บทที่ 24 เลี้ยงหมูรอวันเชือด
บทที่ 24 เลี้ยงหมูรอวันเชือด
พูดถึงตรงนี้ ชายชราจึงหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วเริ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ วิธีที่จี้กุนซือนึกออกก็เหลือเพียงวิธีเดียว นั่นคือหาคนธรรมดาที่มีรากวิญญาณมาเอง แล้วฝึกฝนจนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งจุดสูงสุด เมื่อถึงเวลาค่อยดูดซับพลังปราณของอีกฝ่ายได้ตามใจชอบ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็เหมือนกับชาวนาเลี้ยงหมูตัวหนึ่ง รอจนหมูอ้วนพีก็จะเชือดเอาเนื้อมาทำอาหารได้”
หลี่เหยียนมองชายชราด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว ชายชราพูดมามากมายขนาดนี้ ทำให้ตอนนี้เขาเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองและศิษย์พี่ที่ตายไปแล้วอย่างถ่องแท้ หากคำพูดของชายชราชุดเทาถูกต้อง ตัวเขาและศิษย์พี่ไม่ใช่หมูสองตัวที่ถูกเลี้ยงไว้หรอกหรือ? ยิ่งคิดลึกเข้าไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว คิดๆ ดูแล้ว ตัวเขาเองก็ผ่านประตูผีมาแล้ว และศิษย์พี่ตายได้อย่างไรกัน?
ระหว่างที่คิดอย่างรวดเร็ว เขาก็พอจะเดาออก เวลาผ่านไปเดือนกว่าๆ น่าจะเป็นวันที่สี่สิบเก้าที่เกิดปัญหาตอนกลั่นยาในร่างกายเพื่อทะลวงสู่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่ง ตอนนั้นศิษย์พี่ไม่มีทางฝึกฝนจนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดได้อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงเหตุการณ์ถูกดูดพลังปราณ เช่นนั้นเพราะเหตุใดจึงทะลวงสู่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งแล้วร่างกายระเบิดตาย? ยามคิดถึงสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าตัวเองทะลวงสู่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งสำเร็จแล้ว หรือยังอยู่ในขั้นชี้นำพลังปราณกันแน่?
ชายชราในชุดเทามองสีหน้าของหลี่เหยียน เห็นว่าเขาเดาออกไปบ้างแล้ว จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องคิดให้มากความแล้ว ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังก็แล้วกัน เจ้าน่าจะเดาออกว่าคนที่เขาพามาก่อนเจ้า ตายเพราะการฝึกฝน แต่สาเหตุนั้นยังไม่ถูกต้องนัก
เมื่อจี้กุนซือวางแผนได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือหาวิธีคัดเลือกคนที่มีรากวิญญาณ พิษไฟในร่างกายของเขาคงสะกดไว้ได้อีกไม่กี่ปี ดังนั้นต้องรีบหาคนที่เหมาะสม แต่จะไปหาคนธรรมดาที่มีรากวิญญาณได้ที่ไหน เขาไม่มีพลังปราณระดับสร้างรากฐานขึ้นไป ไม่สามารถใช้จิตวิญญาณอันแข็งแกร่งเข้าตรวจสอบคนธรรมดาจำนวนมากว่ามีรากวิญญาณหรือไม่
ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่มี ‘หินทดสอบรากวิญญาณ’ หรือ ‘เสาทดสอบรากวิญญาณ’ ของเหล่าเซียน ที่สามารถตรวจจับหรือสัมผัสร่างกายมนุษย์เพื่อทดสอบรากวิญญาณในระยะหนึ่งได้ เขามีเพียงวิธีทดสอบรากวิญญาณด้วยเข็มเงินระดับต่ำสุด ซึ่งเป็นวิธีระดับต่ำสุดและเก่าแก่ที่สุดที่ผู้ฝึกตนขอบเขตสร้างรากฐานผู้นั้นเห็นใจที่เขาวิงวอนขอร้องจึงมอบให้เขา แต่วิธีนี้ต้องสัมผัสร่างกายของอีกฝ่ายจริงๆ ถึงจะทำได้ โดยการใช้เข็มเงินแทงเข้าไปในจุดชีพจร แล้วถ่ายทอดพลังปราณเข้าไป เพื่อใช้เข็มเงินเป็นตัวนำและทดสอบว่ามีรากวิญญาณหรือไม่
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ยากแล้ว ใครจะยอมให้คนแปลกหน้าเอาเข็มเงินมาทิ่มตัวเองมั่วๆ แถมหลังจากโดนเข็มทิ่มแล้ว หากไม่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ หากใช่ก็เจ็บปวดอย่างมาก แม้เจ้าตัวจะบอกว่าเป็นเซียนที่กำลังรับศิษย์ คนอื่นก็ต้องเชื่อก่อนถึงจะยอม ไม่โดนรุมกระทืบก็บุญแล้ว ถึงแม้พลังปราณในตอนนี้ของเขาจะไม่เกรงกลัวคนธรรมดาแล้ว แต่มันไม่ใช่วิธีที่ดีนัก
เขาจึงใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็นึกถึงค่ายทหารขึ้นมาได้ ทหารในค่ายล้วนแล้วแต่ร่างกายแข็งแรง และมีจำนวนมาก หากเขาสามารถเข้าไปในค่ายทหาร ทั้งยังได้ดำรงตำแหน่งสูง ถึงเวลาก็แค่แสดงวิทยายุทธ์ของตัวเอง สร้างบารมีสูงสุด สุดท้ายก็บอกว่าจะรับศิษย์ ตอนนั้นก็คงจะเลือกได้ตามใจชอบ นี่น่าจะเป็นแผนที่ใช้การได้
ดังนั้นเขาจึงปลอมตัวเป็นจอมยุทธ์ เดินทางไปยังจวนแม่ทัพ ใช้วิทยายุทธ์ที่เขาเคยฝึกฝนในพรรคแสวงเซียน ผนวกกับพลังปราณที่ปล่อยออกมา มันไม่ใช่อะไรที่วิทยายุทธ์ในยุธภพจะเทียบเปรียบ แม้จะเป็นท่าธรรมดาๆ ที่ใช้พลังปราณ แต่ก็มีพลังเซียนอยู่บ้าง การปลอมตัวเป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานย่อมทำได้อย่างสบายๆ นอกจากผู้บำเพ็ญเซียนด้วยกันคงจะมองเห็นความลึกลับนี้ได้ แต่คนธรรมดาๆ จะไปรู้ความลับในความอัศจรรย์นั้นได้อย่างไร
ถัดจากนั้นเขาจึงใช้เคล็ดวิชาล่องหนในยามค่ำคืน ไปที่ค่ายศัตรูเพื่อสืบข่าว กลับมาบอกหงหลินอิง ด้วยพลังปราณของเขา สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายๆ ทำแบบนี้สองสามครั้ง ข่าวจริงข่าวปลอมก็เป็นที่ประจักษ์ ทำให้เขาสามารถเข้าไปในค่ายทหารเพื่อรับตำแหน่งได้อย่างราบรื่น
สุดท้ายจึงหาโอกาสที่ทหารฝ่ายศัตรูยกทัพมาบุก เขาจงใจไม่แจ้งข่าวนี้ให้หงหลินอิงและคนอื่นๆ ทราบ แสร้งทำเป็นออกไปข้างนอก แล้วในช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุดก็แสร้งว่ามาถึงพอดี แสดงพลังอันแข็งแกร่ง ช่วยหงหลินอิงและลูกน้องออกมา จึงได้สร้างเกียรติยศอันสูงส่งในดินแดนชายแดนแห่งนี้
ถึงตอนนี้การรับศิษย์ก็ง่ายยิ่งขึ้นแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการออกตามหาเอง เพียงแค่เขาไปที่ใด ที่นั่นก็มีผู้คนมากมายปรารถนาให้เขาทดสอบ หวังว่าจะได้เข้าเป็นศิษย์ ด้วยวิธีนี้เอง หลังจากผ่านไปหลายปี เขาก็พบคนที่โชคร้ายคนแรกในกองทัพนับแสนนาย”
