ตอนที่ 11 ความตกใจของหลิงปิงหนิง
ตอนที่ 11 ความตกใจของหลิงปิงหนิง
【"ติ้ง! ขอแสดงความยินดีกับนายท่านที่ทำภารกิจในการชุมนุมครั้งนี้จนประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ ชุดเครื่องแบบของสำนักได้ถูกส่งมอบแล้ว โปรดตรวจสอบ"】
【"ติ้ง! ภารกิจสำเร็จสมบูรณ์แบบเต็มร้อย คะแนนพิเศษ! ชุดเครื่องแบบของสำนักสามารถจัดส่งได้ไม่จำกัด"】
“ความสำเร็จยิ่งใหญ่? ฆ่าล้างยอดฝีมือทั้งหมดไปแล้ว จะไม่ให้โดดเด่นได้อย่างไรกัน”
ครานี้ชื่อเสียงสำนักชิงหยุนของข้า คงจะต้องสะท้านสะเทือนทั่วภาคตะวันออก อีกไม่นานนักก็จะบรรลุภารกิจแห่งการสร้างชื่อเสียงอันเกรียงไกรได้แน่แท้
“ชุดเครื่องแบบของสำนักก็ถูกส่งมาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าหน้าตาจะเป็นเช่นไร? มีคุณสมบัติพิเศษหรือไม่?”
【ในฐานะผู้สืบทอดที่จะก้าวสู่สำนักเทพอันดับหนึ่งของมหาจักรวาลในอนาคต รางวัลชุดเครื่องแบบของสำนักจากระบบย่อมไม่ใช่เรื่องล้อเล่น! หากใครมาเห็นสำนักเรายังไม่ชุดสำนัก นั่นไม่อายหรอ】
【“ติ๊ง! ชุดเครื่องแบบของสำนักไม่เพียงแต่จัดส่งได้ไม่จำกัด แต่ยังงดงามอย่างสูงส่ง เมื่อสวมใส่จะไม่มีสิ่งสกปรกเปื้อนติด ไม่ถูกน้ำไฟทำลาย และยังมีโชคลาภจากมหาวิถีคุ้มครอง”】
“ข้าไม่เคยรู้เลยว่า สำนักของท่านจะมีผู้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ นับเป็นความผิดพลาดของข้าเอง”
ยอดฝีมือขอบเขตเบิกฟ้าฟ้าขั้นสูงสุด แม้แต่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกนาง ก็ยังนับเป็นกำลังหลักที่สำคัญ
สำนักชิงหยุนกลับยิ่งดูลึกลับในสายตาของนางมากยิ่งขึ้น
“การที่แม่นางมาช่วยเหลือในยามยากลำบากเช่นนี้ ย่อมนับเป็นความกรุณายิ่ง
แต่เมื่อข้าอาวุโสสายนอกของสำนักชิงหยุนอยู่ที่นี่แล้ว พวกตัวตลกเหล่านี้คงไม่อาจทำสิ่งใดได้”
“อาวุโสสายนอก!”
“เพียงแค่ผู้อาวุโสสายนอกยังมีฝีมือแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!”
นางคิดว่าผู้แข็งแกร่งขอบเขตเบิกฟ้าขั้นสูงสุดผู้นี้ คงต้องเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของสำนักชิงหยุนอย่างแน่นอน แต่มิได้คาดคิดว่ากลับเป็นเพียงผู้อาวุโสสายนอกเท่านั้น
โฉมงามผู้เย็นชาอย่าง หลิงปิงหนิง ที่ไม่เคยแสดงอารมณ์กลับสั่นคลอนเล็กน้อย สำนักชิงหยุนนี้ช่างลึกลับและยิ่งใหญ่จริงๆ หรืออาจเป็นสำนักลับที่ซ่อนตัวอยู่!
“ศิษย์พี่! ศิษย์พี่ ท่านปลอดภัยดีหรือไม่!”
เด็กสาวคนหนึ่งร้องเรียกอย่างร้อนรนพลางวิ่งเข้ามา
“เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าไม่ได้บอกให้เจ้ากลับไปก่อนแล้วหรือ? เหตุใดเจ้าถึงกลับมาอีก”
ผู้ที่มาถึงคือหลิวเสวี่ย ศิษย์น้องของหลิงปิงหนิง
“ศิษย์พี่ยังไม่กลับ ข้าก็จะไม่กลับเช่นกัน”
เมื่อตะกี้นางเห็นศิษย์พี่ของนางบินไปยังเวทีกลางเพื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือมากมาย นางก็ร้อนใจแทบจะเอาสิ่งที่อาจารย์ให้ไว้เพื่อรักษาชีวิตมาใช้
แต่แล้วก็เห็นคนจากสำนักชิงหยุน บินออกมาหนึ่งคน เป็นชายวัยกลางคนที่มีพลังรุนแรง ทำลายทุกคนในคราวเดียว นางจึงรีบวิ่งกลับมาอย่างร้อนรน
หลิงปิงหนิงรู้สึกซาบซึ้ง ศิษย์น้องที่ไม่ทอดทิ้งนางแม้จะเป็นการตัดสินใจส่วนตัวของนาง
“เอาล่ะ เรื่องราวก็สิ้นสุดลงแล้ว กลับสำนักเถิด
จริงสิ เพื่อแสดงความขอบคุณ ข้าขอเชิญแม่นางมาเป็นแขกที่สำนักชิงหยุนของข้า
ไม่ทราบว่าแม่นางจะยินยอมหรือไม่?”
เฟิงชิงหยางยืนอยู่ด้วยท่าทีสง่างาม พลางกล่าวคำเชิญ
นางได้ช่วยเหลือเราเช่นนี้ ย่อมต้องตอบแทนด้วยความสมควรเช่นกัน
แน่นอนว่ามี “สิ่งที่ไม่สำคัญที่สุด” อีกประการหนึ่ง นั่นคือภายในสำนักของตนเองนั้นล้วนแต่เป็นบุรุษทั้งสิ้น การมีโฉมงามสองนางนี้อยู่ด้วย ย่อมชวนมองยิ่งนัก
“ข้าจะตามใจท่าน ข้ากับศิษย์น้องเพียงแค่มาท่องเที่ยวภาคตะวันออกนี้พอดี ก็นับว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ชมความยิ่งใหญ่ของสำนักท่าน”
.….
เฟิงชิงหยางและคณะ เดินทางวันละพันลี้จนในไม่ช้าก็มาถึงเบื้องล่างประตูภูเขาของสำนักชิงหยุน
ระหว่างทางนั้น หลินไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะถามศิษย์พี่ใหญ่ สือฮ่าว ด้วยความตื่นเต้น
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านช่างเท่เสียจริง!”
“ท่านเพียงผู้เดียวกลับท้าทายเหล่าอัจฉริยะสิบกว่าคน และยังเอาชนะได้แม้ต้องต่อสู้ข้ามขั้น!
ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเก่งกาจถึงเพียงนี้ ใช้เวลาฝึกฝนมานานเท่าใดแล้ว?”
เมื่อมองดูศิษย์น้องที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น สือฮ่าวก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ จากที่ตนเองถูกทำลายพลังจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ถึงสามวันดี
“ไม่น้อยไม่มาก เพียงสองวันครึ่งเท่านั้น”
“สองวันครึ่ง!”
เขาเองฝึกฝนอย่างหนักมาตลอดสิบปี แต่ยังคงอยู่เพียงขอบเขตหลอมรวมขั้นต้นเท่านั้น เช่นนั้นเขาคงเป็นเพียงสุนัขที่เรียนวิชาไม่สำเร็จแน่แท้!
ใต้ภูเขาชิงหยุน
ทันทีที่ก้าวเข้าสู่เทือกเขาชิงหยุน หลิงปิงหนิงและหลิวเสวี่ยก็รับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่างได้ทันที
บรรยากาศแห่งพลังวิญญาณที่นี่เข้มข้นกว่าภายนอกหลายเท่านัก!
และยิ่งลึกเข้าไป พลังวิญญาณก็ยิ่งบริสุทธิ์หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
จนเมื่อถึงบริเวณเชิงเขาของสำนัก พลังวิญญาณนั้นก็มากมายเพียงพอเทียบเท่าดินแดนภาคกลาง
“ช่างสมกับเป็นสำนักลับที่ยิ่งใหญ่! ที่ตั้งก็ได้เปรียบเป็นอย่างยิ่ง”
หลิงปิงหนิงเผยริมฝีปากสีแดงแผ่วเบาในขณะที่ใจคิดว่าช่างไม่ผิดไปจากที่คาดการณ์ไว้
เฟิงชิงหยางสะบัดมือครั้งใหญ่ บันไดที่ทอดยาวหลายร้อยลี้ยืดยาวลงมาจากยอดเขา บนบันไดนั้นมีหมอกเมฆลอยล่อง แสงสีสันผันเปลี่ยนดูคล้ายเป็นบันไดสู่แดนเซียน
“ไปกันเถิด”
เมื่อเดินผ่านบันไดเข้าสู่ภายในสำนักชิงหยุน
จู่ๆ ทิวทัศน์ก็เปิดกว้าง ดุจดั่งหลุดจากความมืดสู่แสงสว่าง ศาลาและอาคารต่างๆ ตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ พลังแห่งธรรมชาติหมุนเวียนรอบบริเวณนั้น พลังวิญญาณเข้มข้นจนกลายเป็นหมอกบางๆคลุมทั่วสถานที่ ดุจดั่งดินแดนสวรรค์
“ศะ...ศิษย์พี่ เรานี่มาอยู่ในแดนเซียนใช่หรือไม่?”
หลินไป๋ผู้ที่เพิ่งมาเยือนพร้อมกับศิษย์พี่น้องของหลิงปิงหนิงนั้น เหมือนกับได้หลุดเข้ามาในอาณาจักรที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ทุกคนต่างตะลึงงันไปหมด!
สือฮ่าวมองเห็นท่าทางของทุกคน ก็แอบยิ้มเล็กน้อย
“ฮ่าๆ ความรู้สึกแบบนี้ช่างดีจริง ตอนที่ข้ามาถึงที่นี่ครั้งแรกก็คงทำหน้าตาเช่นเดียวกันนี่เอง”
ณ หอชิงหยุน
“นั่งเถิด”
เฟิงชิงหยางเชิญให้ทุกคนได้นั่งลงพร้อมกับสั่งให้สือฮ่าวไปชงชาให้พวกเขา
ใบชานั้นไม่ได้เป็นใบชาชั้นดีอะไรนัก เพียงแค่เป็น ชาวิถี ที่ขุดมาจากระบบเมื่อสองวันก่อนเท่านั้น
หลิงปิงหนิงและหลิวเสวี่ยนั่งลงอย่างระวัง พวกนางจับถ้วยชาขึ้นมาแล้วดื่มรวดเดียวหมด
“!!!”
ชาเย็นสดชื่นไหลลงคอ แล้วกลายเป็นพลังแห่งธรรมชาติหมุนเวียนทั่วร่างกาย
“นี่มันชาวิถี!”
เมื่อรู้สึกถึงพลังแห่งธรรมชาติในกาย หลิงปิงหนิงอุทานขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ใบชานี้แม้แต่ใน ตำหนักหยกขจี ของนางก็นับว่าหายากยิ่ง นางเคยเห็นแค่ครั้งเดียวตอนที่เจ้าสำนักเชิญแขกผู้มีอิทธิพลมาร่วมงานเลี้ยง
“มิใช่ชาดีอันใด ดื่มตามสะดวกเถิด”
เฟิงชิงหยางพูดอย่างจริงใจ ในขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดว่าจะหาข้ออ้างอะไรไปขุดเอาชาดีๆจากระบบมาอีก
‘ดื่มชานี้เข้าไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยนี่นา’
ระบบ: เจ้าเป็นคนบ้ารึ! ใบชาวิถีนี้เป็นสมบัติของสำนักใหญ่ เชื่อมต่อกับพลังแห่งปราชญ์ แม้แต่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ได้ดื่มได้ง่ายๆ การที่คนธรรมดาได้ดื่มนั้นถือว่าเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่แล้ว!
ดูเจ้าสิ ในสองวันเจ้าดื่มไปเท่าไหร่แล้ว ข้าอยากจะถามจริงๆ ว่าเจ้ายังมีสติบ้างหรือไม่ ดื่มมากมายจนไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว!
หลินไป๋เห็นว่าหลิงปิงหนิงตกตะลึงถึงเพียงนั้น ก็คิดว่าชานี้คงมิใช่สิ่งธรรมดา จึงดื่มรวดเดียวหมดเช่นกัน
พลังแห่งธรรมชาติหมุนเวียนในกายของเขา หลั่งไหลไปทั่วร่างกาย
“เป็นอย่างไรบ้าง ศิษย์น้อง รู้สึกอะไรหรือไม่?”
สือฮ่าวถามหลินไป๋ด้วยความอยากรู้ เพราะเขาเองก็ได้ดื่มชานี้มาไม่น้อย รู้ถึงความล้ำลึกของมันดี
“เอิ๊ก!”
“ศิษย์พี่! ข้าจะทะลวงขั้น...เอ่อ...แต่ก็ยังอยู่ใน ขอบเขตหลอมรวมขั้นต้นอยู่ดี...”
หลินไป๋เรอออกมาเบาๆ ด้วยสีหน้าขมขื่น
นอกจากจะรู้สึกได้ว่า ขอบเขตหลอมรวม ขั้นต้นของตนนั้นสมบูรณ์ขึ้นแล้ว ระดับพลังกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
“ศิษย์พี่ ข้าว่าข้าเคยเห็นใบชาแบบนี้ที่อาจารย์เก็บรักษาไว้อย่างดีนะ อาจารย์ของข้ามักจะหวงแหนราวกับเป็นของล้ำค่า”
อาจารย์ที่หลิวเสวี่ยพูดถึงก็คือเจ้าสำนักแห่งตำหนักหยกขจีนั่นเอง
หลังจากดื่มชาเสร็จ และสนทนาเรื่อยเปื่อยกันครู่หนึ่ง
หลิงปิงหนิงลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม
“ท่านเจ้าสำนักเฟิง สำนักของท่านได้กระทำให้สำนักศักดิ์สิทธิ์ของภาคกลางไม่พอใจ ท่านควรเตรียมการรับมือไว้ล่วงหน้า
ระวังตัวไว้ไม่เสียหาย หากมีเรื่องใดที่พวกเรา ตำหนักหยกขจีพอจะช่วยเหลือได้ ก็ยินดีจะช่วยเสมอ”
นางนั้นนอกจากจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งตำหนักหยกขจีแล้ว ยังเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนัก ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่ากับบุตรศักดิ์สิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ ทำให้นางมีอำนาจในการตัดสินใจไม่น้อย
ตำหนักหยกขจีเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มอำนาจที่ยิ่งใหญ่ จึงย่อมทราบความลับที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าใคร พลังอำนาจเหล่านี้ล้วนไม่มีที่ใดที่ง่ายดาย
“ขอบคุณแม่นางหลิงที่มีน้ำใจ แต่สำนักชิงหยุนของข้านั้นมีผู้เชี่ยวชาญมากมาย การที่จะกระทำการล่วงเกินพวกนั้นก็เพราะเราไม่กลัวพวกเขา”
เฟิงชิงหยางตอบกลับอย่างใจเย็น สำนักชิงหยุนมีบรรพชนใน ขอบเขตมหาจักรพรรดิ คอยปกปักษ์รักษาอยู่ แดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็หาได้เป็นปัญหาไม่ แม้กระทั่งอำนาจระดับมหาจักรพรรดิมาก็ไม่กลัว