ตอนที่ 14 เยี่ยมเยียนตระกูลหลิน
ตอนที่ 14 เยี่ยมเยียนตระกูลหลิน
วันต่อมา
สือฮ่าวและหลินไป๋เดินออกมาจากหอฝึกตน
“ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่ เคล็ดวิชากระบี่บัวมรกตของข้าบรรลุขั้นเล็กแล้ว!”
“จริงหรือ? งั้นข้ายินดีกับศิษย์น้องด้วย สำหรับข้าตอนนี้เคล็ดวิชาสังสารวัฏของข้าก็ก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว”
“การฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ศิษย์พี่ เรามาประลองกันดีหรือไม่?”
“ดีเลย ข้ากำลังกลัดกลุ้มที่ไม่มีที่ให้ระบายอยู่พอดี ข้าจะกดพลังลงมาให้ต่ำกว่าหนึ่งขอบเขต เราจะได้ประลองกันอย่างยุติธรรม”
สือฮ่าว ผู้เป็นทั้งนักต่อสู้และผู้คลั่งไคล้การบ่มเพาะ เมื่อได้ยินศิษย์น้องชวนประลองก็ตอบรับด้วยความดีใจ ท่านอาจารย์ของเขาเคยบอกไว้ว่า การฝึกตนก็เหมือนการล่องเรือทวนน้ำ หากไม่ก้าวหน้าก็เท่ากับถอยหลัง การต่อสู้จริงคือวิธีที่ทำให้พัฒนาตนได้เร็วที่สุด
เฟิงชิงหยาง: ข้าเคยพูดแบบนี้ที่ไหนกัน พวกเจ้าอย่ามุ่งมั่นเกินไปนัก หากพวกเจ้าจริงจังเกินเหตุ ข้าคงต้องวางมือเลิกยุ่งแล้วนะ!
ทั้งสองต่างเห็นพ้องต้องกัน จึงมุ่งหน้าไปยังลานประลองของสำนัก
“เฮ้ๆ งั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ ศิษย์น้อง เจ้าระวังตัวด้วย”
“รับกระบวนกระบี่!”
หลินไป๋รู้ดีถึงความแข็งแกร่งของศิษย์พี่ตนเอง ผู้ที่วันนั้นลุยเดี่ยวเผชิญหน้ากับเหล่าอัจฉริยะจากสำนักต่างๆด้วยความกล้าหาญ ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะใช้สุดยอดวิชาแต่แรกเริ่ม
“ฮ่าฮ่า มาได้ดี!”
“เคล็ดวิชาสังสารวัฏ!”
ด้วยการหมุนเวียนพลังวิญญาณอย่างรวดเร็ว สือฮ่าวก็เปิดฉากด้วยท่าสุดยอดเช่นกัน
หมัดและกระบี่ปะทะกันอย่างดุเดือด พลังวิญญาณและเงากระบี่พลุ่งพล่านไปทั่ว
“หมัดสังสารวัฏ!”
สือฮ่าวมุ่งตรงไปข้างหน้าไม่ถอย ใช้วิชาหมัดที่แข็งแกร่งที่สุด หมัดแต่ละหมัดรุนแรงราวกับการโจมตีทำลายล้าง กระทั่งอากาศก็สะท้านสะเทือนจนเกิดเสียงระเบิด
“เป็นหมัดที่ดี!”
“กระบวนท่าที่หนึ่งของ เคล็ดกระบี่บัวมรกต—บัวมรกตนำทาง!”
กระบี่บัวมรกตในมือของหลินไป๋ถูกวาดออกอย่างงดงาม การรับมือของเขาคล่องแคล่วไร้ที่ติ บนพื้นดินปรากฏดอกบัวเขียวมากมาย พลังกระบี่อันคมกริบพุ่งเข้าโจมตีสือฮ่าว
“เจตจำนงกระบี่!”
“ไม่นึกเลยว่าศิษย์น้องจะเข้าใจเจตจำนงกระบี่ได้เร็วขนาดนี้!”
แต่เนื่องจากประสบการณ์การต่อสู้ของหลินไป๋ยังน้อยมาก เรียกได้ว่าแทบไม่มีเลย ไม่นานเขาก็พ่ายแพ้
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะก่อนหน้านี้เขาเพิ่งอยู่ในขอบเขตหลอมรวมขั้นต้น จะให้ไปประลองกับใคร? จะไปแกล้งเด็กก็ดูจะเกินไป… เด็กพวกนั้นยังมีระดับพลังสูงกว่าเขาเสียอีก…
“ศิษย์พี่เก่งจริง ข้ายอมแพ้”
“ไม่หรอก ศิษย์น้อง เจ้าขาดเพียงประสบการณ์ หากต่อสู้มากขึ้น เจ้าจะไล่ตามข้าทันเอง”
“ท่านอาจารย์บอกไว้ว่า การต่อสู้จริงคือวิธีที่ทำให้พัฒนาได้เร็วที่สุด”
“จริงสิ ศิษย์พี่ ข้าจะลงสำนักไปสองสามวัน
วันก่อนที่ข้ามาถึงสำนัก ข้ายังไม่ได้แจ้งข่าวดีเรื่องที่ข้าสามารถบ่มเพาะได้และเข้าร่วมสำนักกับทางบ้านเลย ข้าคิดว่าควรจะกลับไปบอกข่าวให้ทราบ”
“เช่นนั้น ข้าขอให้เจ้าปลอดภัยตลอดการเดินทาง”
“ขอบคุณศิษย์พี่ ข้าจะไปแจ้งท่านอาจารย์ก่อน”
…
“เจ้าจะลงสำนักไปหลายวัน?”
“เจ้าหนุ่ม คงคิดถึงคู่หมั้นของเจ้าแล้วล่ะสิ”
เฟิงชิงหยางยิ้มขณะพูด เผยให้เห็นว่าเขามองทะลุจิตใจหลินไป๋ได้
วันงานรับศิษย์ เขาเองก็ได้ยินคำพูดของหลินไป๋
“ก็ได้ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย ไหนๆข้าก็เป็นอาจารย์ของเจ้าแล้วนี่”
ในเมื่อช่วงนี้ไม่มีภารกิจต้องทำ คงดีกว่าที่จะพาหลินไป๋ออกไปท่องโลกภายนอก มากกว่าการนั่งเฉยๆอยู่ในสำนัก
“เยี่ยมเลย! ขอบคุณท่านอาจารย์!”
…..
โลกหวงหวู่ ภาคตะวันออก
ราชวงศ์ต้าโจว—เมืองเทียนอู่
ด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ เฟิงชิงหยางและหลินไป๋เดินทางมาถึงเมืองเทียนอู่ในเวลาต่อมา
เพื่อความปลอดภัย อาวุโสสายนอกเย่ไป๋ได้ติดตามมาด้วย แต่ด้วยภายใต้คำสั่งของเฟิงชิงหยาง เขาซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ
“ถึงแล้ว! ถึงแล้ว! ท่านอาจารย์ ข้างหน้านั่นคือเมืองเทียนอู่!”
หลินไป๋กล่าวด้วยความตื่นเต้น เขาไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
เพียงไม่กี่วัน เขาราวกับเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
การเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเช่นนี้ คงทำให้คนอื่นต้องตะลึง
เด็กหนุ่มที่เคยถูกมองว่าอ่อนแอ บัดนี้กลับเป็นดั่งนักรบผู้กล้าหาญ ยืนหยัดเผชิญหน้ากับกาลเวลาโดยไม่หวาดกลัว
ข้า หลินไป๋ จะไม่ใช่ตัวตลกอีกต่อไป!
“ไปเถอะ ท่านอาจารย์ ข้าจะพาท่านไปสถานที่ฟังเพลงที่ดีที่สุดในเมืองนี้เอง!”
หลินไป๋ ผู้ที่เคยผิดหวังในเส้นทางการบ่มเพาะมาก่อน ได้ท่องเที่ยวในเมืองอย่างเพลิดเพลิน การกินดื่มล้วนเป็นสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ…
“อะแฮ่มๆ ศิษย์ของข้าเอ๋ย ที่เจ้าพูดมานี้ทำให้ข้าตื่นเต้นแล้วสิ! สถานที่ฟังเพลงนั้น…เป็นสถานที่ที่ดีงามจริงหรือ?”
เมื่อเข้ามาในเมือง หลินไป๋สังเกตเห็นบรรยากาศภายในเงียบสงบและเคร่งเครียดกว่าที่คาดไว้
ชื่อเสียงของหลินไป๋ในเมืองนี้เป็นที่รู้จักดี พอเขาก้าวเข้าเมือง ผู้คนก็จำเขาได้ทันที
“ดูนั่น! นั่นใช่ไหมหลินไป๋ บุตรชายคนโตของตระกูลหลินหรือ?”
“เฮ้? ทำไมเขาถึงกลับมาตอนนี้กันล่ะ? ตอนนี้ตระกูลหลินกำลังมีความขัดแย้งเป็นตายกับตระกูลหวัง เขากลับมาในเวลานี้เพื่อจะอยู่เคียงข้างกับตระกูลหรือ? แม้ว่าจะเป็นคนอ่อนแอ แต่ก็ยังพอมีความกล้าหาญอยู่บ้าง”
“ได้ยินว่าคู่หมั้นที่เป็นเพื่อนเล่นของเขาตั้งแต่เด็ก ได้เข้าร่วมสำนักชั้นนำแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”
“เป็นเรื่องจริง! ข้าได้ยินจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ น่าเสียดายดอกไม้สวยกลับปักลงบนดินโคลน!”
หลินไป๋กับเฟิงชิงหยางมาถึงประตูบ้านตระกูลหลินในเวลาไม่นาน พอเห็นพวกเขากลับมา ทหารยามที่ถือดาบเฝ้าประตูอยู่ก็ตื่นตัวขึ้นทันที รีบวิ่งไปแจ้งข่าว
“คุณชายใหญ่กลับมาแล้ว! คุณชายใหญ่กลับมาแล้ว!”
หลินไป๋ขมวดคิ้วมองบรรดาทหารยามที่มากมายกว่าปกติถึงหลายเท่า แต่ละคนตั้งท่าเตรียมพร้อมราวกับมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น เขารู้สึกสังหรณ์ใจว่าช่วงที่เขาไม่อยู่ ตระกูลหลินอาจประสบปัญหาอะไรบางอย่าง
เขารีบเดินตรงไปยังห้องโถงใหญ่ของตระกูลทันที
“ดีจริงๆ! พี่หลินไป๋กลับมาแล้ว!”
“พี่หลินไป๋ปลอดภัย! พี่หลินไป๋กลับมาแล้ว!”
ระหว่างทางที่เขาเดินผ่าน สมาชิกตระกูลหลินที่พบหน้าเขาล้วนยิ้มและแสดงความยินดี หลินไป๋รู้สึกโล่งใจขึ้นหลายส่วน
เมื่อเขาก้าวเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ก็พบว่าบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลหลินอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกคนดูเหมือนกำลังหารือเรื่องสำคัญ
“ไป๋เอ๋อร์! เจ้าไม่เป็นไร! ดีจริงๆ!”
หลินจ้าน ผู้เป็นบิดาเห็นลูกชายปลอดภัยกลับมาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สีหน้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ผู้อาวุโสในห้องโถงก็ต่างพากันถามไถ่หลินไป๋ด้วยความห่วงใย
“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลินไป๋ถามสิ่งที่คาใจอยู่ในใจ มองดูบรรยากาศนี้ชัดเจนว่ามีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นแน่ๆ
“ตระกูลหวังที่น่ารังเกียจ! พวกเขาร่วมมือกับตระกูลไป๋จู่โจมเราอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้พวกเราต้องเสียหายไปมาก”
หลินจ้านพูดด้วยเสียงโกรธเกรี้ยว
“พวกมันกล่าวหาว่าเจ้าเป็นคนสังหารบุตรชายคนโตของตระกูลหวัง และต้องการให้เรามอบตัวเจ้า
บวกกับที่เจ้าหายไปหลายวันโดยไร้ข่าว เรากลัวว่าเจ้าจะถูกจับตัวไปและเกิดอันตราย
แต่โชคดีที่เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย ไป๋เอ๋อร์”
เฟิงชิงหยางเดินเข้ามาในห้องโถงด้วย เขาได้ยินการสนทนาก่อนหน้านี้และเดาว่าเป็นเรื่องของเจ้าตัวตลกที่เขาเคยฆ่าโดยไม่ตั้งใจ
“ท่านพ่อ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง หวังเทียนคนนั้น ข้าเป็นคนฆ่า”
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก ไป๋เอ๋อร์ ข้าเองก็ไม่ชอบตระกูลหวังมานานแล้ว ไม่ช้าก็เร็วต้องมีการปะทะกันอยู่ดี”
“ใช่ ใช่ ตระกูลหวังนี้ทำตัวเป็นศัตรูกับตระกูลเรามาตลอด ไม่นานก็ต้องถูกทำลาย!”
“คุณชายใหญ่ฆ่าได้ดี!”
เหล่าผู้อาวุโสพยักหน้าเห็นด้วย
ในขณะนั้น หลินจ้านและบรรดาผู้อาวุโสเห็นคนอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องโถง
เขาเป็นชายหนุ่มในชุดขาวดุจหิมะ ดวงตาดูคมกล้า ใบหน้าหล่อเหลา
“ไป๋เอ๋อร์ คนผู้นี้คือใคร?”
“อ้อ ข้าลืมแนะนำไป นี่คือท่านอาจารย์ของข้า และยังเป็นเจ้าสำนักของสำนักชิงหยุนด้วย”
“สำนักชิงหยุน? ฟังดูคุ้นๆ แต่นึกไม่ออกว่าจากที่ไหน”
เหล่าผู้มีอำนาจที่ถูกสังหารโดยสำนักชิงหยุนยังปิดข่าวเรื่องนี้อยู่ กำลังหารือหาวิธีจัดการกันอยู่ ดังนั้นข่าวยังไม่ได้แพร่กระจายออกไป
“ไป๋เอ๋อร์ เจ้าสังกัดสำนักแล้วหรือ?”
หลินจ้านพูดด้วยความตื่นเต้น สิบปีเต็มแล้ว ในที่สุดก็มีสำนักที่ยอมรับหลินไป๋…
“ใช่แล้ว ท่านพ่อ
และด้วยความช่วยเหลือของท่านอาจารย์ ข้ายังปลุกกายาพิเศษในตัวและทะลวงขอบเขตการบ่มเพาะได้อีกด้วย ลองสัมผัสดูเถิด”
เมื่อพูดจบ หลินไป๋ก็ปล่อยพลังของตนเองออกมา
“ขอบเขตก่อตั้งรากฐานขั้นสูงสุด!”
การแสดงของหลินไป๋ในครั้งนี้ทำให้ทุกคนในตระกูลหลินถึงกับตกตะลึง
แค่ไม่กี่วัน หลินไป๋สามารถทะลวงผ่านหลายขอบเขต เด็กหนุ่มอัจฉริยะที่เคยหล่นหายไป ตอนนี้กลับมาในฐานะผู้แข็งแกร่งอีกครั้ง!
ตระกูลหลินกำลังจะกลับมาผงาด!
เหล่าผู้อาวุโสบางคนถึงกับน้ำตาไหลด้วยความตื้นตัน
“ดี! ดี!! ดี!!!”
หลินจ้านที่ตื่นเต้นที่สุดแทบจะพูดอะไรไม่ออก
“โอ้ ท่านคืออาจารย์ของไป๋เอ๋อร์”
“ท่านเจ้าสำนัก รีบเชิญนั่ง เชิญนั่ง! คนรับใช้ จัดชาให้ รีบนำชาชั้นดีมาเดี๋ยวนี้!”
หลินจ้านที่ได้สติกลับมา รีบต้อนรับอย่างกระตือรือร้น