หลี่เหยียนได้ยินดังนั้น ก็เข้าใจที่มาของตำแหน่งของจี้กุนซือและสาเหตุที่ตัวเองเจ็บปวดมากตอนทดสอบ จนตอนนี้คิดในใจว่า ‘อาจารย์ของข้าช่างเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายแพรวพราวจริงๆ สถานการณ์ที่สิ้นหวังในตอนแรก กลับทำให้พบทางรอดได้ในเวลาไม่กี่ปี เพียงแต่ตอนที่ตัวเองทดสอบรากวิญญาณนั้น ต้องทนทุกข์ทรมานโดยใช่เหตุ บังเอิญเจอนักบวชที่มีพลังปราณและจิตวิญญาณไม่สูง ทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดอย่างมาก แต่ท่านผู้เฒ่าชุดเทาตรงหน้า เพียงแค่จิตวิญญาณก็สามารถตรวจสอบพื้นที่โดยรอบได้เป็นร้อยลี้ เจตจิตหลักยิ่งสามารถตรวจสอบได้ไกลนับพันลี้ นับว่าทรงพลังจนน่าสะพรึงกลัว’ คิดได้ดังนั้น เขาก็อ้าปาก คิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
ถึงแม้ชายชราในชุดเทาจะเป็นเพียงจิตวิญญาณ แต่ก็อยู่มานานกว่าสองล้านปีแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าของเขา ก็เข้าใจความคิดของหลี่เหยียนในทันที จึงพูดว่า “เจ้าอยากจะพูดว่า ในเมื่อข้าเก่งกาจขนาดนั้น ทำไมไม่ช่วยคนที่มีรากวิญญาณคนแรกใช่ไหม?”
หลี่เหยียนคิดในใจ ‘นี่มันปีศาจชัดๆ เขารู้ความคิดของข้าได้อย่างไร’ แต่เขาก็คิดแบบนั้นจริงๆ เพราะอย่างไรเขาก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี จะยอมปล่อยให้คนบริสุทธิ์ตายอย่างง่ายดายได้อย่างไร จึงพยักหน้าตอบว่า “ใช่ขอรับ ท่านมีพลังวิเศษขนาดนั้น การช่วยศิษย์พี่ของข้าก็เป็นเรื่องง่ายๆ ทำไมถึงปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องมาตายอย่างไร้ค่าเช่นนี้?”
ชายชราชุดเทาถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงเจตจิตที่แยกออกมาจากร่างกาย แต่หากเป็นเมื่อล้านปีก่อน แค่เห็นหน้าอาจารย์ของเจ้าไม่ถูกชะตา ข้าก็จะลงมือฆ่าเขา แค่คิดก็สามารถฆ่าผู้ฝึกตนชั้นต่ำแบบนั้นได้แล้ว แต่ผ่านไปสองล้านปี เจตจิตนี้แทบจะหมดสิ้นแล้ว หากตอนนั้นใช้พลังฆ่าเขา ไม่กี่ปีข้าก็คงสลายไป ไม่ต้องพูดถึงการตามหาศิษย์
ยิ่งช่วงหลายหมื่นปีมานี้ สิ่งที่ออกไปข้างนอกเป็นเพียงจิตสำนึก ส่วนเจตจิตหลัก หลับใหลไปนานแล้ว ตอนนี้จิตสำนึกนั้นปลุกข้ายากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ปลุกต้องใช้เวลาประมาณสองเดือน และทุกครั้งที่ตื่นก็จะใช้พลังมากขึ้น ข้าได้แต่รีบรับรู้เรื่องราวที่จิตสำนึกนั้นพบเจอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แล้วแยกจิตสำนึกใหม่ออกมาอีก จากนั้นก็รีบหลับต่อ
“อีกอย่างนะ นิสัยแบบเจ้า ต่อไปต้องเปลี่ยนแปลงเสียใหม่ การบำเพ็ญเซียนก็คือการฝืนลิขิตฟ้า ดังนั้นจึงมีอันตรายนานัปการระหว่างทางนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะรับรู้ได้ในตอนนี้ เพียงแค่ประมาทนิดเดียวก็อาจถึงตายได้ ในโลกแห่งเซียนไม่มีคนดีหรือคนเลว มีแต่ตัวเจ้าเองหรือคนในครอบครัวเท่านั้นที่จะช่วยเจ้าได้ หากเจ้าใจดีเกินไป สุดท้ายก็มีแต่จะตายเร็ว แล้วจะเอาอะไรไปบำเพ็ญเซียน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตามหาหนทางแห่งความเป็นอมตะ”
