปรากฏชุดศิษย์สองชุดที่ห่อหุ้มด้วยแสงอ่อนโยน ค่อยๆลอยมาเบื้องหน้า ชุดเหล่านี้งดงามเหนือคำบรรยาย พื้นชุดเน้นสีขาวบริสุทธิ์ สื่อถึงความสง่างามและความบริสุทธิ์ ส่วนสีเขียวที่แต่งแต้มเป็นลวดลายเสริมสื่อถึงพลังแห่งธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงทุกสิ่ง
ด้านหลังของชุดมีภาพนกพญาอินทรีถูกสลักไว้อย่างละเอียดประณีต นกอินทรีตัวใหญ่บินทะยานท่ามกลางก้อนเมฆ ราวกับจะแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของฟากฟ้า ปีกกว้างของมันดูเหมือนพร้อมจะแหวกว่ายไปในอากาศอย่างอิสระไร้ขอบเขต
ส่วนหน้าอกซ้ายของชุด มีการปักคำว่า “สำนักชิงหยุน” ด้วยไหมทอง เปล่งประกายระยิบระยับเมื่อกระทบแสง เป็นการแสดงถึงเกียรติภูมิของศิษย์ผู้สวมใส่
“ว้าว!” เสียงอุทานด้วยความตื่นเต้นดังขึ้น
“ท่านอาจารย์ ชุดศิษย์สำนักชิงหยุนสุดยอดไปเลยขอรับ”
สือฮ่าวและหลินไป๋ต่างก็ยืนมองชุดศิษย์และไม่สามารถหยุดยิ้มได้
“อย่ามัวแต่ชมว่ามันดูดีนะ ชุดศิษย์สวมใส่แล้วจะไร้ฝุ่นไม่ให้เปื้อน น้ำและไฟไม่อาจทำลายได้ และจะได้รับพลังคุ้มกันมหาวิถีจากมัน”
จริงๆ แม้เขาจะเห็นว่ามันสวยจริงๆ และเชื่อว่าภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน!
เดี๋ยวนี้ต้องหาวิธีสั่งชุดของผู้นำสำนักจากระบบเสียแล้ว
…..
ณ เมืองปักฟ้า
วันนี้เมืองมีผู้บ่มเพาะที่มีพลังแข็งแกร่งเข้ามามากมาย แต่ชาวเมืองกลับไม่รู้สึกตื่นตระหนกอะไร เพราะที่เมืองนี้มีสำนักเทียนจีคอยดูแลและควบคุม ไม่มีใครที่กล้าทำตัวเสี่ยงชีวิต
ในห้องประชุมของสำนักเทียนจี
“เวลาอีกแค่สามวันก็จะถึงกำหนดแล้ว ทุกท่านคิดว่าจะทำอย่างไรดี?”
“จะทำอย่างไร? ทำอะไรได้! พวกเราต้องไปขอขมามันเลยหรือ?”
“สำนักชิงหยุนมันมาจากที่ใดกัน? ไม่ใช่บอกว่าเคยล่มสลายไปแล้วหรอกหรอ? เหตุใดถึงมีผู้แข็งแกร่งแบบนี้ออกมาแล้ว? หรือว่ามีสำนักศักดิ์สิทธิ์หนุนหลัง?”
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นอำนาจใหญ่ในแคว้นหลิงโจว แต่เมื่อเทียบกับสำนักศักดิ์สิทธิ์หรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเขาก็แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย
ผู้บ่มเพาะจากทุกสำนักที่เข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนถูกฆ่าตายหมดแล้วเหลือเพียงไม่กี่คนที่หนีกลับไปบอกข่าว
ในสามวันหากยังไม่ไปขอขมา ฆ่าไม่เหลือ!
แต่ว่าการขอขมามันก็เท่ากับการยอมแพ้และก้มหัวให้ฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่หรือ?
โชคดีที่วันนี้สำนักเทียนจี ได้ส่งคำเชิญมาเพื่อเจรจาเรื่องนี้โดยเฉพาะ
“เจ้าสำนักเทียนจีมาถึงแล้ว”
“ท่านทั้งหลาย สำนักชิงหยุนฆ่าผู้อาวุโสของสำนักเทียนจีและยังสังหารผู้บ่มเพาะจากสำนักต่างๆของพวกท่านอีก แล้วยังจะให้เราไปขอขมาด้วยหรือ?”
“พวกเราต้องรวมตัวกันเพื่อทำลายสำนักชิงหยุน!”
“เห็นด้วย!”
เมื่อเจ้าสำนักเทียนจีกล่าวจบก็มีบางสำนักออกมาสนับสนุนความเห็นนี้
ให้พวกเขาก้มหัวไปขอขมา แล้วพวกเขาจะไปยืนหยัดเชิดหน้าอยู่ภาคตะวันออกได้อย่างไร?
“แต่ทว่าสำนักชิงหยุนมียอดฝีมือขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุดแล้ว บางทีอาจจะยังมีผู้แข็งแกร่งมากกว่านั้นอยู่ พวกเขาต้องมีสำนักศักดิ์สิทธิ์หนุนหลังแน่นอน”
บางสำนักที่ต้องการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งก็เสนอความเห็นของตน
การขอขมามันก็ไม่แย่นักหรอกนะ อย่างน้อยยังดีกว่าเสียชีวิต อีกอย่างต้องยอมรับว่าพวกเขาทำผิดตั้งแต่ต้น
มันเกิดจากการยุแหย่ของผู้อาวุโสสำนักเทียนจีและคำมั่นสัญญาของตระกูลสือ ถึงได้ลงมือจนเป็นผลเช่นนี้
“ถึงจะมีสำนักศักดิ์สิทธิ์หนุนหลังก็ไม่ได้อะไรหรอก ข้าได้รายงานไปยังสำนักงานใหญ่ของสำนักเทียนจีในภาคกลางแล้ว สำนักหลักได้ส่งผู้แข็งแกร่งมาที่นี่แล้ว!”
เมื่อเจ้าสำนักเทียนจีกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลาย
ถ้ามีผู้แข็งแกร่งจากสำนักเทียนจีออกหน้าแล้ว จะกลัวอะไร