ตอนที่แล้วบทที่ 22 วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 24 เลี้ยงหมูรอวันเชือด

บทที่ 23 จี้กุนซือผู้ทั้งยินดีและโศกเศร้าปะปน


บทที่ 23 จี้กุนซือผู้ทั้งยินดีและโศกเศร้าปะปน

"แต่ครั้งนั้นจี้กุนซือกลับมีโชคใหญ่ ตำราเคล็ดวิชาที่เขาได้มานั้น ตอนที่ถุงเก็บของระเบิด แรงสั่นสะเทือนได้สลายม่านพลังเซียนที่ปกป้องตำราเล่มนั้นไป ทำให้เขามองเห็นเนื้อหาข้างในได้โดยง่าย

เคล็ดวิชาที่บันทึกไว้ในตำราเล่มนี้น่าจะเป็นของสำนักเซียนที่ฝึกฝนวิชาพิษ เคล็ดวิชาของสำนักนี้ใช้พิษเป็นแนวทาง เริ่มแรกด้วยการสัมผัสพลังปราณแห่งฟ้าดินเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นใช้สูตรลับเฉพาะปรุงยาจากสมุนไพรพิษนานาชนิด นำน้ำยาที่ได้มาเป็นตัวนำ แล้วดูดซับเข้าสู่ร่างกาย พร้อมกับดูดซับพลังปราณจากภายนอก และใช้พลังจิตควบคุมพลังปราณเพื่อกลั่นน้ำยาพิษ

จากนั้นเสริมพลังปราณให้แข็งแกร่ง กักเก็บไว้ในร่างกาย เสริมความแข็งแกร่งให้เส้นชีพจรและอวัยวะภายใน สุดท้ายจึงสำเร็จขอบเขตรวมลมปราณขั้นต้น เข้าสู่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่ง วิธีการฝึกฝนแบบนี้ไม่ใช่วิถีที่ถูกต้อง ไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเซียนแห่งสำนักเต๋า พุทธ หรือขงจื๊อ ที่ค่อยๆ ฝึกฝนอย่างมั่นคง

แต่วิธีนี้กลับอาศัยพลังของสมุนไพรพิษ ชำระล้างไขกระดูกและเส้นชีพจรอย่างรุนแรง ทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง เส้นชีพจรขยายกว้างตั้งแต่ก่อนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่ง พูดได้ว่าเป็นวิธีการที่เสี่ยงอันตรายยิ่งนัก

จี้กุนซือนอกจากจะมีโชคใหญ่แล้ว ยังเป็นคนที่โหดเหี้ยมไร้ปรานี หนึ่งคือเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีรากวิญญาณหรือไม่ แต่ก็กล้าที่จะลองสัมผัสพลังปราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เคยฝึกฝนพลังภายในมาก่อน พวกเขาแยกแยะพลังปราณแห่งฟ้าดินกับพลังภายในที่ตัวเองฝึกฝนไม่ออก

หากเขาไม่มีรากวิญญาณ แล้วเข้าใจผิดคิดว่าพลังภายในคือพลังปราณที่สัมผัสได้ ทั้งยังฝืนใช้น้ำยาพิษจากสมุนไพรเหล่านั้นกลั่นเข้าสู่ร่างกายก็คงตายทันที สองคือเคล็ดวิชาบทนี้บังเอิญเข้ากับคุณสมบัติธาตุในร่างกายของเขา ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะสำเร็จ เขามีรากวิญญาณลึกล้ำสี่ธาตุ บังเอิญว่าธาตุไม้แข็งแกร่งที่สุด เคล็ดวิชาบทนี้ก็เป็นเคล็ดวิชาธาตุไม้ขั้นต้น จึงเกื้อหนุนกันเป็นอย่างดี

หลังจากที่เขาได้ตำราเล่มนี้มาก็ดีใจจนเนื้อเต้น คิดจะฝึกฝนทันที แต่เคล็ดวิชาเซียนบทนี้ใช้พิษเป็นหนทาง ในตอนต้นของตำราได้บันทึกวิธีการปรุงยาไว้ สูตรยาขั้นต้นแบบนี้ สมุนไพรที่ใช้ก็ไม่ใช่ของหายากอะไร ไม่เช่นนั้นแค่จะเริ่มต้นก็ต้องใช้ของวิเศษจากฟ้าดิน สำนักเซียนนี้คงล่มสลายไปนานแล้ว

แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงมุมมองของสำนักเซียน สมุนไพรบางชนิดที่ระบุไว้ในสูตรยา สำหรับโลกมนุษย์กลับหายากยิ่ง แต่สำหรับพรรคแสวงเซียนที่เดินทางอยู่ในป่าลึกและขุนเขาลำเนาไพรมาตลอด มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก

ดังนั้นจี้กุนซือจึงหาสมุนไพรได้ครบเกือบทั้งหมดในเวลาไม่นาน แต่สุดท้ายก็ยังมีสมุนไพรอยู่สองชนิดที่หาไม่พบ ทั้งสองชนิดนี้เป็นสมุนไพรสำคัญที่ใช้ในการปรับสมดุลของยา หากขาดไป ตอนที่ดูดซับพลังปราณจากน้ำยาจะไม่สามารถต้านทานพลังพิษจากสมุนไพรเหล่านั้นได้ ทำให้ผู้ที่ดูดซับน้ำยาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส" พูดถึงตรงนี้ ชายชราก็มองไปที่หลี่เหยียนอีกครั้ง

หลี่เหยียนนิ่งเงียบ  ในตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมการฝึกฝนถึงได้เจ็บปวดทรมานเช่นนี้  ที่แท้ก็เป็นเพราะขาดสมุนไพรที่ใช้ปรับสมดุลของยานั่นเอง

"หลังจากที่จี้กุนซือตามหาสมุนไพรอีกสองปี  ในที่สุดก็พบสมุนไพรชนิดหนึ่ง  แต่ชนิดสุดท้ายกลับหาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ  ตอนนี้เองที่นิสัยโหดเหี้ยมไร้ปรานีของเขาเผยออกมาอย่างชัดเจน

ในขณะที่ยังขาดสมุนไพรอยู่หนึ่งชนิด  และยังไม่แน่ใจว่าตัวเองมีรากวิญญาณหรือไม่  เขาเริ่มฝึกฝน  นำยาเข้าสู่ร่างกาย  แต่สวรรค์ก็ยังเข้าข้าง  ทั้งเคล็ดวิชาและรากวิญญาณของเขาก็ล้วนสอดคล้องกัน  แม้ว่ากระบวนการจะเจ็บปวด  แต่หลังจากฝึกฝนเจ็ดวันเจ็ดสัปดาห์รวมเป็นสี่สิบเก้าวัน  เขาก็ประสบความสำเร็จ  ก้าวเข้าสู่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่ง

ทว่า เขากลับไม่รู้ว่าสูตรยาเริ่มต้นของสำนักเซียนนี้ แม้จะเป็นระดับต่ำที่สุดแล้ว แต่ก็ผ่านการขัดเกลาและทดสอบมาเป็นหมื่นเป็นแสนปี หรืออาจจะล้านปี จนตกผลึกและกระชับที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สมุนไพรแต่ละชนิดล้วนมีสรรพคุณเฉพาะตัว ไม่ใช่ว่าเพราะเห็นไม่ใช่ตัวยาหลัก เป็นเพียงตัวยาเสริมแล้วจะละเลยหรือขาดหายไปได้

เขาฝืนฝึกฝนเช่นนี้ แม้จะเลื่อนระดับขึ้นสู่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งได้ แต่ก็เท่ากับฝังภัยร้ายไว้กับตัว ยาที่ขาดตัวยาปรับสมดุลไปหนึ่งชนิด จะไม่สามารถกลั่นให้บริสุทธิ์ได้ทั้งหมด แต่ยังคงเหลือตกค้างในร่างกาย เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ก็จะค่อยๆ ก่อเกิดพิษไฟขึ้น

ช่วงแรกจะยังไม่ปรากฏอาการหรือสัญญาณใดมากนัก แต่เมื่อจี้กุนซือฝึกฝนไปเรื่อย จนผ่านไปหลายปี ยาที่ตกค้างในร่างกายก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น กลายเป็นพิษไฟ อาการเริ่มแรกก็เหมือนกับที่เจ้ารู้สึกเมื่อคราวก่อน คือหงุดหงิด อึดอัด และร้อนรุ่มในร่างกายอย่างถึงที่สุด