หลี่เหยียนฟังแล้วได้แต่พยักหน้ารับ แต่ในใจกลับคิดว่า “ข้าเคยรับปากว่าจะไปบำเพ็ญเซียนตั้งแต่เมื่อไหร่ ถ้ามีโอกาสออกจากเมืองด่านขุนเขามรกตนี้ได้ก็จะหาจังหวะหนีกลับไปพาพ่อแม่ พี่ชายและพี่สาวไปหาที่อยู่ใหม่ แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล จะมีที่ให้ข้าซุกหัวนอนบ้างไม่ได้เชียวหรือ ถึงเวลานั้นได้อยู่กับครอบครัว ดีกว่าเป็นเซียนเสียอีก”
ชายชราชุดเทารู้ดีว่า ไม่อาจทำให้เด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งกลายเป็นคนเด็ดขาดและโหดเหี้ยมได้ในเวลาอันสั้น ถึงแม้หลี่เหยียนจะพยักหน้ารับรู้ แต่ในใจอาจจะไม่ได้เห็นด้วยกับคำพูดเหล่านี้ แต่ตอนนี้ก็ทำได้เพียงเท่านี้ เขาจะไปรู้ใจเด็กหนุ่มอย่างหลี่เหยียนได้อย่างไร เด็กหนุ่มมักรู้สึกว่าช่วงเวลาแห่งวัยหนุ่มนั้นยาวนาน ไม่เข้าใจความทุกข์ของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย คิดแค่ว่าการได้อยู่กับพ่อแม่พี่น้องก็คือความสุขแล้ว ไม่เคยคิดถึงหนทางแห่งความเป็นอมตะเลยสักนิด
“ศิษย์พี่ของเจ้า ความจริงแล้วมีพรสวรรค์ไม่เลว เป็นรากวิญญาณโลกา เป็นรากวิญญาณสามธาตุ ในสามธาตุในร่างเขาก็มีธาตุไม้ เพียงแต่ไม่ใช่ธาตุที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา แต่การฝึกฝนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ตามหลักแล้วน่าจะใช้เวลาประมาณปีกว่าก็สามารถฝึกฝนจนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งจุดสูงสุดได้
แต่คราวนั้น สมุนไพรสำคัญสองชนิดที่ใช้ปรับสมดุลพลังยา จี้กุนซือตามหามาระยะหนึ่งแล้วยังไม่พบ ถึงแม้สมุนไพรสองชนิดนี้จะเป็นแค่สมุนไพรระดับต่ำสำหรับสำนักเซียน แต่ในโลกมนุษย์เป็นสิ่งที่หายากมาก ครั้งที่แล้วที่เขาได้มาชนิดหนึ่งก็เพราะโชคช่วย ที่สำคัญคือเขาไม่มีเวลาไปตามหาสมุนไพรสองชนิดที่มีพลังในการปรับสมดุลนี้แล้ว คาดว่ายังไม่ทันได้สมุนไพร ก็คงจะโดนพิษไฟเล่นงานจนตาย
ทางที่เหลือก็คือเสี่ยง นั่นคือใช้ยาที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้มาฝืนฝึกฝน ส่วนผลลัพธ์น่ะ คงเดาได้ อาจารย์ของเจ้าขาดไปแค่ชนิดเดียวยังเป็นแบบนี้ แล้วนี่ขาดพลังยาที่ใช้ปรับสมดุลไปตั้งสองชนิด ผลลัพธ์ก็คือ หนึ่ง ความเจ็บปวดระหว่างการดูดซับจะทวีคูณขึ้นหลายเท่า สอง ในวันที่สี่สิบเก้าตอนที่บุกทะลวงสู่ขั้นรวมลมปราณขั้นที่หนึ่ง แทบจะเป็นตายเท่ากัน...” พูดถึงตรงนี้ ชายชราชุดเทาหยุดพูด และมองไปที่หลี่เหยียนอีกครั้ง
หลี่เหยียนฉลาดหลักแหลม รู้สึกได้ถึงความขมขื่นในปาก คิดว่าตัวเองกับศิษย์พี่คนนั้น ตอนที่บุกทะลวงสู่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งในวันที่สี่สิบเก้า ร่างกายคงทนพลังยาที่ขาดสมุนไพรปรับสมดุลไปมากมายไม่ไหว สุดท้ายก็ตายอย่างน่าอนาถ แล้วตอนนี้ตัวเขาเองเป็นอย่างไรบ้าง?
