บทที่ 34 คุณพอจะมีแนวคิดคร่าว ๆ ไหมครับ?
บทที่ 34 คุณพอจะมีแนวคิดคร่าว ๆ ไหมครับ?
"คือพวกเราอยากจะรวมเข้ากับหมู่บ้านหยุนซี ไม่รู้ว่าคุณมีความเห็นยังไงบ้าง.." เซี่ยงหมิงหลางกล่าว
ด้านเฉินจิ่วซือเองถอนหายใจยาวแล้วค่อยๆ ถาม "คนในหมู่บ้านของคุณเห็นด้วยแล้วเหรอครับ"
"นี่คือรายชื่อลายเซ็นของทุกคน"
เซี่ยงหมิงหลางไม่พูดอะไรมากแล้วยื่นเอกสารฉบับหนึ่งออกมาทันที "คนในหมู่บ้านของผมกว่า 80% ได้เซ็นชื่อในหนังสือแสดงเจตจำนงนี้แล้ว"
การรวมหมู่บ้านนั้น ต้องได้รับความยินยอมจากคนในแต่ละหมู่บ้านมากกว่าสองในสามส่วน แล้วจึงรายงานไปยังหน่วยงานบริหารระดับเขตเพื่อพิจารณาอนุมัติ ขั้นตอนสุดท้ายจึงจะสามารถรวมกันได้สำเร็จ
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเตรียมตัวมาแล้ว เฉินจิ่วซือก็ไม่พูดมาก "เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะตอบตกลงได้ในทันที พวกเราขอไปประชุมกันในคณะกรรมการหมู่บ้านก่อน แล้วถ้ามันเป็นไปได้ ผมจะให้คนไปตามพวกคุณ แล้วพวกเราค่อยมานั่งคุยกันเพื่อตกลงเรื่องนี้อีกที"
"อืม เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน การประชุมอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย ผมจะให้คนพาพวกคุณไปเดินเล่นดูก่อน ไปดูไร่กล้วยไม้สกุลหวายของพวกเรา ไปดูโรงงานใหม่ของพวกเราอะไรทำนองนั้น"
ในเมื่อยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงมาแล้ว จะทำอะไรได้อีกล่ะ
เมื่อเก็บหนังสือแสดงเจตจำนงแล้ว เฉินจิ่วซือก็ให้คนพาเซี่ยงหมิงหลางและคนอื่นๆ ไปเดินเล่น ส่วนตัวเขาเองก็เดินทางไปยังศาลากลางหมู่บ้านทันที
และในไม่ช้าเสียงกระจายข่าวก็ดังขึ้น
เสียงกระจายข่าวที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้สมาชิกคณะกรรมการหมู่บ้านตั้งตัวไม่ติด
บางคนยังไม่ได้กินอาหารเช้า บางคนกำลังจะออกไปตรวจตรา บางคนก็กำลังจะลงทะเลไปจับปลา แต่เมื่อได้ยินเสียงนี้แล้ว พวกเขาก็ต้องวางมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วรีบมาที่ศาลากลางหมู่บ้านทันที
ช่วงนี้หมู่บ้านมีการเปลี่ยนแปลงมาก
มีเรื่องราวมากมาย
เสียงกระจายข่าวที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ก็ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
แต่หลังจากที่เฉินจิ่วซือได้พูดเรื่องทั้งหมดออกมาแล้ว ทุกคนต่างก็เงียบลง
"ผู้ใหญ่บ้าน คุณแน่ใจเหรอครับ"
ทุกคนต่างก็ทำสีหน้าเหลือเชื่อ
พวกเขาใช้ชีวิตอยู่บนเกาะนี้ร่วมกับหมู่บ้านหยุนเฟิงมาหลายร้อยปีแล้ว
ทุกคนก็ค่อนข้างจะสนิทกัน
แล้วก็รู้ว่าหมู่บ้านหยุนเฟิงนั้นมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าพวกเขามาโดยตลอด
มีคนมากกว่าพวกเขาด้วย
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายต้องการที่จะรวมกับหมู่บ้านของตัวเอง พวกเขาเลยรู้สึกงงมากกว่าเฉินจิ่วซือเสียอีก
"นี่คือหนังสือแสดงเจตจำนงของพวกเขา ชาวบ้านส่วนใหญ่ได้เซ็นชื่อกันหมดแล้ว ถ้าแค่คนในหมู่บ้านของพวกเราเห็นด้วย แล้วยื่นเรื่องไปด้วยกัน แม้ว่าพวกเขาจะกลับคำในภายหลัง ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว"
เฉินจิ่วซือนำหนังสือแสดงเจตจำนงที่มีลายเซ็นและตราประทับของคณะกรรมการหมู่บ้านหยุนเฟิงไปวางไว้บนโต๊ะ
"ซี้ด--" ทันทีที่ส่งต่อกัน รองผู้ใหญ่บ้านจ้าวหงเย่ก็อดไม่ได้ที่จะสูดปาก "นี่ก็หมายความว่า ท่าเรือของหมู่บ้านพวกนั้น ต่อไปก็จะเป็นของพวกเราแล้วเหรอ"
ยังไม่ทันที่เฉินจิ่วซือจะตอบอะไร ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมา
ท่าเรือของหมู่บ้านหยุนเฟิงนั้นใหญ่กว่าของหมู่บ้านหยุนซีอยู่ไม่น้อย แถมยังอยู่ในอ่าวเล็กๆ ซึ่งถือว่าเป็นที่หลบภัยธรรมชาติขนาดเล็ก
สำหรับหมู่บ้านชาวประมง นี่ถือว่าเป็นทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาก
ถ้าหมู่บ้านของพวกเขามารวมกัน คนของหยุนซีก็จะสามารถใช้ท่าเรือนั้นได้โดยธรรมชาติ เพราะพวกเขาก็คือคนของหมู่บ้านเดียวกัน!
ทุกคนเริ่มตื่นเต้นในทันที!
มันเหมือนกับมีโชคหล่นใส่พวกเขาอีกครั้งแล้วในเวลาไม่นาน
"ใช่แล้วครับ บางทีเราอาจจะทำฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำบางอย่างในอ่าวเล็กๆ นั้นได้ด้วย" เมื่อเห็นว่าทุกคนตื่นเต้นขนาดนี้ เฉินจิ่วซือก็พยักหน้า
เมื่อได้รับคำตอบยืนยันจากเฉินจิ่วซือ ทุกคนก็ตื่นเต้นกันมากขึ้นไปอีก ถ้าไม่ใช่ว่ายังอยู่ในระหว่างการประชุม พวกเขาคงจะขับเรือออกไปที่ท่าเรือนั้นแล้ว
สิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ คนแรกที่ออกอาการตื่นเต้น มันกลับเป็นจ้าวหงเย่ที่ตื่นเต้นที่สุด
หลังจากที่ตรวจสอบซ้ำไปซ้ำมาแล้ว จ้าวหงเย่ก็หันไปมองเฉินจิ่วซือด้วยสีหน้าจริงจัง "ผู้ใหญ่บ้าน แล้วคุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ล่ะครับ"
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน เขาก็เปลี่ยนจากคนที่คิดจะแย่งตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านจากเฉินจิ่วซือในปีหน้ามาเป็นคนที่ทำตามทุกอย่างที่เฉินจิ่วซือสั่ง
นี่ทำให้เฉินจิ่วซือถึงกับหัวเราะไม่ออกเลยทีเดียว
แถมเขายังอยากจะบอกว่า เขาชอบคุณจ้าวในเวอร์ชั่นที่ไม่ยอมคนมากกว่าอีก
"ผมคิดว่าการรวมกับหมู่บ้านหยุนเฟิงนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ"
เมื่อสลัดสิ่งที่ไม่สำคัญออกจากหัวแล้ว เฉินจิ่วซือก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง "หมู่บ้านของพวกเรามีพื้นที่ไม่น้อยที่ประมาณ 20,000 เอเคอร์ก็จริง แต่พื้นที่ที่สามารถเพาะปลูกได้ ผมประเมินว่ามีแค่ 3,000 เอเคอร์เท่านั้น"
ทุกคนพยักหน้าเล็กน้อย
ก็ประมาณนี้แหละ
ถ้าไม่ใช่เพราะจะต้องพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ก็อาจจะมีมากกว่านี้เล็กน้อย
แต่ก็คงจะไม่มากไปกว่านั้น
"กล้วยไม้สกุลหวาย 3,000 เอเคอร์ดูเหมือนจะเยอะ แต่ว่ามันเพียงพอเหรอ พวกเราเริ่มที่จะสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมทั้งหมดที่ครอบคลุมถึงการเพาะพันธุ์ การวิจัย การตลาด การแปรรูปแล้ว ดังนั้นพื้นที่เพียง 3,000 เอเคอร์มันน้อยเกินไป"
เฉินจิ่วซือหยุดไปเล็กน้อยเพื่อควบคุมจังหวะแล้วไม่นานนักก็พูดต่อ "ถ้าพวกเราสามารถรวมกับหมู่บ้านหยุนเฟิงได้ พื้นที่สำหรับปลูกกล้วยไม้สกุลหวายของพวกเราก็จะอยู่ที่ 7,000 เอเคอร์"
"แค่ข้อนี้ก็สำคัญมากแล้ว"
"แถมเรื่องทำเลที่ตั้งของหมู่บ้านหยุนเฟิงนั้นก็พิเศษมากทีเดียว อย่างที่ผมบอกไป เราสามารถที่จะทำการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้ ซึ่งจะทำให้หมู่บ้านของพวกเรามีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอีก"
"และสุดท้ายก็คือ ตอนนี้หมู่บ้านของพวกเราขาดกำลังคน การรวมกันก็จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ด้วย"
เรื่องสิ่งมหัศจรรย์อื่นๆ ที่ต้องสร้างต่อไปนั้น เฉินจิ่วซือไม่กล้าที่จะพูด
ถ้าพูดออกไป คนอื่นก็คงจะคิดว่าเขาบ้า หรือไม่ก็คิดว่าเขาเพ้อฝันเกินจริง
แบบนั้นก็พูดเฉพาะเรื่องที่เป็นจริงเป็นจังไปก็แล้วกัน
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การรวมอีกฝ่ายเข้ามา ไม่เพียงแต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์เดิมของคนในหมู่บ้าน แต่ยังสามารถทำเงินได้มากขึ้นอีกด้วย!
และแล้ว เสียงสนับสนุนก็ดังขึ้นในห้องประชุมอย่างรวดเร็ว
"แบบนี้ก็เป็นเรื่องที่ดี!"
"ผมคิดว่าสามารถรวมกันได้เลย"
"รู้สึกว่าอีกไม่นาน พวกเราก็จะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีเงินเป็นร้อยล้านแล้ว!"
"ที่จริงแล้วสองหมู่บ้านของพวกเราก็สนิทกันดีอยู่แล้ว ทุกคนก็ไปมาหาสู่กันได้ การรวมกันให้เป็นทางการไปเลยก็ไม่เลว"
"ฮ่าๆๆๆ ผู้ใหญ่บ้านของเราเก่งจริงๆ ใช้เวลาไม่นานก็พาพวกเรารวย แถมยังขยายพื้นที่ได้อีกด้วย"
สองหมู่บ้านอยู่ใกล้กันขนาดนี้ ที่จริงแล้วทุกคนก็ค่อนข้างสนิทกัน
หลายคนก็เป็นญาติกันด้วยซ้ำ
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการรวมกันเท่าใดนัก
คนที่ต้องการท่าเรืออยู่แล้ว พอได้ฟังเฉินจิ่วซือพูด พวกเขาก็ยิ่งไม่มีความคิดเห็นอื่นใด พวกเขาต่างก็แสดงความเห็นด้วยเท่านั้น
"แต่ถึงจะรวมกัน ก็ต้องมีกฎระเบียบบ้าง"
หลังจากที่ทุกคนไม่มีความคิดเห็นใดๆ แล้ว เฉินจิ่วซือก็เปลี่ยนเรื่องพูด "ถ้าปล่อยให้พวกเราไปดูแลคนของพวกเขามันก็อาจจะเกิดปัญหา ดังนั้น การดึงสมาชิกคณะกรรมการหมู่บ้านของพวกเขาเข้ามาก็เป็นเรื่องที่สำคัญ"
"แต่ว่าจะดึงเข้ามาเท่าไหร่ ให้สิทธิ์แค่ไหน นี่เป็นสิ่งที่ต้องคิด ถ้าไม่อย่างนั้น ก่อนที่จะรวมกันได้จริงๆ พวกเราก็จะวุ่นวายกันก่อนแน่ๆ"
อำนาจของคณะกรรมการหมู่บ้านนั้นมีมาก
โดยพื้นฐานแล้ว ทุกอย่างถ้าได้รับความยินยอมจากคนมากกว่าสองในสามส่วน ก็สามารถที่จะดำเนินการได้
ในที่สุดเสียงในคณะกรรมการหมู่บ้านก็เริ่มที่จะเป็นหนึ่งเดียวกัน พวกเขาจึงไม่ต้องการที่จะให้เกิดความวุ่นวายจากการรวมกับหมู่บ้านหยุนเฟิงอีก
"ผู้ใหญ่บ้าน แล้วคุณมีแนวคิดอะไรคร่าวๆ ไหม" จ้าวหงเย่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเฉินจิ่วซือ เขาก็เปลี่ยนเรื่องพูดไปในทันที
เขารู้สึกว่าเฉินจิ่วซือกำลังจะปล่อยของแล้ว
อย่าเพิ่งพูดอะไรจะดีกว่า
ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะดูโง่ไปเลยก็ได้