EP.2
EP.2
[มุมมองของปีเตอร์]
ตอนนี้ผ่านมา 1 ปีแล้วนับตั้งแต่ชั้นกลับชาติมาเกิดใหม่เป็นปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ และชั้นสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ความฝัน หรือชั้นนั้นเป็นโรคทางจิตจากการถูกทารุณกรรม
แม้ว่าชั้นจะอายุ 1 ขวบแล้วแต่ชั้นก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นฉลาดขึ้น มันเป็นเรื่องแปลกที่ต้องการคำอธิบาย แต่ชั้นแค่รู้สึกว่าตัวเองฉลาดขึ้น สิ่งต่างๆมันง่ายขึ้นสำหรับชั้น และชั้นเข้าใจปัญหาที่ปกติแล้วชั้นมักจะมีปัญหาในการแก้ไข
โชคดีที่พ่อแม่ใหม่ของชั้นเป็นคนซุ่มซ่ามและเปิดประตูห้องอ่านหนังสือทิ้งไว้เสมอ ชั้นจึงแอบเข้าไปอ่านหนังสือทุกเล่มที่หยิบขึ้นมาได้
แม้ว่าในตอนแรกมันจะรู้สึกยากที่จะมองว่าพวกเขาเป็นคนจริงๆไม่ใช่ตัวละครในคอมมิค แต่ชั้นก็เริ่มรู้สึกห่วงใยพวกเขาอย่างมาก พวกเขานั้นเอาใจใส่ชั้นอย่างดีเยี่ยมอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน มันเป็นความรู้สึกแปลกๆที่มีคนใส่ใจความเป็นอยู่ของชั้นจริงๆ...
ขณะที่ชั้นกำลังจดจ่ออยู่กับความคิดและอ่านหนังสือตรงหน้า ชั้นก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีคนมาอุ้มชั้นขึ้นมา
ชั้นหันไปมองว่าเป็นใคร เขาเป็นพ่อของชั้นเอง “ชั้นเห็นว่าอัจฉริยะตัวน้อยของชั้นกำลังพยายามเรียนรู้อยู่นะ” ริชาร์ดเดินไปหยิบหนังสือที่ชั้นกำลังอ่านขึ้นมาดูและเริ่มตรวจสอบ
ครั้งนึงเขาเห็นว่ามันเป็นหนังสือเกี่ยวกับชีววิทยาเขาก็เลยทำท่าเขินๆว่า “นี่มันยากเกินไปสำหรับลูกไปหน่อยเหรอ”
ขั้นแค่ยักไหล่ "ผมไม่รู้หรอกพ่อ มันดูเรียบง่ายมาก" 'พระเจ้า ชั้นไม่เชื่อเลยว่าชั้นเพิ่งจะเรียกผู้ชายคนอื่นว่าพ่อ ฆ่าชั้นที'
พ่อใหม่ของชั้นมองมาที่ชั้นด้วยความสงสัย เขาไม่เชื่อสิ่งที่ชั้นพูดหรอก เพราะยังไงซะก็ไม่มีใครเชื่อว่าเด็กอายุแค่ 1 ขวบจะฉลาดพอที่จะเข้าใจหรอก
กาลเวลาผ่านไปและผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าชั้นก็อายุ 3 ขวบแล้ว...
เมื่อชั้นอายุได้ 3 ขวบทั้งแม่และพ่อต่างก็ใช้เวลาในบ้านน้อยลงแต่ใช้เวลาทำงานมากขึ้น ปรากฏว่าพวกเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำในบริษัท Oscorp (ออสคอร์ป) และกำลังทำการวิจัยชั้นนำของพวกเขาคือเกี่ยวกับแมงมุมที่ได้รับการปรับปรุงคุณภาพซึ่งได้รับการปรับปรุงด้วย Super Soldier Serum (เซรุ่มซุปเปอร์โซเยอร์) หรือ SSS ตามที่ชั้นเห็นในบันทึกของพวกเขา
ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะใกล้จะประสบความสำเร็จแล้วและพวกเขาก็ยุ่งกับงานมาก บางครั้งชั้นอาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าจะได้เจอพวกเขา ชั้นไม่ได้สนใจเลยเพราะชั้นใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับป้าเมย์และลุงเบ็น
แต่ที่น่าผิดหวังเล็กน้อยคือ ชั้นไม่ได้พบพวกเขาบ่อยนัก ทั้งๆที่ชั้นได้มาพบพวกเขาในฐานะแม่และพ่อที่แท้จริงของชั้น
เนื่องจากไม่มีอะไรทำเมื่ออยู่กับลุงเบ็น ชั้นจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่หาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี ฟิสิกส์ , เคมี หรือชีววิทยา
แต่ชั้นไม่ได้เร่งรีบในการอ่านมัน เพราะเมื่อชั้นใช้เวลาอ่านมันอย่างช้าๆและทำความเข้าใจมันจริงๆ ชั้นก็ว่ามันหมายถึงอะไร มันก็เป็นสิ่งที่สนุกดี
ดูเหมือนว่าชั้นจะมีความจำภาพถ่ายเพราะสติปัญญาอันเฉียบแหลมของชั้น ซึ่งชั้นรู้สึกขอบคุณมาก ด้วยความจำภาพถ่ายมันจะทำให้ชั้นจำทุกอย่างที่เคยเรียนมาก่อนได้ ซึ่งมันจะช่วยให้ชั้นอ่านหนังสือเหล่านี้จบได้ค่อนข้างเร็ว และชั้นไม่ต้องเสียเวลาอ่านซ้ำถึงสิ่งที่รู้แล้ว
วันนึงในช่วงสุดสัปดาห์ธรรมดา ขณะที่ชั้นกำลังอ่านหนังสืออยู่ก็มีเสียงเคาะประตูห้องของชั้น และพอชั้นเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าเป็นแม่กับพ่อของชั้น แม่ดึงชั้นเข้าไปกอดอย่างแน่น จากนั้นพ่อก็โอบกอดเรา 2 คนไว้
"ขอโทษนะที่รัก ที่แม่ไม่สะดวกไปมากกว่านี้แล้ว พงกเราต่างก็ยุ่งกับงานมาก แม่หวังว่าลูกคงจะเข้าใจ" แม่พูด
ชั้นยิ้มให้เธอเล็กน้อยแล้วพูดว่า “อย่ากังวลไปเลย ผมรู้ว่าพวกแม่ทำงานหนักแค่ไหน และผมไม่รังเกียจที่จะอยู่กับลุงเบ็นและป้าเมย์”
ทั้งคู่ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ “พ่อรู้ว่ามันดูเหมือนว่าพวกเราควรจะซื้อความรักจากลูกด้วยสิ่งนี้ แต่มันเป็นวิธีเดียวที่พ่อคิดออกเพื่อชดเชยให้ลูก”
พ่อพูดขณะที่หยิบหนังสือเรียนล่วงหน้าหลายประเภทหลายวิชาออกมา
ชั้นแทบจะรู้สึกได้ว่าดวงตาของชั้นเป็นประกายเมื่อเห็นหนังสือเหล่านี้ เพรามันมีหนังสือเกี่ยวกับเทคโนโลยีและวิศวกรรมหลายประเภท ซึ่งจากหนังสือเหล่านี้ชั้นจะสามารถจินตนาการถึงประเภทต่างๆของแกดเจ็ตที่ชั้นจะต้องประดิษฐ์ขึ้นมาได้แล้ว
พ่อเริ่มยีผมชั้นในขณะที่ยิ้ม "พ่อดีใจที่ลูกชอบหนังสือนะลูก เพราะพ่อเองก็เป็นห่วงอยู่พักหนึ่งแล้วที่ปกติเด็กๆในวัยเดียวกับลูกจะตื่นเต้นกับแค่เพียงเห็นของเล่นอยู่ตรงหน้าเท่านั้น แต่พ่อก็เดาว่าลูกเป็นคนพิเศษที่ตื่นเต้นกับหนังสือได้ขนาดนี้"
แม่จับแก้มชั้นแล้วดึงชั้นเข้าไปจูบพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มเศร้าๆว่า "ห้องแล็บต้องการเวลาให้พวกเราอยู่ที่นั่นนานกว่านี้ เพราะพวกเรากำลังจะได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆที่ยิ่งใหญ่ พวกเราเสียใจที่ต้องขาดงานอีกสักพักนะเจ้าหนู"
ชั้นยิ้มเศร้าๆให้พวกเขา “ไม่เป็นไรผมเข้าใจ พวกแม่คงยุ่งและพยายามช่วยคนอื่นอยู่ ดังนั้นพวกแม่ก็ทำอะไรก็ได้ที่ต้องทำโดยไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ”
ทั้งคู่ต่างมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ โดยไม่ได้คาดหวังว่าชั้นจะเข้าใจ ดูเหมือนว่าสำหรับพวกเขาแล้วชั้นนั้นแค่เป็นคนฉลาดในหนังสือแต่ไม่ฉลาดในการเข้าสังคม ซึ่งชั้นก็เข้าใจได้เพราะชั้นเพิ่งอายุแค่ 3 ขวบ
แม้จะไม่เต็มใจนักแต่พวกเขาก็บอกลากันก่อนจะกลับไปทำงานที่สำนักงานซึ่ง ออสคอร์ป ได้จัดเตรียมไว้ให้
พวกเขาไปมาเรื่อยๆจนกระทั่งชั้นอายุได้ 4 ขวบ พวกเขานั้นแทบจะวิ่งเข้ามาที่ประตูหน้าบ้านลุงเบ็นเลยทีเดียว
เป็นเวลากลางดึกและชั้นกำลังเฝ้าดูทุกสิ่งทุกอย่างจากบนบันไดโดยซ่อนไว้เพื่อไม่ให้ใครเห็นชั้น
“เบ็น ช่วยดูแลปีเตอร์ด้วย โอเค ชั้นแน่ใจว่าเขาจะเข้าใจว่าเมื่อเขาโตขึ้น เขาจะกลายเป็นเด็กฉลาด” พ่อพูดพร้อมกับวางมือบนไหล่ของเบ็น
“นายล้อชั้นเล่นใช่ไหมริชาร์ด ลูกชายนายอายุแค่ 4 ขวบเท่านั้น นายนั้นแทบจะทิ้งเขาไว้ที่นี่เลยนะ!” ลุงเบ็นตะโกนเบาๆเพื่อไม่ปลุกชั้น แต่มันสายเกินไปแล้วเพราะชั้นกำลังดูทุกอย่างอยู่
“เบ็น พวกเราไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าพวกเรายังอยู่ที่นี่และอยู่ใกล้ปีเตอร์พวกเขาจะตามมาจับเขาและใช้เขาเป็นเครื่องมือต่อต้านพวกเรา ชั้นไม่ต้องการให้ลูกชายของชั้นต้องมาใช้ชีวิตเป็นตัวประกันไปตลอดชีวิต พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปหลบซ่อนตัว”
ลุงเบ็นแทบจะโกรธมากในขณะที่ป้าเมย์อยู่ข้างๆเขาและพยายามทำให้เขาสงบลง "นายหมายความว่าไงที่นายไม่มีทางเลือกอื่น นายนั้นยังมีทางเลือกเสมอ ถ้าพวกเขาขู่นาย นายก็สามารถแจ้งตำรวจได้"
แม่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า “พวกเราก็อยากให้มันง่ายแบบนั้น แต่พวกเราต่อต้านคนที่อยู่เหนือกฎหมายไม่ได้ พวกเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเรานั้นต้องทนทุกข์ ดังนั้นพวกนายอย่าเข้ามายุ่ง พวกเราต้องจากไป”
ลุงเบ็นยืนจ้องมองเข้าไปในดวงตาของพวกเขา และสิ่งเดียวที่เขาเห็นคือความไร้หนทางของพวกเขา
ขณะที่ถอนหายใจ เขาก็ถาม “โอเค แต่แล้วปีเตอร์ล่ะ พวกนายจะไม่บอกลาหน่อยเหรอ”
ทั้งคู่ก้มหน้าลงด้วยความละอายจนกระทั่งพ่อพูดขึ้นว่า "พวกเราห็หวังว่าจะทำมันได้ แต่ชั้นเชื่อว่าถ้าพวกเราได้เจอเขา พวกเราคงไม่สามารถบอกลาเขาได้"
แมรี่เองก็ไม่อยากได้ยินเรื่องนี้อีกต่อไป เธอจึงคว้าสัมภาระที่เตรียมไว้แล้วและออกเดินทางพร้อมกับพูดทั้งน้ำตาว่า “ขอโทษนะ แต่พวกเราต้องรีบไปขึ้นเครื่องบิน”
โลกรอบตัวชั้นหยุดนิ่งไปชั่วขณะ 'เครื่องบินเหรอ ? พวกเขาจะตาย! ชั้นต้องปกป้องพวกเขา แต่ยังไง ? ยังไงละ ? ยังไง ?'
ขาของชั้นขยับได้เองและเริ่มวิ่งลงบันได เมื่อถึงบันได ชั้นก็วางมือบนสัมภาระของพวกเขาเพื่อไม่ให้พวกเขาออกไป
ขณะที่แทบจะกรีดร้องสะอื้น "อย่าไปนะ แกพวกพ่อจะต้องตายถ้าพวกพ่อไป ผมจะไม่มีวันได้เจอพวกพ่ออีก! อย่าไปนะ ผมรู้สึกไม่ดีเลย พวกพ่อจะต้องตาย!"
แต่น่าเสียดาย... พวกเขามองชั้นด้วยความสงสาร... ชั้นพยายามจะช่วยพวกเขาแต่พวกเขากลับมองชั้นด้วยความสงสาร
แม่คุกเข่าลงและตามด้วยพ่อของชั้น ทั้ง 2 คนโอบแขนรอบตัวชั้นและเริ่มร้องไห้ในขณะที่พูดซ้ำคำว่า "พวกพ่อ / แม่ขอโทษ" เหมือนกับแผ่นเสียงที่สะดุด
ชั้นเพียงแต่ยืนคุกเข่ามองดูพวกเขาออกไปพร้อมกับสัมภาระในมือและไม่กล้าที่จะหันกลับไปมอง...
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ชั้นได้พบกับคนๆนึงที่ชั้นเรียกว่าพ่อและแม่ในชีวิตนี้ และชั้นไม่เคยรู้สึกไร้พลังมากไปกว่านี้อีกเลย... หรืออย่างน้อยชั้นก็คิดอย่างนั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป.
_______________