ชายชราชุดเทามองหลี่เหยียนพลางพูดต่อ “หลังจากศิษย์พี่ของเจ้าตาย จี้กุนซือก็ยิ่งร้อนใจ ยิ่งออกตามหาคนที่มีรากวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง ไม่คิดว่าโชคของเขาจะดีเกินไปหน่อย แค่ปีกว่า ๆ ก็เจอเจ้า
จิตสำนึกที่ล่องลอยอยู่นอกร่างข้ารับรู้ได้แค่ในรัศมีร้อยลี้ ดังนั้นจนกระทั่งวันที่เจ้าเข้ามาในรัศมีร้อยลี้ของด่านขุนเขามรกต เขาถึงจะรับรู้ได้ แล้วมาปลุกข้าที่กำลังหลับใหล แต่ตอนนี้ข้าอ่อนแอเกินไป การปลุกให้ตื่นต้องใช้เวลาประมาณสองเดือน แล้วเจ้าก็บังเอิญดันมาที่ค่ายทหารเพื่อสมัครทหาร จี้กุนซือก็เลยพบตัวเจ้า
เจ้าน่าจะเห็นหนังสือประหลาดที่เขาถืออยู่ในมือใช่ไหม จริง ๆ แล้วมันคือการที่เขาใช้พลังปราณ ยึดแผ่นหยกกับหนังสือหยกที่แปรเปลี่ยนรูปลักษณ์เข้าด้วยกัน เพื่อให้พกพาง่าย แล้วตั้งแต่ที่เขาได้หนังสือหยกที่แปรเปลี่ยนรูปลักษณ์เล่มนี้มา ก็อยากจะรู้ความลับในนี้มาโดยตลอด แต่ด้วยพลังปราณอันน้อยนิดของเขาย่อมไม่มีทางเปิดออกได้ แต่ยิ่งเปิดไม่ออกก็ยิ่งรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ธรรมดา คิดไปว่าข้างในอาจจะมีเคล็ดวิชาเซียนขั้นสูง บางทีอาจจะแก้พิษไฟในตัวเขาได้ ก็เลยครุ่นคิดอยู่ทุกวัน ฮ่า ๆ” พูดถึงตรงนี้ ชายชราก็หัวเราะเยาะอย่างดูถูก เห็นได้ชัดว่ารู้สึกขำกับการกระทำที่เกินตัวของจี้กุนซือ
“จิตสำนึกของข้านั้น เดิมทีก็ล่องลอยอยู่ในหนังสือหยกที่แปรเปลี่ยนรูปลักษณ์อยู่แล้ว พอเห็นเจ้าเข้าเป็นศิษย์ของจี้กุนซือแล้วไม่นานก็เริ่มฝึกฝนด้วยเคล็ดวิชาที่ใช้พิษบ่มเพาะก็รีบร้อนใจ แต่ดันเป็นเพราะตอนนั้นข้าอยากจะลดการใช้พลัง เลยให้ความสามารถจิตสำนึกย่อยแค่การตรวจสอบร่างกายที่มีรากวิญญาณ ไม่มีความสามารถพิเศษอื่น แล้วจิตสำนึกหลักของข้าก็ยังไม่ตื่น ก็เลยทำได้แค่ทุกครั้งที่จี้กุนซืออยู่กับเจ้า จิตสำนึกนี้จะทำการรบกวนพลังปราณรอบ ๆ เพื่อเพิ่มความยากในการฝึกฝนของเจ้า ทำให้เจ้าก้าวหน้าได้ช้าลง เพื่อถ่วงเวลาจนกว่าข้าจะตื่น”
หลี่เหยียนก็นึกขึ้นได้ เขานึกออกแล้วว่า ทุกครั้งที่จี้กุนซือเข้ามาใกล้ เขาก็จะรู้สึกว่าลมปราณในร่างกายติดขัด เดิมทีคิดว่าเป็นเพราะอาจารย์ของเขามีพลังยุทธ์สูงส่ง จึงมีรังสีความกดดันแผ่ออกมาโดยธรรมชาติ แต่คิดไม่ถึงเลยว่า จะมีคนขัดขวางการฝึกฝนของเขา
