ตอนที่แล้วตอนที่ 289 เพราะฉันคือ แม็กนีโต!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 291 คิดจะหนีเหรอ? กลับมานี่ซะ!

ตอนที่ 290 ยอมสวามิภักดิ์ หรือไม่ก็เตรียมตัวตายซะ!


ตอนที่ 290 ยอมสวามิภักดิ์ หรือไม่ก็เตรียมตัวตายซะ!

หลังจากชุดเกราะถูกสร้างเสร็จ อีทรี่ก็ถามเอริคว่าอยากตั้งชื่ออะไรให้กับชุดเกราะนี้

เอริคเงียบอยู่นานมาก พร้อมกับภาพในหัวของเขาที่ปรากฏเป็นใบหน้าของหญิงสาวผิวสีน้ำเงินคนหนึ่ง เธออาจจะยังรอเขาอยู่ในอีกจักรวาลหนึ่ง หรือบางที . . . เธออาจจะกลายเป็นโครงกระดูกสีชมพูไปแล้ว

“ผู้พิทักษ์” เอริคพูดขึ้นพร้อมสะบัดหัวเหมือนปัดความลังเลในใจ “ผู้พิทักษ์จักรวาล ผู้พิทักษ์ผู้คนในอดีต และผู้พิทักษ์ความหวัง แม้จะต้องข้ามจักรวาล ฉันก็ไม่มีวันยอมแพ้!”

“ผู้พิทักษ์?” อีทรี่พึมพำสองสามครั้งด้วยความงุนงง ก่อนจะยักไหล่และไม่ถามต่อ “การตั้งชื่อให้ชุดเกราะเป็นสิทธิ์ของเจ้าของ ข้าเป็นเพียงช่างตีเหล็ก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”

เอริคสวมชุดเกราะผู้พิทักษ์เต็มตัว ยืนตัวตรงเหมือนเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และคำพูดของเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจที่ปฏิเสธไม่ได้ “อีทรี่ ไปสร้างเรือของนาย ถึงเวลาที่เราจะกลับแอสการ์ดกันแล้ว!”

“รับทราบ!” อีทรี่โค้งคำนับโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวและรีบเงยหน้ามองไปที่เอริคที่กำลังเดินจากไป

. . .

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา อีทรี่สร้างเรือเสร็จสมบูรณ์ ถึงแม้จะเรียกว่าเรือ แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นยานบินที่มีรูปร่างเหมือนเรือมากกว่า

อีทรี่ได้อธิบายว่าเส้นทางลับที่พวกเขาจะใช้ไม่ได้เป็น ‘ถนน’ จริง ๆ เพราะแอสการ์ดและไนดาเวลเลียร์ไม่ได้อยู่ในมิติเดียวกัน จะเดินทางผ่านได้ต้องใช้ความเร็วสูงและเกราะป้องกันที่แข็งแกร่ง

“ทางลับนี้มีทางเข้าอยู่ที่วานาไฮม์ และทางออกอยู่หลังน้ำตกเล็ก ๆ ในแอสการ์ด” อีทรี่เล่า “โลกินี่แหละที่เคยแอบใช้ทางนี้ออกจากแอสการ์ดไปจีบเทพีของวานาไฮม์ วันหนึ่งข้าจับได้ เขาเลยติดสินบนข้าด้วยเหล้าชั้นดีอายุพันปีของแอสการ์ด แล้วยังบอกตำแหน่งทางลับนี้ให้ข้าด้วย!”

เอริคฟังแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย ‘โลกิ อีกแล้วเหรอ?’

ก่อนที่เขาจะนึกถึงอีกเส้นทางที่โลกิเคยใช้เดินทางจากแอสการ์ดไปยังสวาทาลฟ์ไฮม์ ดินแดนของดาร์กเอลฟ์

“ดังนั้นเราต้องไปวานาไฮม์ก่อนถึงจะไปแอสการ์ดได้ใช่ไหม?”

“ใช่แล้ว!” อีทรี่พยักหน้าภูมิใจ “ด้วยเรือลำนี้ เราจะใช้เวลาเพียงสองเดือนในการไปถึงวานาไฮม์!”

เอริคถึงกับพูดไม่ออก “สองเดือน? ถ้ารู้ว่าจะช้าขนาดนี้ ฉันคงไม่รอให้นายสร้างเรือแน่!”

เอริคจับอีทรี่ขึ้นเรือและแตะเรือด้วยอีกมือ ก่อนจะใช้พลังของอัญมณีอวกาศพาทั้งสองไปใกล้ต้นไม้โลกทันที แม้ว่าอัญมณีอวกาศจะพาเขาไปยังที่ใดก็ได้ในจักรวาล แต่มันไม่สามารถข้ามมิติได้ วานาไฮม์ แอสการ์ด และมูสเปลไฮม์ (ดินแดนของเซอร์เทอร์) ล้วนอยู่ในมิติเดียวกันบนยอดของต้นไม้โลก

เมื่ออีทรี่เห็นต้นไม้โลก เขาก็ตกใจและรีบกระโดดขึ้นเรือบินตรงไปพร้อมกับหยิบกรรไกรยักษ์ออกมาอย่างรวดเร็ว

“นายจะทำอะไร?” เอริคถามพร้อมรีบดึงตัวอีทรี่กลับมาเมื่อเห็นดวงตาของอีทรี่แดงก่ำเหมือนหมาป่าหิวโซที่เจอเหยื่อ

เอริคตบหน้าผากตัวเองแล้วนึกขึ้นได้ว่ากิ่งของต้นไม้โลกเป็นวัสดุหายากสำหรับการตีเหล็ก ค้อนของธอร์เองก็ใช้กิ่งไม้โลกเป็นด้ามจับเช่นกัน

“ใจเย็น!” เอริคปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทำให้อีทรี่สงบลงในทันที “ต้นไม้โลกไม่ได้ไปไหน หากมีเวลาฉันจะพานายมาเก็บมัน แต่ตอนนี้เราต้องไปแอสการ์ดก่อน!”

เอริคแตะต้นไม้โลกและเปิดใช้งานคาถารูนส่งพวกเขาเดินทางตรงไปยังวานาไฮม์ ซึ่งเป็นถิ่นฐานของชนเผ่าเทพวานา บ้านเกิดของฟริกกา ภรรยาของโอดิน

เทพวานาและเทพแอสการ์ดมีความแข็งแกร่งและทรงพลังเช่นกัน พวกเขามีอายุยืนยาว ทนต่อโรคภัยไข้เจ็บ และมีพลังเวทมนตร์ที่โอดินเองยังแอบชื่นชม

ซึ่งในตำนานนอร์สเทพวานาและเทพแอสการ์ดถือว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน

เพราะในตำนานนอร์ส เทพองค์แรกของชาวนอร์สคือ บริ  ผู้ให้กำเนิดบุตรชายสามคน ได้แก่ บอร์, มิมีร์ และ นีคูด บอร์มีบุตรชายอีกสามคนคือ โอดิน, วี และ วิลี โดยบอร์และลูกชายทั้งสามได้ร่วมกันก่อตั้งแอสการ์ด ส่วนพี่ชายของบอร์คือ นีคูด เลือกเดินทางจากครอบครัวไปก่อตั้ง วานาไฮม์ และเผ่าพันธุ์เทพวานา

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเพียงตำนานบนโลกมนุษย์ ซึ่งอาจไม่ตรงกับประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของเทพวานา ส่วนเรื่องที่ว่าแท้จริงแล้วพวกเขามาจากไหน คำถามนี้ยังคงไม่มีคำตอบชัดเจน แม้แต่โอดินเองก็อาจไม่ทราบแน่ชัด

สิ่งที่แน่นอนคือเทพวานานั้นทรงพลัง พวกเขาเคยทำสงครามกับเทพแอสการ์ดเป็นเวลาหลายพันปีโดยไม่มีฝ่ายใดชนะอย่างเด็ดขาด จนกระทั่งเกิดข้อตกลงสงบศึกหลังผ่านความขัดแย้งมากมาย และหนึ่งในผู้เสียสละในข้อตกลงนี้ก็คือ ฟริกกา

ใช่แล้ว ความรักของโอดินและฟริกกา ซึ่งหลายคนมองว่าโรแมนติกแท้จริงแล้วเป็นเพียงการแต่งงานทางการเมืองที่เต็มไปด้วยความมืดมน

เอริคไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์ของเทพวานามากนัก และไม่ต้องการพบพวกเขาแม้แต่น้อย เป้าหมายเดียวของเขาคือเดินทางไปแอสการ์ดให้เร็วที่สุดเพื่อสะสางบัญชีกับโอดิน

แต่แล้วสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้เกิดก็เกิดขึ้นตามกฎของเมอร์ฟีที่ว่า “หากมีความเป็นไปได้ที่สิ่งใดจะผิดพลาด มันก็จะเกิดขึ้น”

เมื่อเอริคและอีทรี่ใช้การเคลื่อนย้ายมิติ พวกเขากลับมาปรากฏตัวอยู่กลางทะเลกว้างใหญ่

ตอนแรกเอริครู้สึกพอใจกับสถานที่นี้ คิดว่ามันเงียบสงบและไม่มีใครสามารถพบพวกเขาได้ แต่เมื่อทั้งคู่ล่องลอยไปทั้งวันโดยไม่พบผืนดินเลย ความคิดนั้นก็เปลี่ยนไปทันที

พวกเขากำลังถูกจับตามอง และเหมือนจะถูกกักอยู่ในมหาสมุทรแห่งนี้!

“ใครกันแน่ที่ทำแบบนี้?” เอริคพูดพร้อมหลับตาสัมผัสพลังโดยรอบ จนกระแสคลื่นทะเลกลายเป็นระลอกคลื่นขนาดใหญ่

“นเยิร์ด เทพแห่งท้องทะเล!” อีทรี่ตอบด้วยเสียงสั่น “หมอนั่นอารมณ์ร้อนยิ่งกว่าคนแคระซะอีก แถมโอดินเองก็ยังเคยพ่ายแพ้ให้กับเขา!”

เอริคแค่นเสียงเยาะเย้ยทันที “เทพแห่งท้องทะเล? ฮึ!”

เขาสวมชุดเกราะผู้พิทักษ์และยกหอกแห่งวัฏจักรขึ้นฟาดลงสู่ผิวน้ำทันที ก่อนที่จะมีความมืดที่หมุนวนเป็นหลุมดำปรากฏขึ้นกลางทะเล และดูดกลืนสายน้ำโดยรอบเข้าไปอย่างรวดเร็ว

“นเยิร์ด! ฉันมีสองทางให้นายเลือก ยอมสวามิภักดิ์ . . . หรือไม่ก็เตรียมตายซะ!”

โปรดติดตามตอนต่อไป …

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด