บทที่ 81 ตอนดึกสงัด
เรื่องนี้จะมีตอนฟรีทั้งหมด 1-200 ตอน และ....ถ้ายอดกดไลก์เพิ่ม 100 ก็จะแถมให้ฟรี 20 ตอนครับ (ปล.เริ่มนับจาก 8700 นะ เช่นขึ้นไป 8800 ก็บวกให้ 20 ตอน ถ้ายอดมันขึ้นยันจบเรื่อง ก็เปิดให้ฟรีหมดอะ)
*ครบหมื่น แถม 100 ตอนไปอีก เอาเป็นว่าจำกัดวันด้วยแล้วกัน เพราะงี้ถ้าเกิดครบขึ้นมาแบบ 2 ปีต่อมาลืมแหง เอาถึง 1/4/2568 นะครับ ก็คือ 1 เมษายน*
แฟนเพจกดไลก์ได้ที่ ยักษาแปร | Facebook
บทที่ 81 ตอนดึกสงัด
บ้านเงียบกริบ มีเพียงเสียงหายใจแผ่วเบาของลูกพี่แมวอ้วนตัวน้อยที่กำลังนอนหลับฝันเท่านั้น เงียบสนิทเหลือเกิน
หลินเสวียนค่อย ๆ ลอบลงบันไดอย่างแผ่วเบา ระวังไม่ให้เกิดเสียงใด ๆ
พี่แมวอ้วนมันปิดบังอะไรฉันไว้แน่ ๆ
และมันก็ยอมรับเองด้วย
แต่บอกว่าจะพาไปพบเจ้านายพรุ่งนี้ แล้วจะให้ร่วมแผน…แต่ฉันรอถึงพรุ่งนี้ไม่ได้หรอก
ตอนทานข้าวเย็น ฉันเห็นปฏิทินในห้องแล้ว วันนี้ก็ยังคงเป็นวันที่ 28 สิงหาคม 2624
นั่นหมายความว่า แม้เมื่อวานฉันจะไม่ได้เห็นแสงสีขาวที่ทำลายโลกเวลา 00:42 แต่โลกนี้อาจถูกแสงสีขาวนั้นทำลายไปแล้ว
การวนลูปยังคงดำเนินต่อไป
ความฝันยังคงอยู่
เพียงแต่โลกเปลี่ยนไปแล้ว
ตุ้บ
ตุ้บ
ตุ้บ
หลินเสวียนเดินเบา ๆ ค่อย ๆ ก้าวเท้าผ่านห้องนั่งเล่นไป
เพราะลูกพี่แมวอ้วนค่อนข้างซน ของใช้ในบ้านเลยรกไปหมด แต่โชคดีที่ภรรยาพี่แมวอ้วนขยัน ก่อนนอนเธอก็เก็บกวาดห้องเรียบร้อยสะอาดหมดจดแล้ว
น่าเสียดาย…บ้านหลังนี้เล็กและแออัดขนาดนี้ ถึงจะเก็บของเรียบร้อยแค่ไหนก็ช่วยอะไรไม่ได้
ในที่สุด…
หลินเสวียนก็มาถึงหน้าประตู
แอ๊ด————
ประตูดังสนั่น เสียงนี้ทำให้หลินเสวียนตกใจ
หันไปมอง…
โชคดี ในห้องนอนเงียบสงบ ภรรยาพี่แมวอ้วนและลูก ๆ ก็ยังไม่ตื่น
หลินเสวียนค่อย ๆ ล็อคประตู เขาไม่คิดจะกลับมาอีกแล้ว เผื่อจะมีโจรเข้ามา
หันหลัง เดินไปตามทางที่คดเคี้ยว เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองจะไปทางไหน จะไปที่ไหน
บ้านแถวนี้ปลูกสร้างกันอย่างหนาแน่นจนรู้สึกอึดอัดเหลือทน มองไปทางไหน สายตาก็ถูกบ้านเรือนสูงบ้างต่ำบ้างบดบังหมดสิ้น...จึงไม่แปลกที่กลางวันเขามองไม่เห็นเมืองตงไห่ใหม่ที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร มองไม่เห็นตึกสูงเสียดฟ้าสีดำหลังนั้น
“อยู่ที่นี่นาน ๆ ก็ต้องป่วยเพราะอึดอัดแน่ ๆ”
หลินเสวียนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ทางไหน แหงนหน้ามองก็ไม่เห็นดวงจันทร์ เลยเลือกเดินไปเรื่อยเปื่อยแบบสุ่ม ๆ
แล้วเขาก็มาถึงตลาดเล็ก ๆ ที่พี่แมวอ้วนซื้อไก่ย่างนั่นเอง
คนเยอะมาก รถก็วิ่งไม่ได้เลย
ตามที่พี่แมวอ้วนเล่า ทรัพยากรทั้งหมดของโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ประวัติศาสตร์ หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ ……ล้วนถูกคนในเมืองตงไห่ใหม่ควบคุมไว้หมด
หลินเสวียนตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าโลกใบนี้เป็นอย่างไร มีโครงสร้างยังไง มีกฎเกณฑ์อะไร
อย่างน้อย ในความคิดของเขาตอนนี้ ก็ไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่ารูปแบบการพัฒนาที่ผิดปกตินี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ทั้งที่อยู่ห่างกันแค่ไม่กี่กิโลเมตร……แต่ความจริงแล้วระยะทางระหว่างเมืองตงไห่ใหม่กับเมืองตงไห่เก่านั้น คงไกลกว่าระยะทางจากโลกไปยังดวงจันทร์เสียอีก
อย่างที่พี่แมวอ้วนพูดนั่นแหละ ก็คือต่างฝ่ายต่างมองกันเหมือนเป็นมนุษย์ต่างดาว แม้แต่จะติดต่อแลกเปลี่ยนอะไรกันทางกายภาพก็ทำไม่ได้
“พวกเรากินแม้แต่ขยะที่พวกมันเหลือทิ้งก็ยังไม่ได้เลย!”
พี่แมวอ้วนพูดอย่างนั้น ไม่รู้ว่าเป็นการระบายอารมณ์เกินจริง หรือเป็นเรื่องจริง
วนเวียนอยู่ตั้งนาน ก็ไม่ได้อะไรเลย
หลินเสวียนเริ่มรู้สึกท้อใจแล้ว
คิดดูสิ แม้จะพลิกหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ยากจนและล้าหลังนี้ให้หัวทิ่มก็เถอะ จะได้อะไรขึ้นมาบ้าง?
พี่แมวอ้วนบอกว่า ที่นี่ไม่เพียงไม่มีหนังสือประวัติศาสตร์ แม้แต่ประวัติศาสตร์ก็ยังไม่มี เด็ก ๆ เรียนรู้ความรู้ที่แท้จริงไม่ได้ วนเวียนอยู่อย่างนี้รุ่นสู่รุ่น
ถึงแม้จะเป็นอย่างพ่อของพี่แมวอ้วน “อดีตนักคณิตศาสตร์รางวัลฟีลด์” ในความฝันนี้ ก็แค่ครูสอนคณิตศาสตร์ประถมเท่านั้นเอง
“ช่างเถอะ ไม่เที่ยวแล้ว เดินวนไปวนมาจนเวียนหัว”
หลินเสวียนคิดว่าคงไม่ควรสำรวจไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้แล้ว…ตอนนี้เส้นทางที่ตรงไปตรงมาที่สุดมีสองทางคือ:
1. พรุ่งนี้เช้าเข้าไปในฝันเร็ว ๆ ไปหาพ่อของพี่แมวอ้วน ถามให้รู้เรื่องเกี่ยวกับ《รู้เบื้องต้นเกี่ยวกับค่าคงที่จักรวาลวิทยา》 และลองหาให้รู้ให้ได้ว่าประโยคที่เขาพึมพำอยู่ตลอดเวลานั้นคืออะไร หลินเสวียนรู้สึกอย่างหนึ่ง…ผลงานวิจัยของพ่อพี่แมว น่าจะเป็นสาเหตุที่สโมสรอัจฉริยะฆ่าเขา และอาจเป็นความลับที่สโมสรแห่งนี้หวาดกลัวอยู่ก็ได้
ฉันต้องหาโอกาสเข้าไปในเมืองตงไห่ เมืองที่กำแพงสูงตระหง่านล้อมรอบ แล้วหาหนังสือประวัติศาสตร์ หรือบันทึกทางประวัติศาสตร์อะไรก็ได้ เพื่อไขความกระจ่างเรื่องสาเหตุและเหตุการณ์ที่ทำให้โลกอนาคตกลายเป็นเช่นนี้ ถึงแม้พี่แมวอ้วนจะบอกว่าไม่มีทางเข้าเมืองตงไห่ได้เลย...แต่ฉันเป็นใครกัน? ในห้วงฝันที่วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ ฉัน หลินเสวียน ไม่คิดว่าจะมีที่ไหนที่ฉันไปไม่ถึงหรอก มากสุดก็แค่ตายซ้ำ ๆ หลายรอบเท่านั้นเอง
“เฮือก!”
ฉันคว้ากำแพงไว้ กระโดดสองขาขึ้นไปยันกำแพง ใช้แรงดีดตัวกระโดดไปยังกำแพงหินที่สูงกว่าฝั่งตรงข้าม เกาะอิฐไว้แน่น แล้วก็พลิกตัวกลางอากาศอีกครั้ง—
ตุ้บ!
หลังลงจอดอย่างนุ่มนวลบนระเบียงชั้นสองของบ้านหลังหนึ่ง จากนั้นวิ่งเร็วแล้วกระโดดไกลไปที่ระเบียงชั้นสามของบ้านข้าง ๆ ดีดตัวขึ้นไปเกาะแล้วก็พลิกตัวขึ้นไปบนหลังคาชั้นสาม
“สวย!”
ขณะยืนอยู่บนที่สูง ทัศนียภาพกว้างไกลสุดลูกตา สบายกว่าตอนที่ต้องเบียดเสียดอยู่ในตรอกแคบ ๆ ข้างล่างมากนัก
ฉันเงยหน้ามองดวงจันทร์ประหลาดที่ลอยอยู่กลางอากาศ
มันลอยมาอยู่เหนือศีรษะฉันแล้ว เงาสีดำคล้ายมือที่มีนิ้วชี้ชี้ลงมาตรง ๆ จากพื้นผิวดวงจันทร์ ราวกับจะทำลายเมือง น่ากลัวจนขนลุกซู่
พี่แมวอ้วน และลูก ๆ ของเขา และแม้แต่คนทั้งโลก พวกเขาไม่มีความรู้สึกแปลก ๆ แบบฉันเวลาเจอดวงจันทร์แบบนี้
เพราะพวกเขาชินไปแล้ว
ตั้งแต่พวกเขาเกิดมา ดวงจันทร์ก็เป็นแบบนี้แล้ว
แม้แต่ตอนที่ปู่ย่าตายายของพวกเขาเกิด ดวงจันทร์ก็เป็นแบบนี้แล้ว ความรู้ความเข้าใจของคนรุ่นแล้วรุ่นเล่าก็ถูกเปลี่ยนแปลงไป จนฝังลึกอยู่ในจิตใจ
ในความเข้าใจของพวกเขา ดวงจันทร์ก็ควรจะเป็นแบบนี้
หลินเสวียนมาจาก 600 ปีก่อน เขาเคยเห็นดวงจันทร์ที่แท้จริงมาแล้ว……
เงาดำ ๆ นั่นคืออะไรกันแน่? เป็นสิ่งก่อสร้างมโหฬารที่ทอดผ่านขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์หรือเปล่า? หรือเป็นวัสดุชนิดหนึ่งที่ดูดกลืนแสง สะท้อนแสงแบบกระจาย และบังแสง? ไม่ว่าจะเป็นอะไร ก็ต้องมีอะไรบางอย่างอยู่บนดวงจันทร์ ถึงได้สร้าง “ผลงานศิลปะ” ชิ้นนี้ขึ้นมา
น่าเสียดาย ถ้าอยากเข้าใจเรื่องนี้ให้กระจ่าง ต้องไปค้นหาข้อมูลและหนังสือประวัติศาสตร์ที่เมืองตงไห่ใหม่เท่านั้น
“แต่ว่า…มันเป็นศิลปะจริง ๆ ด้วย” ถ้ามองจากมุมของศิลปิน มองจากมุมของการสร้างสรรค์ แล้วประเมินดวงจันทร์ดวงนี้ ก็ต้องใช้คำว่า ‘วิจิตรบรรเจิด’ เท่านั้น
เนื่องจากปรากฏการณ์【น้ำขึ้นน้ำลง】ระหว่างโลกกับดวงจันทร์ ทำให้คาบการหมุนรอบตัวเองของดวงจันทร์และคาบการโคจรรอบโลกเท่ากัน
นั่นหมายความว่า…
【ดวงจันทร์จะหันด้านเดียวเข้าหาโลกเสมอ เราบนโลกจึงไม่สามารถเห็นด้านหลังของดวงจันทร์ได้เลย】 นั่นก็หมายความว่า ตราสัญลักษณ์ของสโมสรอัจฉริยะ สามารถโผล่ขึ้นมาได้ตรงเวลาในทุก ๆ คืน และจะหันหน้าเข้าหาโลกอย่างถูกต้องเสมอ
ปีแล้วปีเล่า ไม่ว่าดวงจันทร์จะเต็มดวงหรือแรม ก็ไม่เคยหายไปไหน จุดนี้ ไม่มีสิ่งใดทำได้ มีเพียงดวงจันทร์ที่ถูกแรงน้ำขึ้นน้ำลงล็อกเอาไว้เท่านั้น
หลินเสวียนหันไปมองเมืองมหานครแห่งอนาคตที่ระยิบระยับด้วยแสงไฟอีกครั้ง
“เมืองตงไห่ใหม่…” แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาเที่ยงคืน แต่เมืองตงไห่ใหม่ก็เหมือนเมืองที่ไม่เคยหลับใหล ยังคงคึกคักและส่องสว่างอยู่เช่นนั้น คนในเมืองนั้นไม่ต้องนอนหลับหรือ? คนในเมืองนั้นไม่ต้องพักผ่อนหรือ?
คนเหล่านั้นใช้ชีวิตกันอย่างไร? เป็นอย่างไรบ้าง?
เป็นอมตะกันหรือเปล่า?
อายุยืนหรือไม่?
หรืออย่างที่หนังหรือเกมต่าง ๆ บอกไว้ พวกเขาเปลี่ยนร่างกายและแขนขาด้วยของเทียมไปแล้ว หรืออาจกลายเป็นหุ่นยนต์ไปทั้งตัวแล้ว?
หลินเสวียนไม่รู้
“ต้องเข้าไปดูให้รู้เรื่อง”
เขายกข้อมือขึ้นมองนาฬิกา
00:41:41
หากกฎต่าง ๆ ที่นี่เหมือนกับ “ฝันแรก” ก็เหลือเวลาอีก 19 วินาที ฝันนี้ก็จะจบลงแล้ว
แสงสีขาวที่จะเผาผลาญโลกจะปรากฏขึ้นตรงเวลา ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเขาก็จะลืมตาตื่นขึ้นบนเตียง
แต่ตอนนี้…
เทคโนโลยีของมนุษย์ก้าวหน้าถึงขั้นสร้างเรื่องแบบนี้ขึ้นมาแล้วจริง ๆ หรือ?
หรือว่าพวกเขายังไม่รู้เรื่องการโจมตีครั้งใหญ่ที่จะมาถึงนี้ ไม่มีการเตรียมการป้องกันอะไรเลย?
หลินเสวียนเงยหน้ามองเมืองตงไห่ใหม่ที่งดงามอลังการ ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ
ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ——
00:41:57
……
00:41:58
……
00:41:59
จู่ ๆ
กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกชาบานเย็นลอยมาตามสายลมเย็น ๆ ของค่ำคืน โชยเข้าจมูก
ตุ๊บ
มือข้างหนึ่ง……
วางลงบนไหล่ของหลินเสวียน