แต่ตอนนั้นเขาฝึกฝนจนถึงขั้นที่สองแล้ว จึงยังสามารถสะกดเอาไว้ได้ เขาคิดว่าเมื่อฝึกฝนไปจนถึงระดับสูงขึ้น พลังปราณในร่างกายจะสามารถกำจัดพิษไฟเหล่านี้ได้ เขาจึงฝึกฝนไปพลาง และหาวิธีระงับจิตใจไปพลาง

จากหนังสือกระดาษที่แนะนำการเริ่มต้น เขาได้รู้ว่าต้องฝึกฝนจนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สาม จิตวิญญาณถึงจะหลุดออกจากร่างได้ เมื่อนั้นจึงจะสามารถอ่านสิ่งที่อยู่ในแผ่นหยกและหนังสือได้ ทำให้เขายังไม่สามารถเปิดตำราและแผ่นหยกในปัจจบัน จึงไม่รู้ว่าจะมีวิธีแก้ไขอยู่ในนั้นหรือไม่ เขาจึงใช้วิธีที่ง่ายที่สุด นั่นคือการไปที่ทุ่งร้างอันหนาวเหน็บและหมกมุ่นอยู่กับเครื่องดนตรี

ด้วยวิธีนั้น เขาจึงฝึกฝนจนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สามได้สำเร็จ และเมื่อจิตวิญญาณของเขาหลุดออกจากร่างได้แล้ว เขาจึงรีบใช้จิตวิญญาณอ่านตำราและแผ่นหยกด้วยความตื่นเต้น แน่นอนว่าเขาไม่สามารถเปิดตำราได้ แต่เมื่อเขาเปิดแผ่นหยกได้ สิ่งแรกที่เขารู้ก็คือแผ่นหยกและหนังสือกระดาษนี้เป็นเคล็ดวิชาชุดเดียวกัน เขาจึงยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น คิดว่าน่าจะหาวิธีแก้ไขได้จากในนั้น แต่ผลสุดท้ายกลับทำให้เขาตกตะลึง

ส่วนแรกของแผ่นหยกบันทึกบทกลอนควบคุมลมปราณของเคล็ดวิชาเซียนบทนี้ ตั้งแต่ขั้นที่สี่ถึงขั้นที่สิบของขอบเขตรวมลมปราณ ส่วนท้ายของแผ่นหยกยังได้เน้นย้ำถึงข้อดีและข้อเสียของสูตรยา ข้อดีคือเมื่อใช้ยาเข้าสู่ร่างกายแล้วประกอบกับการฝึกฝนที่เหมาะสม ร่างกายของผู้ใช้วิชาจะแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันของสำนักอื่นมาก และยิ่งบรรลุเท่าไหร่ผลลัพธ์ก็จะยิ่งชัด

ในการต่อสู้มันสามารถช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ได้มาก และความเร็วในการฝึกฝนแบบนี้เร็วกว่าเคล็ดวิชาเซียนแบบทั่วไปมากเช่นกัน เรียกได้ว่าใช้เวลาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ส่วนข้อเสียคือ หากใช้สูตรยาไม่ถูกต้องแล้วฝืนฝึกฝน ผลที่ตามมาคือจะเกิดพิษไฟในร่างกาย และพิษไฟนี้จะได้รับการหล่อเลี้ยงและเติบโตไปพร้อมกับพลังปราณในร่างกาย

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง พลังปราณของตนเองก็จะไม่สามารถสะกดเอาไว้ได้ เมื่อบรรลุขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สามจุดสูงสุด พิษไฟในร่างกายจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณด้วยความเร็วที่บ้าคลั่ง มันจะไม่เปิดโอกาสให้ผู้ฝึกฝนได้แก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งยังปะทุขึ้นในทันที

สุดท้ายผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้เลือดลมจะเดินย้อนกลับและร่างกายระเบิดตาย แต่หากคิดหยุดการฝึกฝน และคงระดับไว้ที่ต่ำกว่าขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สามจุดสูงสุด ก็ต้องบอกว่าเป็นเพียงความเพ้อฝัน เพราะพิษไฟนี้จะเติบโตขึ้นทุกวัน ต้องฝึกฝนพัฒนาขอบเขตของตนเองอย่างต่อเนื่องจึงจะสะกดเอาไว้ได้ หากไม่แล้วมีแต่จะตายเร็วขึ้น นี่คือวงจรอุบาทว์ รู้ทั้งรู้ว่าต้องตาย ก็ยังต้องก้าวเข้าไปทีละก้าว ครั้งรับรู้ จี้กุนซือโกรธจนด่าทอออกมาเกือบถูกพิษไฟเล่นงาน

ในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน โดยเฉพาะสำนักที่สืบทอดมาหลายพันหรือหลายหมื่นปี จะมีสำนักไหนบ้างที่ไม่มีมาตรการป้องกันเคล็ดวิชาของตนเอง แม้จะเป็นเคล็ดวิชาเริ่มต้นที่ระดับต่ำที่สุด ก็จะต้องมีการวางกลอุบายไว้บ้าง ดังนั้น การไม่บอกกล่าวสิ่งเหล่านี้ในหนังสือกระดาษ ก็เพราะเกรงว่าหนังสือกระดาษจะพลัดหลงออกไปภายนอก แม้มีผู้ใดได้ไปและฝึกฝน ก็อาจจะไม่ได้บอกรายละเอียดบางอย่างโดยเจตนา เมื่อฝึกฝนไปถึงระดับสูงแล้วจึงพบว่าสายเกินไป สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็มีเพียงแค่ความตาย

ผลลัพธ์ดังกล่าว ทำให้เขาทั้งตกใจและโกรธแค้น สุดท้ายจึงเริ่มออกตามหาวิธีแก้ไขไปทั่ว จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้พบกับผู้บำเพ็ญเซียนขอบเขตสร้างรากฐานคนหนึ่ง บังเอิญที่อีกฝ่ายก็มาจากพรรคแสวงเซียนเช่นกัน

หากในตอนนั้น ผู้บำเพ็ญเซียนขอบเขตสร้างรากฐานผู้นี้ยอมเสียพลังปราณจำนวนมาก เพื่อช่วยชำระล้างพิษไฟในร่างกายให้เขา ก็ยังพอทำได้ แต่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนนั้น ยึดถือกฎแห่งป่า กินคนแข็งแกร่ง ฆ่าคนอ่อนแอ หากไม่พอใจก็ลงมือฆ่าได้ทุกเมื่อ

พบเจอผู้บำเพ็ญเซียนที่มีระดับต่ำกว่าตนเอง หรือผู้ฝึกตนที่เดินทางเพียงลำพัง ก็มักจะฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ ครั้งนี้เขายังรอดชีวิตมาได้ ถือว่าโชคดีแล้ว ประการแรกคือระดับของเขายังต่ำเกินไป ผู้บำเพ็ญเซียนขอบเขตสร้างรากฐานมองไม่เห็นค่า ไก่รองบ่อนที่เพิ่งเข้าสู่เส้นทางเซียนเช่นนี้ จะมีทรัพย์สมบัติอะไร ประการที่สองคือเห็นแก่ที่เป็นคนของพรรคแสวงเซียนเหมือนกัน จึงไม่เอาชีวิตเขา

จี้กุนซืออุตส่าห์หาผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูงที่พอจะพูดคุยด้วยได้ มีหรือจะปล่อยโอกาสในการเอาชีวิตรอดไป จึงได้วิงวอนขอร้องอีกฝ่าย แน่นอนว่าอีกฝ่ายคงไม่ช่วยเขาขับพิษ แต่สุดท้ายก็เห็นแก่ที่เป็นศิษย์ร่วมพรรคจึงชี้ทางรอดให้

บอกว่า หากเขาสามารถฝึกฝนจนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สี่ได้ ก็อาจจะมีโอกาสกำจัดพิษไฟในร่างกายได้ แต่โอกาสนี้มีไม่มากนัก ท้ายที่สุดเคล็ดวิชานี้ก็บอกไว้ชัดเจนแล้วว่า อย่างมากที่สุดก็ฝึกฝนได้ถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สามจุดสูงสุด ถึงเวลาพิษไฟก็จะระเบิดขึ้น เลือดลมปั่นป่วนจนตาย จะมีเวลาให้เขาฝึกฝนต่อไปได้อย่างไร

ยังมีอีกวิธีหนึ่งคือ พยายามยืดเวลาจากขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สามขั้นต้นไปจนถึงขั้นสูงสุด หากในช่วงเวลานี้สามารถจับผู้ฝึกตนที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเดียวกันนี้ได้ ขอเพียงดูดซับพลังปราณในร่างกายของผู้ฝึกตนผู้นั้นมาใช้ เพื่อทะลวงสู่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สี่ในคราวเดียว หากสำเร็จ ก็อาจจะสามารถกำจัดพิษไฟในร่างกายได้ หากล้มเหลว ทั้งสองคนก็จะตายพร้อมกัน

แต่วิธีนี้มีเงื่อนไขอยู่ หนึ่งคือเคล็ดวิชาที่ทั้งสองคนฝึกฝนต้องเหมือนกัน เพื่อไม่ให้พลังปราณของพวกเขาขัดแย้งกัน สอง ผู้ฝึกตนที่เลือกต้องฝึกฝนถึงขั้นที่หนึ่งจุดสูงสุด และต้องฝึกฝนถึงระดับนี้เท่านั้น หากผู้ฝึกตนที่เลือกมีพลังฝึกฝนสูงเกินไป

ด้วยพลังฝึกฝนขั้นที่สามของเขา หากดูดซับมาก็จะถูกพลังปราณย้อนกลับทันที อย่าว่าแต่จะทะลวงสู่ขั้นที่สี่เลย คงจะร่างกายระเบิดตายเสียก่อน หากผู้ฝึกตนที่เลือกมีพลังฝึกฝนต่ำเกินไป พลังปราณในร่างกายก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาทะลวงสู่ขั้นที่สี่ได้ สุดท้ายก็เสียแรงเปล่า

จากนั้น ผู้บำเพ็ญเซียนขอบเขตสร้างรากฐานผู้นี้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง และยอมสอนเคล็ดวิชาดูดซับพลังปราณของผู้อื่นให้จี้กุนซือ

เคล็ดวิชาดูดซับพลังปราณผู้อื่นที่ผู้บำเพ็ญเซียนขอบเขตสร้างรากฐานผู้นี้กล่าวถึง แม้จะไม่ใช่เคล็ดวิชาลับในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน แต่ก็มีผู้ใช้น้อยมาก เพราะไม่ว่าผลลัพธ์จะสำเร็จหรือไม่ ผู้ฝึกตนระดับต่ำผู้นั้นที่โชคร้ายก็จะสูญเสียพลังปราณทั้งหมดและตายคาที่อย่างน่าอนาถ

ในขณะเดียวกัน การดูดซับพลังปราณของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง ก็ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ และโอกาสสำเร็จก็มีไม่มากนัก หนึ่งคือคุณสมบัติของเคล็ดวิชาต้องเหมือนกัน หากไม่แล้วเกิดพลังปราณของตนเองกับพลังปราณที่ดูดซับมามีคุณสมบัติต่างกัน การต่อต้านกันของพลังปราณนั้นสามารถทำให้คนตายได้

สองคือวิธีการเพิ่มพูนพลังฝึกฝนแบบนี้ได้ไม่คุ้มเสีย แม้จะเป็นเคล็ดวิชาเดียวกัน แต่พลังปราณของคนต่างกัน สุดท้ายก็ต้องหลอมรวมกัน ซึ่งต้องใช้เวลาในการปิดด่านฝึกฝนเป็นเวลานาน อย่างน้อยก็หลายปี มากสุดก็หลายสิบปี หรือร้อยปี ขึ้นอยู่กับว่าดูดซับพลังปราณของอีกฝ่ายมามากน้อยเพียงใด

และในช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่สามารถใช้พลังปราณใดๆ ได้ ไม่เช่นนั้นพลังปราณทั้งสองสายจะปั่นป่วน ทำให้เกิดอาการคลุ้มคลั่ง และหากมีเวลามากขนาดนั้น ฝึกฝนด้วยตนเองอย่างมั่นคงยังจะดีเสียกว่า สามคือการกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน แม้จะยังไม่ถึงขั้นที่ทุกคนจะรุมประณามหรือไล่ฆ่า แต่หากพบเจอคนเช่นนี้จริงๆ คนส่วนใหญ่ก็พร้อมจะรุมโจมตี ดังนั้นเคล็ดวิชานี้ นอกจากจะถึงคราวจำเป็นจริงๆ ก็มักไม่มีใครใช้ เรียกได้ว่าแทบจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

ผู้บำเพ็ญเซียนขอบเขตสร้างรากฐานผู้นั้นได้บอกกับจี้กุนซือตามตรง ว่าการที่เขาจะสามารถกำจัดพิษไฟในร่างกายได้เมื่อถึงขั้นที่สี่หรือไม่นั้น เป็นเพียงแค่การคาดเดา แต่ถึงอย่างนั้น จี้กุนซือก็คุกเข่าลงขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง ผู้บำเพ็ญเซียนขอบเขตสร้างรากฐานผู้นั้นยังมอบยาผงสงบจิตให้เขาสามห่อ

ยาดังกล่าวเป็นยาผงระดับต่ำในหมู่ยาด้วยกัน ไม่มีสรรพคุณมากมายนัก ผู้ที่เพิ่งเริ่มฝึกฝนจะสงบจิตใจได้ยาก และมักจะหงุดหงิดง่าย ยาผงนี้มีไว้เพื่อให้ผู้ฝึกตนระดับต่ำสงบจิตใจ รวมพลังปราณและจิตวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว แต่สำหรับจี้กุนซือแล้ว นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เขายืดเวลาในการสะกดพิษไฟได้นานขึ้น

หลังจากที่จี้กุนซือได้รับคำแนะนำจากผู้บำเพ็ญเซียนขอบเขตสร้างรากฐานผู้นั้นแล้ว เขาก็เริ่มคิดหาวิธีที่จะหาผู้ที่เหมาะสม แน่นอนว่าแหล่งที่มาที่ดีที่สุดของผู้ที่เหมาะสมเช่นนี้ ก็คือการหาสำนักหรือตระกูลที่ใช้เคล็ดวิชาเซียนบทนี้ จากนั้นจึงหาโอกาสแอบเข้าไป หาผู้ที่อยู่ที่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด จับตัวออกมา แล้วเขาค่อยทำการดูดซับพลังปราณ

แต่วิธีนี้เขาไม่กล้าทำ อย่างแรกคือเขาไม่มีความกล้า หรือถึงจะมีความกล้า ด้วยพลังฝึกฝนที่แสนกระจอกของเขา คาดว่าแค่หาที่ตั้งของสำนักเจอ ยังไม่ทันผ่านเขตอาคมป้องกันสำนัก ก็คงโดนระเบิดจนไม่เหลือแม้แต่ซาก

จี้กุนซือในฐานะศิษย์ของพรรคแสวงเซียนที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานย่อมรู้ดีว่า คนอย่างเขาที่แอบฝึกฝนเคล็ดวิชาเซียนของสำนักหรือตระกูลอื่น หากสำนักหรือตระกูลนั้นรู้เข้า ผลลัพธ์ที่รอเขาอยู่ก็มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือฆ่าทิ้งโดยทันที เพราะการแอบฝึกฝนเคล็ดวิชาเซียนของสำนักหรือตระกูลอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นข้อห้ามร้ายแรงในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน

นอกจากนี้ เคล็ดวิชาเซียนที่เขาได้มานั้นยังเก็บได้จากข้างกองกระดูก ผู้บำเพ็ญเซียนยิ่งแข็งแกร่ง กระดูกหลังความตายก็จะอยู่ได้นานขึ้นเท่านั้น เขาไม่รู้ว่ากองกระดูกนี้มีอายุกี่ปีแล้ว สำนักหรือตระกูลนี้อาจจะสูญสลายไปในแม่น้ำแห่งประวัติศาสตร์แล้วก็เป็นได้ เขาจะไปหาสำนักหรือตระกูลนี้ได้จากที่ไหน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสรอดชีวิตของจี้กุนซือจึงริบหรี่อย่างที่สุด”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด