ตอนที่ 290 ยอมสวามิภักดิ์ หรือไม่ก็เตรียมตัวตายซะ!
ตอนที่ 290 ยอมสวามิภักดิ์ หรือไม่ก็เตรียมตัวตายซะ!
หลังจากชุดเกราะถูกสร้างเสร็จ อีทรี่ก็ถามเอริคว่าอยากตั้งชื่ออะไรให้กับชุดเกราะนี้
เอริคเงียบอยู่นานมาก พร้อมกับภาพในหัวของเขาที่ปรากฏเป็นใบหน้าของหญิงสาวผิวสีน้ำเงินคนหนึ่ง เธออาจจะยังรอเขาอยู่ในอีกจักรวาลหนึ่ง หรือบางที . . . เธออาจจะกลายเป็นโครงกระดูกสีชมพูไปแล้ว
“ผู้พิทักษ์” เอริคพูดขึ้นพร้อมสะบัดหัวเหมือนปัดความลังเลในใจ “ผู้พิทักษ์จักรวาล ผู้พิทักษ์ผู้คนในอดีต และผู้พิทักษ์ความหวัง แม้จะต้องข้ามจักรวาล ฉันก็ไม่มีวันยอมแพ้!”
“ผู้พิทักษ์?” อีทรี่พึมพำสองสามครั้งด้วยความงุนงง ก่อนจะยักไหล่และไม่ถามต่อ “การตั้งชื่อให้ชุดเกราะเป็นสิทธิ์ของเจ้าของ ข้าเป็นเพียงช่างตีเหล็ก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”
เอริคสวมชุดเกราะผู้พิทักษ์เต็มตัว ยืนตัวตรงเหมือนเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และคำพูดของเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจที่ปฏิเสธไม่ได้ “อีทรี่ ไปสร้างเรือของนาย ถึงเวลาที่เราจะกลับแอสการ์ดกันแล้ว!”
“รับทราบ!” อีทรี่โค้งคำนับโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวและรีบเงยหน้ามองไปที่เอริคที่กำลังเดินจากไป
. . .
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา อีทรี่สร้างเรือเสร็จสมบูรณ์ ถึงแม้จะเรียกว่าเรือ แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นยานบินที่มีรูปร่างเหมือนเรือมากกว่า
อีทรี่ได้อธิบายว่าเส้นทางลับที่พวกเขาจะใช้ไม่ได้เป็น ‘ถนน’ จริง ๆ เพราะแอสการ์ดและไนดาเวลเลียร์ไม่ได้อยู่ในมิติเดียวกัน จะเดินทางผ่านได้ต้องใช้ความเร็วสูงและเกราะป้องกันที่แข็งแกร่ง
“ทางลับนี้มีทางเข้าอยู่ที่วานาไฮม์ และทางออกอยู่หลังน้ำตกเล็ก ๆ ในแอสการ์ด” อีทรี่เล่า “โลกินี่แหละที่เคยแอบใช้ทางนี้ออกจากแอสการ์ดไปจีบเทพีของวานาไฮม์ วันหนึ่งข้าจับได้ เขาเลยติดสินบนข้าด้วยเหล้าชั้นดีอายุพันปีของแอสการ์ด แล้วยังบอกตำแหน่งทางลับนี้ให้ข้าด้วย!”
เอริคฟังแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย ‘โลกิ อีกแล้วเหรอ?’
ก่อนที่เขาจะนึกถึงอีกเส้นทางที่โลกิเคยใช้เดินทางจากแอสการ์ดไปยังสวาทาลฟ์ไฮม์ ดินแดนของดาร์กเอลฟ์
“ดังนั้นเราต้องไปวานาไฮม์ก่อนถึงจะไปแอสการ์ดได้ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว!” อีทรี่พยักหน้าภูมิใจ “ด้วยเรือลำนี้ เราจะใช้เวลาเพียงสองเดือนในการไปถึงวานาไฮม์!”
เอริคถึงกับพูดไม่ออก “สองเดือน? ถ้ารู้ว่าจะช้าขนาดนี้ ฉันคงไม่รอให้นายสร้างเรือแน่!”
เอริคจับอีทรี่ขึ้นเรือและแตะเรือด้วยอีกมือ ก่อนจะใช้พลังของอัญมณีอวกาศพาทั้งสองไปใกล้ต้นไม้โลกทันที แม้ว่าอัญมณีอวกาศจะพาเขาไปยังที่ใดก็ได้ในจักรวาล แต่มันไม่สามารถข้ามมิติได้ วานาไฮม์ แอสการ์ด และมูสเปลไฮม์ (ดินแดนของเซอร์เทอร์) ล้วนอยู่ในมิติเดียวกันบนยอดของต้นไม้โลก
เมื่ออีทรี่เห็นต้นไม้โลก เขาก็ตกใจและรีบกระโดดขึ้นเรือบินตรงไปพร้อมกับหยิบกรรไกรยักษ์ออกมาอย่างรวดเร็ว
“นายจะทำอะไร?” เอริคถามพร้อมรีบดึงตัวอีทรี่กลับมาเมื่อเห็นดวงตาของอีทรี่แดงก่ำเหมือนหมาป่าหิวโซที่เจอเหยื่อ
เอริคตบหน้าผากตัวเองแล้วนึกขึ้นได้ว่ากิ่งของต้นไม้โลกเป็นวัสดุหายากสำหรับการตีเหล็ก ค้อนของธอร์เองก็ใช้กิ่งไม้โลกเป็นด้ามจับเช่นกัน
“ใจเย็น!” เอริคปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทำให้อีทรี่สงบลงในทันที “ต้นไม้โลกไม่ได้ไปไหน หากมีเวลาฉันจะพานายมาเก็บมัน แต่ตอนนี้เราต้องไปแอสการ์ดก่อน!”
เอริคแตะต้นไม้โลกและเปิดใช้งานคาถารูนส่งพวกเขาเดินทางตรงไปยังวานาไฮม์ ซึ่งเป็นถิ่นฐานของชนเผ่าเทพวานา บ้านเกิดของฟริกกา ภรรยาของโอดิน
เทพวานาและเทพแอสการ์ดมีความแข็งแกร่งและทรงพลังเช่นกัน พวกเขามีอายุยืนยาว ทนต่อโรคภัยไข้เจ็บ และมีพลังเวทมนตร์ที่โอดินเองยังแอบชื่นชม
ซึ่งในตำนานนอร์สเทพวานาและเทพแอสการ์ดถือว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน
เพราะในตำนานนอร์ส เทพองค์แรกของชาวนอร์สคือ บริ ผู้ให้กำเนิดบุตรชายสามคน ได้แก่ บอร์, มิมีร์ และ นีคูด บอร์มีบุตรชายอีกสามคนคือ โอดิน, วี และ วิลี โดยบอร์และลูกชายทั้งสามได้ร่วมกันก่อตั้งแอสการ์ด ส่วนพี่ชายของบอร์คือ นีคูด เลือกเดินทางจากครอบครัวไปก่อตั้ง วานาไฮม์ และเผ่าพันธุ์เทพวานา
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเพียงตำนานบนโลกมนุษย์ ซึ่งอาจไม่ตรงกับประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของเทพวานา ส่วนเรื่องที่ว่าแท้จริงแล้วพวกเขามาจากไหน คำถามนี้ยังคงไม่มีคำตอบชัดเจน แม้แต่โอดินเองก็อาจไม่ทราบแน่ชัด
สิ่งที่แน่นอนคือเทพวานานั้นทรงพลัง พวกเขาเคยทำสงครามกับเทพแอสการ์ดเป็นเวลาหลายพันปีโดยไม่มีฝ่ายใดชนะอย่างเด็ดขาด จนกระทั่งเกิดข้อตกลงสงบศึกหลังผ่านความขัดแย้งมากมาย และหนึ่งในผู้เสียสละในข้อตกลงนี้ก็คือ ฟริกกา
ใช่แล้ว ความรักของโอดินและฟริกกา ซึ่งหลายคนมองว่าโรแมนติกแท้จริงแล้วเป็นเพียงการแต่งงานทางการเมืองที่เต็มไปด้วยความมืดมน
เอริคไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์ของเทพวานามากนัก และไม่ต้องการพบพวกเขาแม้แต่น้อย เป้าหมายเดียวของเขาคือเดินทางไปแอสการ์ดให้เร็วที่สุดเพื่อสะสางบัญชีกับโอดิน
แต่แล้วสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้เกิดก็เกิดขึ้นตามกฎของเมอร์ฟีที่ว่า “หากมีความเป็นไปได้ที่สิ่งใดจะผิดพลาด มันก็จะเกิดขึ้น”
เมื่อเอริคและอีทรี่ใช้การเคลื่อนย้ายมิติ พวกเขากลับมาปรากฏตัวอยู่กลางทะเลกว้างใหญ่
ตอนแรกเอริครู้สึกพอใจกับสถานที่นี้ คิดว่ามันเงียบสงบและไม่มีใครสามารถพบพวกเขาได้ แต่เมื่อทั้งคู่ล่องลอยไปทั้งวันโดยไม่พบผืนดินเลย ความคิดนั้นก็เปลี่ยนไปทันที
พวกเขากำลังถูกจับตามอง และเหมือนจะถูกกักอยู่ในมหาสมุทรแห่งนี้!
“ใครกันแน่ที่ทำแบบนี้?” เอริคพูดพร้อมหลับตาสัมผัสพลังโดยรอบ จนกระแสคลื่นทะเลกลายเป็นระลอกคลื่นขนาดใหญ่
“นเยิร์ด เทพแห่งท้องทะเล!” อีทรี่ตอบด้วยเสียงสั่น “หมอนั่นอารมณ์ร้อนยิ่งกว่าคนแคระซะอีก แถมโอดินเองก็ยังเคยพ่ายแพ้ให้กับเขา!”
เอริคแค่นเสียงเยาะเย้ยทันที “เทพแห่งท้องทะเล? ฮึ!”
เขาสวมชุดเกราะผู้พิทักษ์และยกหอกแห่งวัฏจักรขึ้นฟาดลงสู่ผิวน้ำทันที ก่อนที่จะมีความมืดที่หมุนวนเป็นหลุมดำปรากฏขึ้นกลางทะเล และดูดกลืนสายน้ำโดยรอบเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“นเยิร์ด! ฉันมีสองทางให้นายเลือก ยอมสวามิภักดิ์ . . . หรือไม่ก็เตรียมตายซะ!”
โปรดติดตามตอนต่อไป …