ตอนนี้ร่างของชายชราเริ่มพร่าเลือน จึงไม่มีเวลาให้หลี่เหยียนถาม เขาพูดต่อ “ไม่คิดเลยว่าด้วยร่างกายที่มีรากวิญญาณหลากธาตุแบบเจ้า แม้จะมีจิตสำนึกของข้ารบกวน แต่เจ้าก็ยังทำภารกิจฝึกฝนเจ็ดวันเจ็ดสัปดาห์รวมสี่สิบเก้าวันสำเร็จ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็ไม่ต่างจากศิษย์พี่ของเจ้า ขาดสมุนไพรปรับสมดุลสองชนิด รวมกับพลังยาที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในวันนี้ เส้นชีพจรในร่างกายเจ้าจะทนได้อย่างไร
ถึงแม้จี้กุนซือจะดึงเจ้าขึ้นมาจากบ่อน้ำในภายหลัง แต่เขาก็ไม่มีความสามารถที่จะชุบชีวิตเจ้าได้ ตอนนั้นจิตสำนึกย่อยของข้ารับรู้ได้ถึงความตายของเจ้า จึงส่งต่อความทรงจำทั้งหมดของเขาไปยังจิตสำนึกหลัก แล้วระเบิดตัวเอง ทำให้ข้าตื่นจากการหลับใหลทันที แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ถึงแม้จะทำให้ข้าตื่นขึ้นมาได้ แต่ก็ทำให้จิตสำนึกหลักบาดเจ็บ ทำให้ข้าที่อ่อนแออยู่แล้วยิ่งอ่อนแอลงไปอีก
เมื่อข้าตื่นขึ้นมา พบว่าอวัยวะภายในของเจ้าเสียหาย เลือดลมเริ่มไหลเวียนย้อนกลับ อีกไม่กี่ลมหายใจก็จะตาย จึงทำได้แค่ใช้พลังปราณสุดท้ายจัดระเบียบและซ่อมแซมเส้นชีพจรทั้งหมดในร่างกายเจ้า
แต่ตอนที่ซ่อมแซมจนเกือบเสร็จ เจ้ากลับถูกพลังปราณของจี้กุนซือที่เข้าสู่ร่างกระตุ้น ทำให้รู้สึกตัวชั่วครู่ แล้วยังจะลุกขึ้นนั่งฝึกฝนต่ออีก ข้าจึงตะโกนเสียงดัง ทำให้เจ้าสลบไป แล้วจึงซ่อมแซมร่างกายเจ้าต่อ แต่น่าเสียดายที่พลังปราณที่เหลืออยู่ของข้าในวันนี้อ่อนแอเกินไป
ถึงแม้จะดึงเจ้ากลับมาจากประตูนรกได้ แต่พิษในร่างกายเจ้ากลับไม่สามารถขับออกไปได้ ทำได้แค่ใช้เคล็ดวิชาสะกดมันไว้ที่มุมหนึ่งของตันเถียน ตราบใดที่เจ้าไม่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเซียนบทนี้อีก ก็จะไม่กระตุ้นให้มันระเบิดออกมา แต่ถ้าเจ้ายังฝึกฝนเคล็ดวิชาเซียนบทนี้อีก ด้วยสภาพร่างกายของเจ้าตอนนี้ ถ้าไม่มีโชคช่วยก็ตายแน่นอน” พูดจบ ร่างของชายชราชุดเทาก็เริ่มโปร่งใส
=====
สำหรับเรื่องเซียนห้าสำนัก จะกลับมาลงต่อในวันที่ 7 มกราคม 2568 ครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะครับ ><