บทที่ 33 เธอจะเอาหรือไม่เอา แค่นั้นแหละ!
บทที่ 33 เธอจะเอาหรือไม่เอา แค่นั้นแหละ!
ในตอนเช้าตรู่ ประตูบ้านของเฉินจิ่วซือก็ถูกเคาะ
"ผู้ใหญ่บ้านเซี่ยง คุณมาได้ยังไงครับเนี่ย"
เป็นเซี่ยงหมิงหลาง ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านหยุนเฟิงที่อยู่ข้างๆ นั่นเอง
ก็ถือว่ารู้จักกันพอสมควร แถมเขายังพาคนมาด้วย
ดูเหมือนว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านหยุนเฟิงทั้งหมด
"ผู้ใหญ่บ้านเฉิน พวกเรามาในครั้งนี้ก็มีเรื่องอยากจะพูดอยู่"
เซี่ยงหมิงหลางสูดหายใจเข้าลึกๆ เหมือนกำลังตัดสินใจ "คือพวกเราอยากจะรวมเข้ากับหมู่บ้านหยุนซี ไม่รู้ว่าคุณมีความเห็นยังไงบ้าง.."
"ห๊ะ!?"
เฉินจิ่วซือทำหน้างง
ขยี้ตา
เกาหัว
ในใจอดไม่ได้ที่จะคิดว่าตัวเองยังไม่ได้สติหรือเปล่า!
พูดตามตรง การควบรวมหมู่บ้านรอบๆ นั้น เฉินจิ่วซือก็เคยคิดไว้เหมือนกัน
การที่จะพัฒนาและสร้างสิ่งมหัศจรรย์โดยอาศัยแค่ 300 กว่าครัวเรือนในหมู่บ้านหยุนซีนั้นยากเกินไป
แค่การสร้างสิ่งมหัศจรรย์อย่างแรกเขาก็ต้องจ้างคนจากข้างนอกแล้ว แล้วสิ่งมหัศจรรย์อื่นๆ ในอนาคตล่ะ?!
แล้วก็เรื่องที่ดินส่วนรวม.. พื้นที่ของหมู่บ้านหยุนซีมีประมาณ 20,000 เอเคอร์ สำหรับใช้ในการอยู่อาศัยนั้นถือว่าไม่น้อย แต่พื้นที่ขนาดนี้จะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้สักกี่แห่งกัน
สองแห่ง? สามแห่ง?
ในไม่ช้า พื้นที่ของเขาก็จะถึงขีดจำกัด
การขยายหมู่บ้านเป็นทางเลือกที่ดี
แต่เขาก็ยังไม่มีแนวคิดว่าจะทำยังไง
ในแง่ของนโยบาย การที่หมู่บ้านเล็กๆ จะรวมกับหมู่บ้านใหญ่ ก็ไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าแค่ยื่นเรื่องขอไป ก็จะได้รับการอนุมัติ แล้วยังได้รับเงินอุดหนุนอีกด้วย
แต่จะให้หมู่บ้านอื่นมารวมกับหมู่บ้านของตัวเอง มันจะต้องใช้เหตุผลอะไรล่ะ
เมื่อรวมกันแล้ว แม้แต่ชื่อหมู่บ้านที่บรรพบุรุษของตัวเองใช้มาก็จะหายไป
แค่เรื่องนี้ พวกคนแก่ในหมู่บ้านทั่วไปก็คงจะไม่ยอมรับอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรวมกันแล้วก็อาจจะต้องมีเรื่องของการย้ายถิ่นฐานเข้ามาเกี่ยวข้อง
ถึงแม้ว่าจะยังคงอาศัยอยู่ที่เดิม ปัญหาที่ตามมาก็คงจะไม่น้อย
เฉินจิ่วซือที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงก็ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคต
แต่ตอนนี้มันอะไรกันล่ะเนี่ย
ตื่นเช้ามา ก็มีคนจากหมู่บ้านหยุนเฟิงที่อยู่ข้างๆ มาหา แล้วก็พูดว่าจะขอรวมกับหมู่บ้านของเขา
สิ่งที่เขาอยากจะทำแทบตาย กลับไม่ต้องทำอะไรโดยที่อีกฝ่ายเสนอมาเองแบบนี้
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน
เขาถึงกับงง
เขาไม่กล้าที่จะเชื่อ
มันเหลือเชื่อมาก!
"พวกเราอยากให้หมู่บ้านหยุนเฟิงรวมกับหมู่บ้านหยุนซีของคุณ" เซี่ยงหมิงหลางก็รู้สึกว่าปฏิกิริยาของเฉินจิ่วซือนั้นปกติ ถ้าเป็นเขา เขาก็คงจะทำหน้าตาแบบนั้นเหมือนกัน
หมู่บ้านหยุนเฟิงก็คล้ายกับหมู่บ้านของพวกเขา
แถมยังมีขนาดที่ใหญ่กว่าด้วย
มีประมาณ 400 ครัวเรือน
มีคนมากกว่าหลายร้อยคน
พื้นที่ของหมู่บ้าน ก็มีประมาณ 20,000 กว่าเอเคอร์เหมือนกันซึ่งก็ถือว่าไม่ต่างกัน
แต่พื้นที่ที่สามารถเพาะปลูกได้ของหมู่บ้านหยุนเฟิงนั้นมีมากกว่าหมู่บ้านหยุนซีอยู่พอสมควร
แล้วก็ ท่าเรือของหมู่บ้านหยุนเฟิงนั้นดีกว่าของหมู่บ้านหยุนซีด้วย การจับปลาก็จะสะดวกสบายมากกว่า
เมื่อเพื่อนบ้านที่แข็งแกร่งกว่าตัวเออยากจะมารวมหมู่บ้านด้วยแบบนี้ จะไม่ให้เฉินจิ่วซือประหลาดใจได้อย่างไร
หลังจากที่เงียบไปสักพัก เฉินจิ่วซือถึงได้พูดออกมา "พวกคุณเอาจริงเหรอ"
"แน่นอนสิ คิดว่าพวกเรามาทำเล่นกันหรือยังไง"
เซี่ยงหมิงหลางชี้ไปที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของหมู่บ้านที่อยู่ข้างหลังเขา
"งั้นก็บอกความคิดของพวกคุณมา พวกเราจะเอาไปพิจารณาดู" เฉินจิ่วซือพยักหน้า
เมื่อกี้เขาก็ได้ไตร่ตรองอย่างดีแล้ว
ลองหยั่งเชิงดูว่าหมู่บ้านหยุนเฟิงคิดยังไง แล้วค่อยไปตัดสินใจ
เผื่อว่าพวกเขาอยากจะมาตีชิงเอาผลประโยชน์ล่ะ
มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้นี่นา
"พวกเราก็แค่รู้สึกว่าคุณเป็นคนที่ดี มีความสามารถ กล้าหาญ ถ้าได้ตามคุณไปชาวบ้านทุกคนของเราก็คงจะได้มีชีวิตที่ดี"
เซี่ยงหมิงหลางพูดอย่างมีเหตุผล "เกาะจงซานของพวกเรา.. พูดจริงๆ ก็คือมันห่างไกลและยากจนเกินไป จะหาทางออกก็ยากเกินไปแล้ว ถ้าให้พวกเรานำหมู่บ้านต่อไป การที่ไม่ทำให้คนอดตายก็ดีแค่ไหนแล้ว จะทำให้คนรวยขึ้นมาหรืออะไรแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย"
"แต่พวกเราเห็นความหวังจากคุณ!"
วันนั้นที่ได้เห็นกองเงินก้อนโตของหมู่บ้านหยุนซีในอินเทอร์เน็ต เซี่ยงหมิงหลางก็ถึงกับงง
หลังจากที่ตั้งสติได้ เขาก็คิดอะไรไปมากมาย
เหมือนที่เจ้าหน้าที่หนุ่มในหมู่บ้านพูด พวกเขาสามารถ 'ลอก' ได้
เอาวิธีการของหมู่บ้านหยุนซีไปใช้
แล้วก็อาจจะปลูกกล้วยไม้สกุลหวายตามได้เหมือนกัน
และบางทีก็อาจจะทำเงินได้เหมือนกันด้วย
แต่แบบนั้นมันดีแล้วจริงๆ เหรอ?!
เซี่ยงหมิงหลางไม่กล้าที่จะตัดสินใจ
ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่บ้านและอายุก็ไม่ใช่น้อย เขาเคยเห็นเรื่องราวต่างๆ มามากมาย อย่างเช่น มีคนในหมู่บ้าน A ทำธุรกิจอะไรบางอย่างแล้วได้เงิน พอคนในหมู่บ้าน BCD เห็นก็ทำตาม แต่ผลปรากฎว่าไม่มีใครได้เงินเท่าหมู่บ้าน A เลย
และกล้วยไม้สกุลหวายสำหรับพวกเขานั้นเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีความรู้มาก่อน
บางทีอาจจะได้เงิน หรือบางทีก็อาจจะจบไม่สวยก็ได้
การที่ต้องใช้เวลาถึงสามปี เขาไม่กล้าที่จะเสี่ยงหรอก!
ถึงแม้ว่าจะผลิตออกมาได้จริง แล้วเขาจะขายได้ในราคาสูงแบบนั้นไหม
นี่ก็เป็นคำถามใหญ่เช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น นี่มันเป็นแค่เรื่องของกล้วยไม้สกุลหวายเหรอ
เขาคิดว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของกล้วยไม้สกุลหวายหรอก!
มันเป็นเรื่องของความคิด
พวกเขานั้นถูกจำกัดด้วยกรอบความคิดเดิมๆ
ไม่มีความสามารถที่จะก้าวข้ามกรอบความคิดเดิม
ถึงแม้ว่าจะ 'ลอก' เรื่องกล้วยไม้สกุลหวายมาได้ แล้วอนาคตล่ะ?!
จะเปลี่ยนจากการจับปลาของบรรพบุรุษ มาเป็นการจับปลาและปลูกกล้วยไม้สกุลหวายไปชั่วลูกชั่วหลานเหรอ
นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
ถ้าเป็นแบบนั้น ก็สู้เอาหน่อย นำหมู่บ้านหยุนเฟิงไปรวมกับหมู่บ้านหยุนซี ไปพึ่งเฉินจิ่วซือเลยดีกว่า!
หลังจากที่กลายเป็นพวกเดียวกันแล้ว เฉินจิ่วซือก็คงจะพาพวกเขารวยไปอย่างเป็นธรรมชาติ
พูดตามตรง ตอนที่เขาคิดเรื่องนี้ขึ้นมาครั้งแรก เขาก็คิดว่าตัวเองบ้าไปแล้ว
แค่เพราะคลิปวิดีโอเพียงคลิปเดียว ก็ถึงกับคิดที่จะทิ้งบรรพบุรุษ พาคนทั้งหมู่บ้านหนีตามกันไป
ความคิดนี้มันไม่ปกติแล้ว!
แต่บางครั้ง เมื่อมีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว ก็จะอดไม่ได้ที่จะคิดถึงมันอยู่เรื่อยไป
ถ้าอยากจะกำจัดความคิดนี้ ก็ต้องหาหลักฐานมายืนยัน
แต่น่าเสียดาย สิ่งที่เขาได้ยินหลังจากนั้นก็คือโรงงานแปรรูปกล้วยไม้สกุลหวาย สิ่งที่เขาได้ยินก็คือแหล่งท่องเที่ยว สิ่งที่เขาเห็นก็คือชาวบ้านของหมู่บ้านหยุนซีเกือบทั้งหมดต่างก็ถูกดึงเข้ามาทำงานเพื่อหาเงิน สิ่งที่เขาเห็นก็คือคนมากมายบนเกาะ รวมถึงคนจากหมู่บ้านหยุนเฟิงของเขาเองต่างก็ไปทำงานที่หมู่บ้านหยุนซี!
สิ่งที่เขาเห็นก็คือ ชาวบ้านจำนวนมากต่างก็อิจฉาหมู่บ้านหยุนซีและนินทาพวกเขาว่าไม่ทำอะไรมาตั้งหลายปี!
ยิ่งเห็นมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าการไปพึ่งเฉินจิ่วซืออาจจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
หลังจากนั้น เขาก็เริ่มที่จะเกลี้ยกล่อมคณะกรรมการหมู่บ้าน เกลี้ยกล่อมคนที่พูดจามีน้ำหนักในหมู่บ้าน....
เมื่อฟังคำพูดของเซี่ยงหมิงหลาง เฉินจิ่วซือก็รู้สึกว่าดวงตาของเขาเปล่งประกาย
เซี่ยงหมิงหลางคนนี้ เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์จริงๆ!
สิ่งที่เซี่ยงหมิงหลางพูดออกมานั้นก็คงจะเป็นสิ่งที่เขาคิดจริงๆ แต่เฉินจิ่วซือรู้สึกว่าสิ่งที่เซี่ยงหมิงหลางคิดก็คือ เขาพบว่าหมู่บ้านหยุนเฟิงนั้นมีค่าสำหรับแผนการของเฉินจิ่วซือจริงๆ
ถ้าให้เปรียบเทียบอาจจะไม่ถึงขั้นเป็นของขวัญที่ล้ำค่า แต่ก็ไม่ใช่ของที่ไม่จำเป็น
หมู่บ้านหยุนซีต้องการแรงงาน ต้องการคน ต้องการที่จะขยายกำลังการผลิตกล้วยไม้สกุลหวาย ก็อาจจะต้องใช้ที่ดินภูเขาไฟมากขึ้น ซึ่งทุกๆ ด้านพวกเขาก็มีความเหมาะสมกัน
หลังจากที่รวมกันแล้ว เซี่ยงหมิงหลางไม่กล้าที่จะพูดว่าเฉินจิ่วซือจะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม แต่อย่างน้อยก็คงจะพาพวกเขารวยไปด้วยกันได้อย่างแน่นอน
อย่างน้อยลำดับความสำคัญก็คงจะดีกว่าการจ้างคนจากหมู่บ้านอื่นๆ หรือจ้างคนจากภายนอก
ถ้าเขาชิงเข้าหาเฉินจิ่วซือเสียตั้งแต่ตอนนี้ มันก็เหมือนกับได้มาเป็น 'ขุนพลคนสนิท' เลย!
ในอนาคต เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก เขาก็จะสามารถยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าคนอื่นได้
ด้านเฉินจิ่วซือเองก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า
ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เซี่ยงหมิงหลางคิดนั้นไม่ผิด
แน่นอนว่า การที่จะมองได้ทะลุปรุโปร่งขนาดนี้ สามารถตัดสินใจอย่างเด็ดขาดได้ขนาดนี้ อีกฝ่ายก็ถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถทีเดียว
ถ้ามองไปทั้งประเทศ ก็อาจจะหาคนใจกล้าที่สามารถตัดสินใจแบบนี้ได้ไม่กี่คนเท่านั้น